everY
ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 3 บทที่ 3 #นิยายวาย
บทที่ 3
มีคนตายไปสิบกว่าคน จนตอนนี้กระทั่งฆาตกรเป็นคนหรือเป็นวิญญาณก็ยังไม่รู้แน่ชัด ชาวบ้านคิดว่าเป็นการลงโทษของเทพแม่น้ำจึงต่างพากันหวาดผวาพรั่นพรึง แม้แต่นายอำเภอเหอก็พลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย ทว่าสำหรับพวกถังฟั่นที่มาสืบคดีย่อมไม่คิดไปในทิศทางนั้น มิฉะนั้นก็ไม่ต้องสืบสวนคดีกันแล้ว รายงานต่อราชสำนักโดยตรงว่าเป็นฝีมือของสิ่งเหนือธรรมชาติก็สิ้นเรื่อง
แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่ต้องหวังว่าจะได้ดำรงตำแหน่งขุนนางอีกต่อไป
ถังฟั่นเอ่ยถาม “ในเมื่อสุสานจักรพรรดิมีหลุมขุดก็ต้องเกี่ยวข้องกับโจรขุดสุสาน นานถึงเพียงนี้แล้วยังจับโจรไม่ได้แม้แต่คนเดียวเลยรึ”
นายอำเภอเหอกล่าวตอบ “หลังจากเกิดเรื่องกับผู้ใหญ่บ้านก็ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปในยามวิกาลอีกเลย ข้าน้อยเองก็เคยพาคนไปตรวจดูหลุมขุดในช่วงกลางวันหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร ตอนแรกไม่มีใครกล้าลงไปในหลุม ภายหลังได้ตกรางวัลให้จึงมีสองคนยอมลงไป ปรากฏว่าพวกเขาลงไปไม่นานก็ขึ้นมา บอกว่าหลุมนี้ลึกมาก ถูกขุดยาวลงไป ด้านล่างมืดสนิทไม่มีแสงแม้เพียงน้อย พวกเขาจำแนกทิศทางมิได้และไม่รู้ว่าทะลุไปทางใดจึงไม่กล้าลงไปไกล ตอนหลังเพิ่มรางวัลให้ถึงหนึ่งตำลึงก็มีคนยอมลงไปตรวจดูให้รู้ เพียงแต่…” เขาอ้ำอึ้งครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงกล่าวเสียงเบา “เพียงแต่มิได้กลับขึ้นมาอีกเลย”
บรรยากาศครึกครื้นค่อยๆ เย็นเยียบลง ทุกคนต่างขนพองสยองเกล้ากับคำบอกเล่าของนายอำเภอ
รายละเอียดเหล่านี้ล้วนไม่เขียนไว้ในหนังสือรายงาน แต่ถังฟั่นก็เข้าใจนายอำเภอเหอ เนื่องจากเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไป ยากจะอธิบายให้กระจ่างด้วยตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว หนำซ้ำหนังสือราชการก็เน้นการเขียนให้กระชับได้ใจความ ไม่สามารถเขียนเล่าทั้งหมดลงในนั้นได้
ทุกคนเดินทางไกลพันลี้จากเมืองหลวงมาสืบคดีก็เพื่อคลี่คลายความจริงให้กระจ่าง หากเป็นไปตามที่นายอำเภอบอกเล่า คดีนี้ซับซ้อนอันตรายและน่ากลัวว่าจะเหนือกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มาก
แม้กระทั่งอิ่นหยวนฮว่าที่ตั้งหน้าตั้งตาแย่งผลงานก็เริ่มเสียใจภายหลังที่ตนตามมาเสียแล้ว
นายอำเภอเหอมองถังฟั่นอย่างหวาดหวั่น กลัวอีกฝ่ายจะกล่าวโทษที่ตนมิได้เขียนแจ้งให้ชัดเจน เห็นถังฟั่นไม่มีท่าทีถือสาเอาความก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ครู่ต่อมาเขาก็ได้ยินถังฟั่นถามอีกว่า “ที่นี่ห่างจากหมู่บ้านลั่วเหอเท่าใด”
นายอำเภอเหอตอบ “ไม่ไกลขอรับ ออกจากตัวอำเภอสิบกว่าลี้ก็ถึงแล้ว!”
ถังฟั่นเอ่ยบอก “เอาอย่างนี้ กินข้าวเสร็จแล้วพวกเราไปกัน กลางคืนก็ค้างแรมที่หมู่บ้านลั่วเหอเลย”
นายอำเภอเหอตะลึงตาค้าง “หา?”
