ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่ห้า – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์

ทดลองอ่าน ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์ ตอนที่ห้า

“ข้าขอบใจแม่นางที่เอ่ยเตือน” ชายหนุ่มประสานมือคำนับไปทางเงาร่างสีขาวหิมะ นัยน์ตาฉายประกายเย็นชาบางๆ กระทั่งทางเดินยาวกลับมาเงียบสงัดลงอีกครั้งเขาถึงได้หันกายรีบร้อนจากไป

ไป๋เสวี่ยฝูไม่ได้รับผลกระทบจากการปรากฏตัวของบุรุษแปลกหน้านี้เลยสักนิด เสียงพิณยังคงดังไม่หยุด ดึงดูดให้นางก้าวต่อไปข้างหน้า มุ่งไปยังสวนป่าอันไร้ผู้คนช้าๆ ทว่าสิ่งที่ทำให้นางเบิกบานเป็นล้นพ้นก็คือบริเวณนี้มีดอกสาลี่สีขาวบริสุทธิ์บานสะพรั่งอยู่ ต้นดอกสาลี่เรียงรายติดๆ กัน งดงามกว่าต้นดอกสาลี่อายุมากในเรือนที่พักของนางมากนัก!

เมื่อยื่นมือออกไปก็มีกลีบดอกไม้สีขาวร่วงลงมาบนฝ่ามือสองสามกลีบ ณ ส่วนลึกของสวนสาลี่นี้ยังมีเรือนพำนักทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่งซึ่งมองเห็นได้รำไรท่ามกลางแถบสีขาวโพลน คล้ายกำลังลอยละล่องเสมือนเสียงพิณที่ดังมาจากด้านในก็มิปาน

ไป๋เสวี่ยฝูย่างเท้าไปตรงหน้าเรือนแล้วมองเข้าไปผ่านประตูไม้ที่ถูกปิดงับไว้ นางเห็นดอกไห่ถัง* เรียงติดกันเป็นแถบอยู่ภายในลาน ยามบุปผาไหวเอนหรือแย้มบานล้วนงดงามไม่ด้อยไปกว่าดอกสาลี่เลยสักนิด

หญิงชราในชุดนางข้าหลวงคนหนึ่งกำลังดีดพิณอย่างดื่มด่ำ นิ้วมือที่ไม่เยาว์วัยอีกต่อไปควบคุมสายพิณดังร่ายมนตร์ สายพิณสั่นไหว เสียงพิณหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของนางดุจสายธาร ก่อนจะรวมเข้ากับกลิ่นหอมของบุปผาทั่วลานนี้

ทันทีที่ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินเสียงพิณ นางก็มั่นใจว่าผู้ดีดพิณจะต้องเป็นหญิงสาวอ่อนเยาว์งามสะพรั่งคนหนึ่งแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าที่แท้จะเป็นนางข้าหลวง ซ้ำยังดีดพิณได้ไพเราะลึกซึ้งอย่างที่สุด ไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์พิณที่เคยบรรเลงในจวนตอนที่ไป๋เสวี่ยฝูยังเล็กเลยสักนิด

“ผู้ใดกัน!” จู่ๆ ผู้ดีดพิณก็ชะงักไป จากนั้นก็ก้าวออกมาจากใจกลางของทะเลบุปผา สายตาเฉียบคมมองผ่านช่องประตูมาประสานเข้ากับแววตาตื่นตระหนกของไป๋เสวี่ยฝูตรงๆ ก่อนสืบเท้ามาที่ประตูอย่างรวดเร็ว แล้วยืนบนขั้นบันไดพลางถลึงตาใส่ไป๋เสวี่ยฝูแล้วตวาดว่า “เจ้าเป็นใคร! ถึงกับบังอาจบุกรุกสวนสาลี่รบกวนความสงบของจิ้งไท่เฟย*!”

