นางเดินไปข้างหน้าช้าๆ พาตนเองไปอยู่ท่ามกลางดอกสาลี่ที่กำลังแย่งกันผลิบาน แต่แล้วก็พบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่เบื้องหน้าได้เปลี่ยนเป็นทะเลสาบใสสะอาด ไอน้ำลอยล่องคละคลุ้ง กลีบดอกไม้เล็กๆ แต่งแต้มผิวทะเลสาบเป็นผืนสีขาวบริสุทธิ์ มองเงาร่างตนเองที่ผสานกับกลีบดอกไม้กลางทะเลสาบแล้ว นางก็สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกสาลี่ที่พัดโชยระจมูกมาบ่อยครั้ง อดคิดถึงวันเวลาในอารามเมี่ยวเฟิงไม่ได้
ที่นั่นไม่มีการแก่งแย่งชิงอำนาจ ไม่มีการบีบบังคับ ทุกวันล้วนฝึกวรยุทธ์และสวดมนต์กับแม่ชีอวี้เจิน บ้างก็คัดลอกพระคัมภีร์ ครั้นถึงฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่ง ไป๋เสวี่ยฝูก็จะชอบหมกตัวฝึกเขียนอักษร ดีดพิณอยู่ท่ามกลางค่ายกลดอกสาลี่ตลอดทั้งวัน ทั้งที่วันเวลาเหล่านั้นไม่มีอะไรให้ต้องกังวลโดยแท้ ทว่ากลับถูกกำแพงวังชั้นหนึ่งขวางกั้นเอาไว้ ไม่อาจย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
พอคิดถึงฝ่าบาทผู้ทอดทิ้งตนเองให้อยู่ในตำหนักอวิ๋นเหอ ไป๋เสวี่ยฝูก็คิดถึงวาสนาที่ได้พบเขาเพียงครั้งเดียวเมื่อสามปีก่อนขึ้นมาอีก ตอนนั้นเขายังมิใช่จักรพรรดิ แต่เป็นเพียงเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง จำได้ว่าตอนนั้นเขามีนัยน์ตาเฉียบคมและอบอุ่นเหมือนกับตอนอยู่ต่อหน้าจิ้งไท่เฟยเมื่อครู่ไม่มีผิด
เยวี่ยเยี่ยเมื่อสามปีก่อนเด็ดดอกสาลี่กิ่งหนึ่งอย่างนุ่มนวลมาปักที่จอนผมของนาง ทว่าสามปีต่อมา…เขากลับใช้นิ้วมือที่เห็นเค้าโครงได้ชัดเจนบีบกรามนางอย่างทารุณ
โดยไม่รู้ตัวไป๋เสวี่ยฝูก็ยื่นมือขึ้นไปเด็ดดอกไม้เหนือศีรษะลงมาช่อหนึ่งจากดอกไม้สีขาวมากมาย เลียนแบบท่าทางของเขาในความทรงจำปักช่อดอกสาลี่เข้าไปในเรือนผมอย่างแผ่วเบา
เขาเคยบอกว่าประดับเช่นนี้งามมาก งามอย่างนั้นหรือ
ไป๋เสวี่ยฝูหลุบนัยน์ตาลง คนในเงาที่สะท้อนอยู่บนผิวทะเลสาบดูงดงามอย่างแท้จริง ผิวพรรณเนียนละเอียด อาภรณ์สีขาวราวหิมะ เรือนผมดกดำ ดอกสาลี่บนเรือนผมนั้นยิ่งสวยสดงดงาม
ไป๋เสวี่ยฝูไม่เคยถูกความงามของตนเองดึงดูด ตรงกันข้ามนางกลับตกตะลึงเมื่อเห็นเงาสะท้อนสีแดงโลหิตบนผิวน้ำ อาภรณ์สีแดงโลหิตปักดิ้นทอง ใบหน้าเรียบเฉยคมคาย ภายในวังหลวงบุรุษที่มีลักษณะเฉพาะสองข้อนี้พร้อมกันจะมีผู้ใดได้อีก
ร่างกายพลันสั่นสะท้าน ดอกสาลี่ที่จอนผมร่วงโปรยปรายลงบนผิวน้ำเกิดเป็นวงคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมออกไปวงแล้ววงเล่า
ไป๋เสวี่ยฝูพลันหมุนตัวไปถวายบังคม ก่อนจะล้มลงแทบเท้าเขา