ถังฟั่นถาม “มีอันใดหรือ”
นายอำเภอเหอตื่นจากภวังค์ รีบละล่ำละลักทันที “นั่น…นั่นไม่ดีกระมัง หมู่บ้านลั่วเหอค่อนข้างทุรกันดาร เกรงว่าจะไม่เข้ากับใต้เท้าทุกท่าน อีกอย่างดึกดื่นค่ำมืด…”
ถังฟั่นตัดบทเขา “เพราะเป็นกลางคืนพอดี เจ้าบอกว่าระยะนี้เสียงร้องไห้นั่นดังอีกแล้วมิใช่หรือ จะได้ถือโอกาสไปดูว่าเป็นใครมาจากที่ใด หากรอให้ถึงกลางวันแล้วค่อยไปยังจะสืบอะไรได้อีก” จากนั้นหันไปมองสุยโจว “ท่านมีความเห็นอย่างไร”
สุยโจวพยักหน้า “ใต้เท้าถังพูดถูก พี่น้ององครักษ์เสื้อแพรล้วนไม่มีปัญหา”
องครักษ์เสื้อแพรย่อมไม่มีความเห็น การเดินทางครั้งนี้ไม่นับว่าลำบาก กลางวันเดินทาง กลางคืนนอนพัก สำหรับองครักษ์เสื้อแพรถือเป็นเรื่องปกติยามออกปฏิบัติงานนอกพื้นที่ ตอนที่สุยโจวออกสืบคดีของหวงจิ่งหลงก่อนหน้านี้ลำบากกว่ามาก เนื่องจากต้องเลี่ยงหูตาของอีกฝ่าย ต้องนอนพักยามกลางวันและออกเดินทางยามกลางคืน เร่งรีบตลอดระยะทาง
แต่สำหรับขุนนางพลเรือนนับว่าค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะอิ่นหยวนฮว่า ได้ยินคำนั้นแล้วก็แทบหมดสติ รีบกุลีกุจอกล่าว “ใต้เท้า วันนี้เพิ่งเดินทางมาถึง ให้พวกเราพักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด”
ถังฟั่นเป็นผู้บังคับบัญชาที่พร้อมเข้าใจผู้อื่น “ในเมื่อพี่อิ่นเรี่ยวแรงไม่เป็นใจก็อยู่พักในตัวเมืองเถอะ ข้ากับผู้บังคับการไปก็พอ”
อิ่นหยวนฮว่าลำบากลำบนมาถึงอำเภอก่งก็เพื่อฉกฉวยแย่งชิงผลงานและถือโอกาสจับผิดถังฟั่น หากมิให้เขามีส่วนร่วมในการสืบคดี แล้วที่เขาตามมาอย่างไม่คิดชีวิตจะมีความหมายอะไรอีก
เขารู้สึกว่าถังฟั่นไม่อยากให้เขาไปด้วยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังเอ่ยคำประชดแดกดัน จึงฝืนใจคลี่ยิ้ม “ได้อย่างไรกัน ข้าไม่ใคร่สบายก็เป็นความรับผิดชอบของข้า ไหนเลยจะให้ใต้เท้าออกหน้าแต่ผู้เดียวได้ ใต้เท้าโปรดอนุญาตให้ข้าติดตามด้วยเถิด!”
ถังฟั่นกล่าวอย่างสุภาพอ่อนโยน “หากร่างกายไม่เอื้อก็มิต้องฝืนกำลัง รักษาอาการป่วยสำคัญกว่า มีข้าอยู่ทั้งคน”
เจ้าน่ะสิที่ป่วย ป่วยกันทั้งบ้าน!
อิ่นหยวนฮว่าขบกรามจนฟันแทบแตก ยังต้องแสร้งตีหน้าซาบซึ้ง “แม้ใต้เท้าจะเข้าใจ แต่จะให้ใต้เท้าไปเสี่ยงตามลำพังได้อย่างไร ข้าติดตามไปด้วยจึงจะวางใจ!”
เห็นเขายืนกราน ถังฟั่นจึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็แล้วแต่ท่านเถิด ถนอมตัวด้วย ไม่ไหวก็บอกข้า”
นายอำเภอเหอไม่รู้เรื่องที่ทั้งสองบาดหมางกัน คิดในใจว่าสมเป็นขุนนางผู้แทนราชสำนักที่มาจากเมืองหลวง ใต้เท้าอิ่นผู้นี้ช่างทุ่มเท อาเจียนถึงเพียงนั้นแล้วใจยังเอาแต่ห่วงเรื่องภารกิจ
อิ่นหยวนฮว่ายืนกรานติดตาม เจ้าหน้าที่กองพลาธิการอย่างเฉิงเหวินกับเถียนเซวียนไหนเลยจะไม่ตามไปด้วยได้ เมื่อคนทั้งกลุ่มกินอิ่มกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านลั่วเหอภายใต้การนำทางของนายอำเภอ
พวกผู้ช่วยนายอำเภอนั้นล่วงหน้าไปจัดเตรียมที่พักให้เหล่าใต้เท้าก่อน เนื่องจากหมู่บ้านลั่วเหอมิอาจเทียบกับตัวอำเภอได้ ปุบปับก็มีคนมากมายเช่นนี้ไปเยือน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสามารถจัดหาที่พักได้หรือไม่
ระยะทางจากตัวอำเภอถึงหมู่บ้านลั่วเหอไม่ไกลนัก ทุกคนจึงไม่ขี่ม้า เปลี่ยนมานั่งเกี้ยวแทน ส่วนม้าขององครักษ์เสื้อแพรฝากไว้ที่เรือนพัก พวกมันวิ่งมาตลอดทางก็ได้เวลาพักเหนื่อยให้อาหารแล้ว
ความรู้สึกยามนั่งเกี้ยวต่างจากขี่ม้า เมื่อนั่งลงบนเบาะหนานุ่ม เบื้องล่างเบาหวิว ถังฟั่นก็สบายจนเกือบผล็อยหลับ