ไป๋เสวี่ยฝูหวาดหวั่นยิ่ง นางรีบร้อนน้อมกายคารวะ “เสวี่ยฝูสมควรตาย เสวี่ยฝูมิได้ตั้งใจจะรบกวนจิ้งไท่เฟยเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูช้อนตาขึ้นมองเล็กน้อย ย่อมยากจะเชื่อได้ว่าผู้ที่พำนักในสถานที่อันทรุดโทรมเช่นนี้จะเป็นไท่เฟย บางทีอาจจะเป็นสตรีที่สูญสิ้นอำนาจแล้วใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เท่านั้นกระมัง

“แม่นางไม่ทราบรึว่าสวนสาลี่แห่งนี้คือที่พำนักของจิ้งไท่เฟย” นางข้าหลวงยังคงเข้มงวด จากคำพูดเห็นชัดว่าไม่พอใจอย่างยิ่ง ไป๋เสวี่ยฝูตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จู่ๆ ก็ต้องโทษเพราะนางถูกเสียงพิณดึงดูดเข้าเสียได้ มาบัดนี้ที่ไม่ควรบุกรุกก็บุกรุกมาแล้ว นางควรจะปลีกตัวอย่างไรดี

“เฉิงหมัวมัว ให้นางเข้ามาเถิด ยากนักที่จะมีแขก” จู่ๆ ก็แว่วเสียงค่อนข้างชราดังมาจากภายในเรือน

ไป๋เสวี่ยฝูประหลาดใจ คิดในใจว่านี่คงเป็นจิ้งไท่เฟยที่อยู่ในคำกล่าวของนางข้าหลวงเป็นแน่

เฉิงหมัวมัวถึงได้เก็บสีหน้าโมโห แล้วผายมือทำท่าเชิญไป๋เสวี่ยฝู “เชิญแม่นาง จิ้งไท่เฟยพระวรกายมิสู้ดีนัก อย่าทำให้พระนางโกรธ” กล่าวจบก็เดินตามไป๋เสวี่ยฝูเข้าไปในเรือน

เมื่อไป๋เสวี่ยฝูเข้ามาในลาน นางก็ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของจิ้งไท่เฟยในที่สุด พระองค์เป็นสตรีผู้มีอายุเกินห้าสิบที่จอนผมทั้งสองข้างมีสีดอกเลา อาจเพราะพระวรกายมีโรครุมเร้า ผิวพรรณบนใบหน้าจึงแลดูขาวซีด ขณะที่มองจิ้งไท่เฟยอยู่นั้น จู่ๆ ไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงท่านแม่ขึ้นมา ท่านแม่ของนางก็ไม่ได้ต่างกับสตรีตรงหน้านี้ แม้จะมีฐานะสูงศักดิ์ทว่ากลับใช้ชีวิตทุกข์ระทมกว่าใคร

“เสวี่ยฝูถวายบังคมจิ้งไท่เฟย ขอทรงอภัยโทษที่หม่อมฉันล่วงเกินด้วยเพคะ” ไม่ว่าสถานภาพของจิ้งไท่เฟยเป็นอย่างไร นางล้วนเคารพจิ้งไท่เฟยจากใจจริงเสมือนเช่นที่เคารพท่านแม่ ด้วยชีวิตนี้นางไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณของท่านแม่อีกแล้ว ลึกๆ ในใจนางจึงย้ายความรู้สึกนี้ไปยังร่างของสตรีตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว

จิ้งไท่เฟยที่ทรงนอนพักผ่อนอยู่บนตั่งพลันโบกมือ ถอนใจก่อนเอ่ยอย่างปลงตก “ช่างเถิด ข้าเป็นเพียงไท่เฟยที่มีตำแหน่งแขวนไว้เท่านั้น ไม่มีคนคุกเข่าคำนับข้ามาหลายปีแล้ว เจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีหรอก” ทรงกล่าวพลางโบกพัดในมือเบาๆ พิศดูไป๋เสวี่ยฝูจากบนลงล่างก่อนจะถามขึ้น “เจ้าคือไป๋เสวี่ยฝู บุตรีคนรองของอัครเสนาบดีไป๋หรือ”

“เพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าปรากฏแววฉงน ตามหลักแล้วไท่เฟยที่ถูกกักบริเวณอยู่ไม่ควรจะรู้จักนางจึงจะถูก แต่สตรีตรงหน้ากลับสามารถเอ่ยขานสกุลและชื่อของนางได้ นี่กลับชวนให้คนคิดไม่ตกจริงๆ

“แม้ข้าจะไม่สนใจเรื่องภายนอก แต่ก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงเรื่องราวของบุตรีสกุลไป๋มาบ้าง” จิ้งไท่เฟยคล้ายรู้กระจ่างในความสงสัยของไป๋เสวี่ยฝู นางจึงเอ่ยขึ้นพลางยิ้มน้อยๆ ในรอยยิ้มของหญิงชรานั้นยังแฝงแววสลดใจบางๆ ท่ามกลางลานที่เต็มไปด้วยดอกไห่ถังแลดูอ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างชัดเจน