สายตาของเยวี่ยเยี่ยย้ายจากดอกสาลี่ที่ไป๋เสวี่ยฝูบังเอิญทำตกลงไปในทะเลสาบกลับมาที่เหนือศีรษะนาง ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา แม้แต่น้ำเสียงก็เย็นชาดุจเดียวกัน “ลุกขึ้นเถิด”
ไป๋เสวี่ยฝูกล่าวทูลลาแล้วลุกขึ้น ทว่ายังไม่อาจจากไปได้เพราะเยวี่ยเยี่ยยังไม่ได้อนุญาตให้นางไป
ท่ามกลางความเงียบงัน สองคนล้วนไม่พูดจา ต่างมีเรื่องในใจของตนเอง ต่างคนต่างคาดเดาและสงสัยในความคิดของอีกฝ่าย
สุดท้ายเยวี่ยเยี่ยก็ถามขึ้นว่า “เสวี่ยเฟยชอบดอกสาลี่หรือ” น้ำเสียงนั้นไม่ได้เย็นชาจนน่าพรั่นพรึงอีก
ตั้งแต่เข้าวังมานี่ถือเป็นครั้งแรกที่เขาสนทนากับนางในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจหรือสกุลไป๋ ในใจไป๋เสวี่ยฝูสงบลงเล็กน้อย พยักหน้าอย่างอ่อนโยน เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ “ท่านแม่ของเสวี่ยฝูชอบดอกสาลี่ ทั้งยังปลูกไว้ในเรือนต้นหนึ่ง ท่านแม่บอกว่าดอกสาลี่ไม่เพียงภายนอกขาวราวหิมะ แม้แต่กลิ่นหอมของมันก็สะอาดบริสุทธิ์เฉกเช่นหิมะ ทั้งไม่เหิมเกริมและไม่ถือดีเพคะ”
เยวี่ยเยี่ยเลิกคิ้วพลางยิ้มหยอกเย้าแล้วเอ่ยว่า “อ้อ? เราเคยไปจวนอัครเสนาบดีในฤดูนี้มาสองครั้ง กลับไม่เห็นว่ามีดอกสาลี่บานมาก่อน”
ไป๋เสวี่ยฝูยังคงสงบนิ่ง ท่านแม่เคยปลูกต้นดอกสาลี่ไว้หน้าเรือนจริงๆ เพียงแต่ในปีแรกเมื่อถึงฤดูที่ดอกสาลี่บานสะพรั่งก็ถูกฮูหยินใหญ่ตัดถอนรากถอนโคนออกไป ถ้อยคำของฮูหยินใหญ่คือสีขาวไม่เป็นมงคล ทั้งยังไม่สูงศักดิ์ ไป๋เสวี่ยฝูรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้ออ้าง สิ่งที่ท่านแม่ปรารถนาแต่ไรมานั้นล้วนไม่เคยได้รับอยู่แล้ว
“ตอนเสวี่ยฝูอายุห้าปี เพราะท่านแม่ไม่ได้รับความโปรดปรานจึงถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในห้องผุพังซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลที่สุดในเรือนหลัง เดิมทีดอกสาลี่ก็หาได้เป็นพืชพรรณโดดเด่นอันใด ฝ่าบาทย่อมมิอาจมองเห็นได้เพคะ”
ที่แท้นางก็เป็นสตรีคนหนึ่งที่ฟ้าดินไม่เห็นใจเช่นกัน เยวี่ยเยี่ยนึกถึงช่วงเวลาที่เคยถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเย็นตามท่านแม่ เรือนหนาวเหน็บอ้างว้าง แม้แต่บ่าวที่ส่งอาหารยังกล้าชี้หน้ากล่าวเย้ยหยันดูถูกเขา แม้ช่วงเวลาเช่นนี้จะผ่านไปเนิ่นนานแล้ว แต่กลับคล้ายฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนอยู่เสมอในห้วงความคิด
ทันใดนั้นเยวี่ยเยี่ยก็เข้าใจถึงสาเหตุที่ไป๋เสวี่ยฝูมีสีหน้าเศร้าสลดอยู่ตรงหน้าทะเลสาบแล้ว
เขารู้สึกเห็นใจนางขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!