ซึ่งเขาก็หลับไปจริงๆ…จนกระทั่งมีคนตบตัวปลุกเขาอย่างแผ่วเบา
สุยโจวมุดเข้ามาในเกี้ยวครึ่งตัว กล่าวกับเขา “ถึงแล้ว”
เนื่องจากอยู่ต่อหน้าธารกำนัล อีกทั้งยังมีพวกอิ่นหยวนฮว่าอยู่ พวกเขาไม่สะดวกจะแสดงความสนิทสนมคุ้นเคย แม้กระทั่งชื่อก็เรียกตามมารยาท
ถังฟั่นยิ้มให้เขา ขยับร่างยืดเส้นยืดสาย รู้สึกสดชื่นขึ้นบ้างแล้ว ทว่าความเหน็ดเหนื่อยของร่างกายกลับยิ่งแจ่มชัด อยากจะนอนอุตุให้สิ้นเรื่องสิ้นราว เขาแข็งใจข่มความปรารถนาเอาไว้ เมื่อออกจากเกี้ยวก็เปลี่ยนเป็นผู้แทนราชสำนักที่กระฉับกระเฉงแล้ว
ภารกิจครั้งนี้ไม่เพียงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญกับอนาคตของเขา ขณะเดียวกันยังเกี่ยวพันถึงเส้นทางเลื่อนขั้นของคนอื่นๆ แม้ถังฟั่นจะเป็นผู้แทนหลัก แต่ก็ต้องคำนึงถึงผู้ใต้บัญชา จะทำตามใจมากเกินไปไม่ได้
อย่างเช่นคืนนี้ เว้นคนที่วิงเวียนเมารถม้าอย่างอิ่นหยวนฮว่า ด้านองครักษ์เสื้อแพรรวมถึงพวกผางฉี ด้วยใจที่อยากสร้างผลงานก็อยากรีบมาสืบให้รู้เรื่องจนแทบอดรนทนไม่ไหว แม้สุยโจวจะคุมพวกเขาได้ ทว่าถังฟั่นต้องคำนึงถึงตำแหน่งของสุยโจวให้มาก จะให้อีกฝ่ายลำบากใจมิได้
เวลานี้ม่านราตรีเพิ่งมาเยือน ฟ้ายังมิได้มืดสนิท อาศัยท้องฟ้าสีครามหม่น ในที่สุดทุกคนก็มองเห็นสภาพแวดล้อมของหมู่บ้านลั่วเหอ
หมู่บ้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก เนื่องจากอยู่ติดกับตัวอำเภอก่ง ทั้งยังตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลั่วเหอ ชาวบ้านในตัวอำเภอเองก็มีบ้านเดิมอยู่ที่นี่ไม่น้อย ยังไปมาหาสู่ ถนนหนทางราบรื่น ค่อนข้างเจริญ
แต่อย่างไรหมู่บ้านก็เป็นหมู่บ้าน จะให้มีเรือนพักที่หรูหราอย่างตัวอำเภอนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นผู้ช่วยนายอำเภอจึงรายงานด้วยสีหน้าลำบากใจ “ใต้เท้าทุกท่าน หมู่บ้านทุรกันดาร มิสู้ตัวอำเภอ ยากจะหาเรือนพักได้มากกว่านี้แล้ว ที่พอจะให้ใต้เท้าทุกท่านพักแรมชั่วคราวก็มีไม่กี่หลัง เกรงว่าคงต้องรบกวนให้ใต้เท้าหลายท่านพักรวมแล้ว ท่านเห็นว่า…”
บ้านเรือนเหล่านี้เป็นเพราะผู้ช่วยนายอำเภอให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งไปพักกับเพื่อนบ้านหรือไม่ก็บ้านญาติ จึงว่างลงชั่วคราว
ถังฟั่นย่อมไม่มีความเห็น “ทั้งหมดกี่หลัง”
ผู้ช่วยนายอำเภอรีบกล่าว “ทั้งหมดเก้าหลัง ข้าน้อยตั้งใจจัดการโดยเฉพาะ ล้วนอยู่ติดกันทั้งหมด!”
ถังฟั่นเอ่ยชม “ทำได้ดีแล้ว ลำบากท่านจริงๆ เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถอะ”
เดิมทีผู้ช่วยนายอำเภอยังพะวงว่าจะถูกตำหนิ ใครจะคิดว่าได้รับคำชม จึงดีใจเหลือแสน
ถังฟั่นกล่าว “เช่นนั้นข้ากับผู้บังคับการหลังหนึ่ง พี่อิ่นกับเฉิงเหวินและเถียนเซวียนหลังหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ให้ผู้บังคับการจัดแจงก็แล้วกัน”
สุยโจวพาพวกผางฉีไปแบ่งเรือนพักอีกเจ็ดหลัง บ้านเรือนเหล่านี้บางเรือนใหญ่ บางเรือนเล็ก ถังฟั่นกับสุยโจวไม่แบ่งเขาแบ่งเรา เลือกพักเรือนหลังเล็ก นอนเตียงเดียวกัน ซึ่งก็ไม่มีปัญหา อย่างไรทุกคนก็มิได้มาทัศนาจร เบียดกันนิดก็ผ่านพ้นไปแล้ว
อิ่นหยวนฮว่ากับเจ้าหน้าที่อีกสองคนรวมเป็นสามได้พักหลังใหญ่ มีห้องพักในและนอกสองห้อง อิ่นหยวนฮว่านอนห้องด้านใน เฉิงเหวินกับเถียนเซวียนนอนห้องด้านนอก
ส่วนองครักษ์เสื้อแพรนั้นยิ่งจัดสรรได้ง่าย พวกเขาล้วนเป็นชายฉกรรจ์ มีที่ว่างกับผ้าห่มให้ชุดหนึ่งก็นอนกันได้ ออกปฏิบัติภารกิจนอกพื้นที่ไม่พิถีพิถันอะไรมากมาย