ความสลดใจเล็กน้อยนั้นกระทบหัวใจของไป๋เสวี่ยฝูเบาๆ

นี่ก็คือชะตาชีวิตของสตรี มิอาจเฉิดฉายตลอดกาลดังเช่นดอกไห่ถังที่แม้ดอกจะโรยราไปแล้วแต่ปีหน้ายังคงผลิบานเป็นสีแดงอีกครั้ง ส่วนริ้วรอยและความเศร้าโศกบนใบหน้าของจิ้งไท่เฟยนั้น เกรงว่าชั่วชีวิตนี้ก็คงมิอาจลบเลือนไปได้

จิ้งไท่เฟยเห็นนางนิ่งเงียบจึงเปลี่ยนเสียงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องไปปรนนิบัติฝ่าบาทหรือ ไยจึงมาเที่ยวเล่นที่สวนสาลี่ของข้าได้เล่า”

สายตาของไป๋เสวี่ยฝูละจากทะเลบุปผาสีแดงสดกลับมา ขยับมุมปากยิ้มบางอย่างขื่นใจ “ข้างกายฝ่าบาทนั้นมีบุปผางามมากมายแล้ว ย่อมไม่อยากให้เสวี่ยฝูอยู่ปรนนิบัติหรอกเพคะ”

ไป๋เสวี่ยฝูยังเผลอคิดว่าเขาคือเด็กหนุ่มใต้ต้นดอกสาลี่คนนั้น แม้จะบอกกับตนเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเขาเปลี่ยนไปมิใช่คนเดิมตั้งนานแล้ว ทว่าสุดท้ายในใจนางก็ยังมีความหวังเล็กๆ เฝ้ารอวันที่เยวี่ยเยี่ยจดจำนางได้ ถ้าหากถึงตอนนั้นแล้วเขายังคงปฏิบัติต่อนางอย่างเฉยชา นางคงได้แต่ยอมรับ นับแต่นั้นจะสงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่มีความคิดเช่นนี้อีก

นางจะจำขึ้นใจว่าเขาคือจักรพรรดิเยวี่ยเยี่ยผู้อยู่เหนือผู้คนมากมาย เป็นองค์จักรพรรดิที่หญิงสาวทั้งหลายในวังหลวงล้วนเฝ้ารออยู่ทุกเวลา มิใช่เด็กหนุ่มรูปงามที่ไม่สนใจในหน้าตาและฐานะ มิใช่คนที่เคยสัญญาอย่างจริงจังว่าจะดูแลนางไปชั่วชีวิตผู้นั้นอีก

จริงจัง?…จู่ๆ ไป๋เสวี่ยฝูก็เจ็บแปลบในใจ คิดว่าตนเองอาจมองผิดไปจริงๆ ท่าทีจริงจังของเขาอาจมีอยู่แค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น มิอาจต้านทานความเปลี่ยนแปลงของเวลาไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลาหนึ่งปีอันแสนสั้นที่เขาสัญญาไว้เลย นางไม่คิดจะบอกฐานะที่แท้จริงของตนเองต่อเขา เพียงแค่คิดเผื่อไว้หากว่าเขาจำได้ขึ้นมา…เพราะติดหนี้บุญคุณนางอยู่ บางทีเยวี่ยเยี่ยอาจปฏิบัติต่อนางดีขึ้นสักหน่อย พานางไปจากตำหนักอวิ๋นเหออันเงียบเหงาห่างไกล นอกจากนี้หากโปรดปรานนางมากดังขุนเขา เขาอาจมอบตำแหน่งที่ทรงอำนาจและมอบตำแหน่งที่ยิ่งกว่าอวี้กุ้ยเฟยให้กับนางก็เป็นได้

แต่สุดท้ายนี่ก็มิใช่วิถีชีวิตที่นางปรารถนา สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณจากเขา นางไม่ต้องการความรักจากเขา ยิ่งไม่อยากให้ตนเองมีความหวังในการเฝ้ารอเขาต่อไป เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องมีสักวันที่นางจะหยดยาพิษลงไปในถ้วยของเขา ไม่นางก็เขาต้องมีคนหนึ่งที่ต้องตายจากไป