เมื่อแบ่งเรือนพักกันแล้วถังฟั่นจึงกล่าวกับนายอำเภอเหอ “หากนายอำเภอเหอไม่รีบกลับก็พาพวกเราไปพบผู้ใหญ่บ้านหน่อยแล้วกัน” เขาเห็นนายอำเภอเหออึกอักจึงเอ่ยถาม “มีเรื่องลำบากใจอะไรหรือ”
นายอำเภอเหอยิ้มขื่น “ใต้เท้า มิใช่ว่าข้าน้อยเจตนาหละหลวม นับตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านคนนั้นได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ยามปกติสบายดีเหมือนคนทั่วไป แต่เมื่อใดที่ถามถึงเหตุการณ์คืนนั้นก็จะเอาแต่เพ้อซ้ำๆ อยู่สองสามคำ สอบถามอะไรก็ไม่ได้ความ หนำซ้ำ…”
ถังฟั่นสงสัย “หนำซ้ำอะไร”
นายอำเภอเหอประหม่า “ใกล้ค่ำแล้ว ถ้าอย่างไร…ถ้าอย่างไรรอพรุ่งนี้ค่อยพบเขาดีหรือไม่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ถังฟั่นจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าไม่เฉพาะนายอำเภอเหอ แม้แต่พวกผู้ช่วยนายอำเภอก็มีสีหน้าหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้นายอำเภอเหอกล่าวอย่างมั่นใจว่ามีเพียงชาวบ้านเท่านั้นที่เชื่อว่าเป็นเพราะภูตผีทวยเทพ แต่เวลานี้เขากลับอ้ำอึ้ง เห็นชัดว่าในใจก็พะวงกริ่งเกรงเช่นเดียวกัน
ห่างไปไม่ไกล เสียงแม่น้ำลั่วเหอไหลซ่าๆ กระแสน้ำไหลลงสู่แม่น้ำหวงเหอทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แม้จะมิได้ซัดโถมเชี่ยวกรากเหมือนอย่างแม่น้ำหวงเหอ แต่กระแสน้ำก็ไหลพุ่งรวดเร็ว แม่น้ำกว้างขวาง สามารถล่องเรือสัญจรได้ สองฝั่งมีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นประปราย หากมาดูยามกลางวันย่อมเป็นทิวทัศน์สวยงามที่แมกไม้เขียวขจี เมฆหมอกลอยต่ำเหนือผืนน้ำกว้างใหญ่ เพียงแต่ตอนนี้เวลาย่ำค่ำ ทิวทัศน์จึงมืดสลัว ลมราตรีพัดโชย อากาศเย็นกว่ายามกลางวัน คนที่สวมอาภรณ์บางหน่อยก็อดหนาวสะท้านมิได้
แม่น้ำเบื้องหน้าสายนี้ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนเคยกลืนกินผู้คนมากมายเช่นนั้น แต่เพราะได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ความรู้สึกของพวกนายอำเภอเหอ เมื่อถังฟั่นทอดสายตามองไปอีกครั้งก็รู้สึกว่าใต้กระแสน้ำที่ซัดสาดนั้นอาจมีภยันตรายอันพิศวงที่น้อยคนจะรู้ก็เป็นได้
เห็นพวกนายอำเภอเหอระแวงถึงเพียงนั้น ถังฟั่นก็ไม่บังคับฝืนใจ “เอาเถิด ท่านระบุตำแหน่งบ้านพักของผู้ใหญ่บ้านมา ให้คนที่คุ้นชินกับพื้นที่อยู่ดูแลสักสองคน แล้วท่านก็กลับไปได้แล้ว”
นายอำเภอหวาดกลัวอยู่บ้างจริงๆ จึงหันไปมองผู้ช่วย ฝ่ายหลังกลับมีเป้าหมายประจบผู้แทนราชสำนัก จึงออกตัวอาสา “ข้าน้อยยินดีอยู่นำทางให้ใต้เท้า”
เห็นผู้ช่วยนายอำเภอยอมอยู่ นายอำเภอเหอแทบภาวนาด้วยซ้ำ จึงให้คนของอำเภอสองคนอยู่รับบัญชา จากนั้นก็ขออภัยกับพวกถังฟั่นก่อนนั่งเกี้ยวกลับไปอย่างรีบร้อน
นายอำเภอเหอปฏิบัติหน้าที่อย่างพะวงหน้าพะวงหลัง จิตใจโลเล หากเป็นคนทั่วไปก็ไม่มีอะไร แต่เขาเป็นขุนนางควรมีความรับผิดชอบ ไม่ยอมเสี่ยงทุ่มสุดตัว ชะตากำหนดแล้วว่าอนาคตในแวดวงขุนนางคงไม่ไกลเท่าใด แต่ถังฟั่นก็มิได้เข้มงวดกวดขันกับเขา อย่างไรสถานการณ์ตรงหน้าสำคัญที่สุดคือคลี่คลายคดี นายอำเภอเหอมีส่วนเชื่อมโยงกับคดีนี้ไม่มาก ถึงอยู่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้
ตรงกันข้ามผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวกลับกระตือรือร้นกว่ามาก ด้วยการแนะนำของเขาพวกถังฟั่นจึงเพิ่งรู้ว่าผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านลั่วเหอที่ว่าสติสตังไม่ค่อยดีนักคนนั้นได้ส่งมอบตำแหน่งต่อให้บุตรชายคนโตแล้ว เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านสั่งสมบารมีมานาน ยอมออกหน้าแทนชาวบ้านเสมอ ทั้งยังประสบเหตุร้ายไม่คาดฝันเช่นนี้ ทุกคนจึงเสนอให้บุตรชายคนโตของเขาขึ้นเป็นผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เวลานี้อดีตผู้ใหญ่บ้านอาศัยอยู่กับบุตรชายคนโต
ด้วยการนำทางของผู้ช่วยนายอำเภอจ้าว พวกถังฟั่นก็มาถึงเรือนของผู้ใหญ่บ้าน
อีกฝ่ายได้ข่าวว่ามีขุนนางใหญ่มาจากอำเภอตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เพียงแต่ไม่มีคำสั่งของนายอำเภอเหอจึงมิกล้าไปรบกวน บัดนี้เห็นขุนนางผู้แทนราชสำนักมาเยือนก็รีบกุลีกุจอต้อนรับ เพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงล้วนแตกตื่น หมู่บ้านอันเงียบสงบในยามปกติอึกทึกอยู่พักใหญ่ เรือนหลังเล็กไม่อาจรองรับผู้คนได้มากนัก ถังฟั่นจึงให้ผางฉีพาคนเฝ้าอยู่ด้านนอก ส่วนเขาก็เข้าไปด้านในพร้อมกับสุยโจวและอิ่นหยวนฮว่า
บุตรชายคนโตซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านคนใหม่อายุสี่สิบกว่า แซ่หลิว เป็นชายฉกรรจ์นิสัยซื่อตรง เขาได้ยินจุดประสงค์ที่ถังฟั่นมาก็เข้าไปพาอดีตผู้ใหญ่บ้านออกมา ก่อนคำนับขออภัยกับพวกถังฟั่น “ยามนี้บิดาข้าพูดจาวกวน บางครั้งฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ขอใต้เท้าทุกท่านอย่าถือสา!”
ถังฟั่นกล่าวอย่างอ่อนโยน “เจ้ามิต้องกลัว พวกเราแค่มาถามไม่กี่คำก็ไป แต่หลายวันนี้เกรงว่าจะอยู่รบกวนที่นี่แล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวน่าจะพอมีความรู้อยู่บ้าง แม้จะหวาดหวั่นพรั่นพรึง ทว่าก็มิได้พูดจาเสียมารยาท เขาแย้มยิ้ม “แขกสำคัญมาเยือนถือเป็นเกียรติของหมู่บ้าน ไหนเลยจะเป็นการรบกวน เพียงแต่หมู่บ้านทุรกันดารเกินไป ให้ใต้เท้าทุกท่านลำบากแล้ว!”
ตอนที่พวกเขาสนทนากัน อดีตผู้ใหญ่บ้านก็ฟังอยู่ข้างๆ สีหน้าสงบราบเรียบ มือทั้งสองข้างกุมอยู่ด้านหน้า ถูไปมาอย่างเนิบช้า มองแล้วไม่ต่างจากคนปกติ
แต่ขณะที่ถังฟั่นเอ่ยถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น อดีตผู้ใหญ่บ้านก็มีสีหน้าหวั่นใจขึ้นทันที ร่างกายสั่นเทา อ้าปากพะงาบๆ คล้ายอยากกล่าวอะไร
ผู้ใหญ่บ้านหลิวจึงกล่าวกับเขา “ท่านพ่อ นี่คือขุนนางใหญ่ที่ราชสำนักส่งมาเพื่อสืบคดี ท่านรีบบอกพวกใต้เท้าเถอะว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อดีตผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้ากล่าวระรัว “พูดไม่ได้ๆ จะถูกสวรรค์ลงโทษ!”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวเอ่ยปลอบ “ท่านพ่อ ท่านมิต้องกลัว ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นเทพประจำดาวบนสวรรค์ ภูตผีวิญญาณไม่กล้าเข้าใกล้ คราวก่อนท่านยังบอกด้วยมิใช่หรือว่าเจอเทพแม่น้ำ เรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”
อดีตผู้ใหญ่บ้านถอนใจเฮือกหนึ่ง “ใต้เท้าทุกท่าน มิใช่ว่าข้าน้อยไม่ยอมบอก แต่ข้าไม่อยากเห็นพวกท่านตายจริงๆ คืนนั้นข้าเห็นเต็มตา เทพแม่น้ำออกมาจากแม่น้ำ พริบตาเดียวก็ลากพวกคนขุดสุสานลงไป ไม่เหลือแม้แต่กระดูก!”
เรื่องที่อดีตผู้ใหญ่บ้านเล่านี้นายอำเภอเหอกลับมิได้พูดถึง ถังฟั่นจึงถาม “ก่อนหน้านี้พวกท่านเคยพบคนพวกนั้นหรือ”
อดีตผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ใช่ๆ พวกเขานำพลั่วไปขุดสุสานแล้วถูกพวกเราจับได้ พวกเขาจะหลบหนี เราไล่ตามไปจนถึงริมแม่น้ำ แล้วก็…”
เขานึกถึงภาพเหตุการณ์ในคืนนั้นแล้วก็คล้ายตกอยู่ในความหวาดผวา ครู่เดียวก็พูดจาไม่รู้เรื่อง “แล้วก็เจอวิญญาณ! วิญญาณ มีวิญญาณมากมาย…”
ดูสิ เมื่อครู่ยังบอกว่าเป็นเทพแม่น้ำ ตอนนี้กลับบอกว่าเป็นวิญญาณ!