นี่เป็นเป้าหมายที่ไป๋เสวี่ยฝูเข้าวังมา เป็นภาระเดียวที่บิดาผู้ยิ่งใหญ่ยัดเยียดให้กับนาง

“นี่เป็นชะตากรรมของสตรี เจ้าควรเรียนรู้ที่จะปรับตัว”

ไป๋เสวี่ยฝูได้ยินน้ำเสียงเปี่ยมความรู้สึกดังขึ้น

“เสวี่ยฝูกำลังเรียนรู้อยู่เพคะ” นางไม่พูดถึงบุรุษเลือดเย็นไร้หัวใจผู้นั้นให้มากความอีก เพียงสูดหายใจเบาๆ แล้วพยายามคลี่รอยยิ้มที่แลดูอ่อนหวานงดงามออกมา “เสวี่ยฝูได้ยินเสียงพิณมาจากในห้อง แล้วก็เดินตามต้นเสียงมาจนถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับจิ้งไท่เฟยและเฉิงหมัวมัวผู้มีความสามารถทางพิณล้ำเลิศ นับเป็นเกียรติของเสวี่ยฝูอย่างยิ่งเพคะ”

เฉิงหมัวมัวที่เพิ่งจะถวายชาเสร็จได้ยินนางกล่าวชมตนเองก็ผุดรอยยิ้มเมตตา “นิ้วหยาบกร้านของหม่อมฉันใกล้จะจับสายพิณไม่ได้แล้ว ฝีมือพิณของเสวี่ยเฟยต้องล้ำเลิศกว่าหม่อมฉันถึงจะถูกเพคะ”

ไป๋เสวี่ยฝูเห็นว่าสตรีทั้งสองมีไมตรีจิตอย่างชัดเจนจึงไม่กลัวเกรงเช่นเมื่อครู่นี้อีก นางกวาดมองสวนที่แม้มีดอกไห่ถังมาเพิ่มสีสันแล้วก็ยังดูเงียบเหงายิ่ง จึงเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยเล็กๆ “พิณของเฉิงหมัวมัวดีดได้ไพเราะอย่างแท้จริง เพียงแต่…เพียงแต่บทเพลงที่บรรเลงนั้นออกจะโศกเศร้าเกินไป ไม่สมกับทิวทัศน์แห่งนี้…รวมถึงจิ้งไท่เฟยด้วยเพคะ”

ฉับพลันจิ้งไท่เฟยก็ทรงแย้มพระสรวล ตรัสเยาะเย้ยตนเองว่า “ด้วยโรคภัยข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตไปได้อีกกี่ปีแล้ว ฟังเพลงเศร้าเช่นนี้ไม่เป็นอันใดหรอก กลับรู้สึกเหมาะสมกับทิวทัศน์ที่นี่ เหมาะสมกับหญิงชราเช่นข้ายิ่งนัก”

“จิ้งไท่เฟยกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกเพคะ” ไป๋เสวี่ยฝูขยับไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง มือเล็กที่กำผ้าเช็ดหน้าแน่นโบกไปมาเล็กน้อยแล้วแย้งว่า “จิ้งไท่เฟยพระวรกายไม่สู้ดี ตามหลักแล้วสมควรให้หมอหลวงรักษา การหาเรื่องสำราญใจกระทำจะต้องมีผลดีต่อพระวรกายแน่นอนเพคะ”

“เรื่องสำราญใจคือเรื่องใดกัน หรือไม่เสวี่ยเฟยก็ลองมาบรรเลงเพลงพิณให้ข้าฟังสักเพลงหนึ่งได้หรือไม่” จิ้งไท่เฟยยิ้มอย่างมีไมตรีพลางปราดมองนิ้วมือเนียนเรียวยาวประหนึ่งหยกของไป๋เสวี่ยฝู ในใจคาดเดาว่านางต้องเป็นยอดฝีมือทางพิณเป็นแน่ บุตรีในสกุลขุนนางย่อมไม่มีทางไม่รู้เรื่องเพลงพิณ หมากล้อม เขียนอักษร และวาดภาพ ยากนักที่จิ้งไท่เฟยจะได้พบคนที่ไม่รังเกียจตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงทรงเบิกบานใจยิ่งนัก

Comments

comments

Continue Reading

More in ดอกสาลี่เคียงบัลลังก์

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com