ถังฟั่นกับพวกสุยโจวมองหน้ากัน
“ท่านพ่อ! ท่านพูดเหลวไหลอะไรกัน!” ผู้ใหญ่บ้านหลิวอดเอ่ยปากไม่ได้
อดีตผู้ใหญ่บ้านตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าเริ่มบิดเบี้ยว ราวกับมองเห็นบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวสุดขีด เขาส่ายหน้าพลางขดตัวหลบมุม น้ำตาไหลจากดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้น “เสี่ยวลิ่วบ้านสกุลหลิวถูกกัดจนร่างขาดครึ่งท่อน ร่างส่วนบนยังอยู่บนริมตลิ่ง เล็บจิกอยู่บนคันกั้นน้ำ ร้องไห้ตะโกนให้พวกเราไปช่วยเขา มือปราบโจววิ่งเข้าไปคว้ามือดึงเขาขึ้นมา หากข้าไม่จับตัวมือปราบโจวไว้ อีกฝ่ายก็คงถูกดึงลงไปด้วย ตอนนั้นพวกเราจึงเห็น มี…มีบางอย่างอยู่ในแม่น้ำ…”
ถังฟั่นซักถาม “มีอะไร”
อดีตผู้ใหญ่บ้านเพ้อ “เทพแม่น้ำ! เป็นเทพแม่น้ำ!”
“…”
ถังฟั่นนิ่งเงียบ รู้สึกว่าไม่ควรจริงจังกับเฒ่าชราเช่นนี้ อย่างที่นายอำเภอเหอกล่าว เรื่องที่สอบถามจากอีกฝ่ายล้วนสับสนปนเป ช่วงแรกยังพอมีเหตุผล ช่วงหลังก็เริ่มพูดจาวกวนทำให้ยากจะแยกแยะข้อเท็จจริงได้
ครั้นเห็นว่าคงไม่อาจสอบปากคำอะไรได้แล้วถังฟั่นจึงหันไปถามสุยโจว “ท่านยังมีอะไรที่อยากถามอีกหรือไม่”
สุยโจวส่ายหน้า
อิ่นหยวนฮว่ากลับอยากถามอะไรที่ต่างจากคนอื่น จึงเอ่ยปาก “ท่านเห็นหรือไม่ว่าเทพแม่น้ำหน้าตาเป็นอย่างไร”
อดีตผู้ใหญ่บ้านชะงัก จากนั้นฟันก็สั่นกระทบกันดังกึกกัก
ผู้ใหญ่บ้านหลิวรีบประคองเขา กล่าวด้วยความร้อนรนว่า “ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรไป!”
ใครจะคิดว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านจะยิ่งตัวสั่นรุนแรง ปัดมือของผู้ใหญ่บ้านหลิวออก มุดร่างขดตัวอยู่มุมเตียงเตา*
ผู้ใหญ่บ้านหลิวจนปัญญาจึงได้แต่วิงวอนพวกถังฟั่น “ใต้เท้า บิดาข้าเป็นเช่นนี้ คงบอกอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ เอาไว้ถามคราวหน้าได้หรือไม่”
อิ่นหยวนฮว่ารู้สึกเสียหน้า อดถลึงตาจ้องชายชราแวบหนึ่งไม่ได้
แต่เขากลับเห็นอดีตผู้ใหญ่บ้านเงยหน้าขึ้นพอดี ความหวาดผวาปนสิ้นหวังฉายอยู่ในแววตานั้น ทั้งยังเจือด้วยความวิงวอน ทำให้อิ่นหยวนฮว่ารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว ทันใดนั้นก็ไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายอีก รีบเบนสายตาหลบ
ถังฟั่นลุกขึ้น บอกให้ผู้ใหญ่บ้านหลิวดูแลบิดาให้ดีจากนั้นก็พาทุกคนออกมา
ด้านหลัง เสียงพึมพำของอดีตผู้ใหญ่บ้านดังลอยมา “อย่าไป…ห้ามไปเด็ดขาด…ที่นั่นมีวิญญาณ…มีวิญญาณ…วิญญาณมากมาย มีแต่วิญญาณเต็มไปหมด…”
ถังฟั่นอดหันไปมองแวบหนึ่งไม่ได้ อดีตผู้ใหญ่บ้านกลับก้มหน้างุด ศีรษะพิงข้างผนัง ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา
ตอนที่ออกจากบ้านสกุลหลิวก็เป็นเวลาดึกแล้ว ถังฟั่นจึงให้ทุกคนแยกย้ายกลับไปยังบ้านที่นายอำเภอเหอจัดแจงให้พวกเขาพักชั่วคราว เตรียมตัวพักผ่อน
ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวรอบคอบกว่านายอำเภอเหอมาก แม้กระทั่งน้ำร้อนกับผ้าเช็ดหน้าก็เตรียมไว้แล้ว ทั้งยังกลัวไม่รอบคอบพอ เขาอาศัยช่วงเวลาที่พวกถังฟั่นไปสอบถามที่บ้านสกุลหลิว สั่งคนไปซื้อของว่างจากตัวอำเภอ ยามนี้น้ำชาบนโต๊ะยังร้อนกรุ่น แม้ชุดชาจะเก่าโทรม แต่ถังฟั่นได้กลิ่นน้ำชาแล้วก็รู้ว่าเป็นใบชาชั้นดี
“นายอำเภอเหอกลัวตายจะกลับไปก่อนให้ได้ ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวคนนี้กลับอาสาอยู่ ทั้งยังเอาใจใส่อย่างรอบคอบ ต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ!” ถังฟั่นส่ายหน้า รินน้ำชาให้สุยโจวกับตนเองคนละถ้วย
“เขาก็แค่อยากให้เจ้ากลับไปช่วยชมเขากับเบื้องบน คนเดินขึ้นสู่ที่สูง ไม่มีใครอยากเป็นแค่ผู้ช่วยนายอำเภอไปทั้งชีวิต” สุยโจวคลี่แถบผ้าสะอาดที่นำมาจากผางฉี ทายาที่พกติดตัวเสมอลงไป “มานี่”
ถังฟั่นเห็นสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ “ข้าก็พันแผลมาตั้งหลายวันแล้ว น่าจะใกล้หายดีแล้ว มิต้องพันแผลแล้วกระมัง มันอึดอัดน่ะ!”
สุยโจวปั้นหน้าเย็นชา “สั่งเจ้ามาก็มา หายแล้วหรือไม่ มีรึเจ้าจะไม่รู้”
แน่นอนว่ายังไม่หายดี
ใต้เท้าถังหน้าสลด เดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
สุยโจวสั่ง “นอนลง ถอดกางเกง เลิกเสื้อขึ้น”
“…”
ถังฟั่นนิ่งอึ้ง ไยบทสนทนานี้จึงฟังแล้วสองแง่สองง่ามเหลือเกิน หากมีคนเดินผ่านเวลานี้คงได้เข้าใจผิดเป็นแน่
แต่ความจริงแล้วมิได้เป็นเช่นนั้น
สภาพร่างกายของถังฟั่นหาได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกอิ่นหยวนฮว่าเท่าใด เขาเคยขี่ม้าติดต่อกันนานเช่นนี้ที่ใดเล่า เขาเองก็ย่อมทนไม่ไหวเช่นเดียวกัน ทว่านั่งรถม้าทรมานกว่า ดูอิ่นหยวนฮว่าที่อาเจียนจนมีสภาพเช่นนั้นก็รู้แล้ว เมื่อเทียบกันแล้วการขี่ม้าอย่างมากก็ทรมานแค่สะโพกกับต้นขาทั้งสองข้าง มิได้ทรมานไปทั้งตัว หนักเบาอย่างไรใต้เท้าถังในฐานะผู้นำสูงสุดของภารกิจนี้ยอมกัดฟันทุกข์ทนกับความเจ็บปวดแค่นี้ แต่จะไม่ยอมให้ภาพลักษณ์ป่นปี้อย่างอิ่นหยวนฮว่า
นี่เรียกว่ากลัวเสียหน้าจนเจ็บตัว
เป็นตรงสะโพกก็แล้วไป ผิวบริเวณนั้นค่อนข้างหนา พลิกไปพลิกมาก็ไม่เป็นไร ประเด็นคือต้นขาด้านในเสียดสีระหว่างขี่ม้าอย่างต่อเนื่องจนเกิดตุ่มน้ำพุพอง จากนั้นก็ถลอกจนเลือดไหล
เมื่อบาดเจ็บก็ต้องทายา เริ่มแรกถังฟั่นยังกลัวเสียหน้าเลยไม่กล้าเอ่ยปาก จนกระทั่งสุยโจวบังคับจับเขานอนทายา
ตอนนี้การเปลี่ยนยาทุกคืนจึงกลายเป็นเรื่องที่ใต้เท้าถังไม่เต็มใจที่สุดไปแล้ว
หากเลือกได้เขาย่อมเต็มใจไปทักทายเทพแม่น้ำที่ริมแม่น้ำลั่วเหอดีกว่านอนหงายอยู่บนเตียงในสภาพขาทั้งสองข้างแยกจากกัน ถอดกางเกง เลิกเสื้อขึ้นให้สุยโจวเปลี่ยนผ้าพันแผลผืนใหม่ตรงบาดแผลของเขาเช่นนี้
แม้พวกเขาต่างก็เป็นบุรุษเพศ ส่วนที่ควรมีก็มีเหมือนกัน ส่วนที่ไม่ควรมีก็ไม่มีเหมือนกัน ทว่าถังฟั่นก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ สายตาจดจ้องคานเหนือศีรษะ แสร้งทำเหม่อลอยกลบเกลื่อนความอายของตนเอง
สุยโจวคล้ายจะอ่านความคิดของอีกฝ่ายได้ เขานึกขำในใจ แต่สีหน้ายังคงปราศจากอารมณ์ เพียงแค่พันแผลทีละชั้นจากนั้นก็ทำเป็นชำเลืองมองหว่างขาของอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “รูปทรงไม่เลว”
อย่าเห็นว่าถังฟั่นแกล้งตายเช่นนั้น อันที่จริงสติของเขายังอยู่ครบถ้วน ครั้นวาจาของอีกฝ่ายดังเข้าโสตประสาท เขาก็หน้าแดงก่ำทันที กล่าวอย่างขุ่นเคือง “บังอาจนัก กล้าวิจารณ์ผู้แทนราชสำนักเชียวรึ ไม่รักชีวิตแล้วหรือไร”
สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง “ข้าเองก็เป็นผู้แทนราชสำนัก”
ถังฟั่นสำทับ “ท่านเป็นรอง ข้าเป็นหลัก มิต้องพูดมาก ท่านเองก็ถอดให้ข้าดูเสียหน่อย!”
สุยโจวถาม “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะดู”
ถังฟั่นยืนยัน “แน่นอน!”
เดิมทีเขานึกว่าสุยโจวจะหาข้ออ้างไม่ยอม ใครจะคิดว่าอีกฝ่ายกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง ลุกขึ้นช้าๆ พลางเลื่อนมือไปจะปลดสายผูกเอว
ถังฟั่นรีบกล่าว “ช่างเถอะๆ ข้ารู้ว่าท่านเล็กกว่าข้า ประเดี๋ยวกระทบกระเทือนศักดิ์ศรีเข้าจะแย่เอา บุรุษล้วนต้องรักษาหน้าตา ข้าจะยอมท่านสักครั้ง”
สุยโจวกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือ”
“…”
อันที่จริงสุยโจวก็แค่ต้องการหยอกล้อถังฟั่นเท่านั้น เขายังไม่ได้ปัญญาอ่อนถึงขั้นนั้น
เห็นใต้เท้าถังมีท่าทีเดือดดาลเขาก็หยุดแต่พอดี ยกจานขนมบนโต๊ะมา หยิบขนมชิ้นหนึ่งยื่นไปชิดที่ปากของถังฟั่น
ใต้แสงเทียนสลัว ถังฟั่นมองรูปร่างของพุทรากวนได้ไม่ชัด แต่เข้าปากแล้วรสชาติไม่เลว เปรี้ยวๆ หวานๆ ได้กลิ่นอายคุ้นเคยที่คล้ายรสมือของแม่ครัวสมัยเขายังเด็ก
เขาแลบลิ้นออกมาตวัดดูดขนมส่วนที่เหลือเข้าไปในปากทั้งหมด กลับเผลอเลียนิ้วของสุยโจวเข้าโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายชะงัก รีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว
ถังฟั่นไม่สนใจ หรี่ตาดื่มด่ำกับรสชาติและรสสัมผัสจากปลายลิ้น พยักหน้าแล้วเอ่ยชมอีกครั้ง “ขนมที่ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวเลือกมาไม่เลวจริงๆ! น่าเสียดายที่หมู่บ้านแห่งนี้ผิดปกติเกินไป ดีไม่ดีครึ่งคืนหลังพวกเราก็ต้องไปตะลอนกันแล้ว!”
สุยโจวให้เขาสวมกางเกงแล้วลุกขึ้น ส่วนตนเองก็ก้มลงปูที่นอนและผ้าห่มพลางเอ่ยถาม “เจ้าเห็นอะไรผิดปกติแล้วหรือ”
ถังฟั่นหยิบพุทรากวนส่งเข้าปากอีกชิ้น ไม่ตอบแต่กลับถาม “ท่านเองก็มองออกแล้วหรือ”
“อย่ากินเยอะ เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ” สุยโจวย่นคิ้วต่อว่าเขาคำหนึ่งก่อนตอบว่า “ตาเฒ่านั่นเหมือนมีพิรุธ”
ถังฟั่นพยักหน้า กำลังจะเอ่ยปาก พุทรากวนกลับหลุดลงคอ เกือบติดคอตาย รีบยื่นมือลูบคอตาเหลือก
สุยโจวอ่อนใจ เดินเข้าไปตบหลังเขาเบาๆ พลางยื่นน้ำชาให้ “ยี่สิบปีที่ผ่านมาเจ้ารอดชีวิตมาได้อย่างไร”
น้ำชาได้พาเอาพุทรากวนลงท้องไปด้วย ในที่สุดถังฟั่นก็ได้หายใจ กล่าวกลบเกลื่อน “ข้าย่อมอายุยืนพันปี! ตาเฒ่านั่นมีพิรุธข้าเองก็รู้สึกได้ แม้จะพูดจาวกวนแต่ดูแล้วเหมือนแสร้งเล่นละครมากกว่า”
สุยโจวตอบอืมคำหนึ่ง รอเขากล่าวต่อ
ถังฟั่นจึงกล่าว “มีความเป็นไปได้หลายอย่าง หนึ่งคือคนที่หายไปพวกนั้นถูกอดีตผู้ใหญ่บ้านสังหาร แต่ความเป็นไปได้นี้มีไม่สูง ข้าคิดไม่ออกว่าเขาจะสังหารคนมากมายด้วยสาเหตุใด อีกอย่างนอกจากจะมีคนช่วยแล้วเฒ่าชราคนหนึ่งอย่างเขาไม่มีทางสังหารคนมากมายเช่นนั้นได้ ทำไม่ได้แน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้นี้จึงละไว้ก่อน
ความเป็นไปได้อย่างที่สอง ตาเฒ่าคนนั้นรวมถึงทั้งหมู่บ้านสมคบกับพวกโจรขุดสุสาน ด้วยเหตุนี้จึงวางอุบายเล่ห์กลให้เราเข้าใจผิด โยงให้เราคิดไปด้านภูตผีปีศาจ บางทีหลังจากโจรพวกนั้นขุดสุสานจักรพรรดิแล้วอาจรับปากจะให้ประโยชน์อะไรกับพวกชาวบ้าน โดยขอให้พวกเขาช่วยรักษาความลับ พวกคนที่ถูกสังหารล้วนเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับแล้วคิดจะไปฟ้องทางการ” ถังฟั่นค่อยๆ วิเคราะห์ช้าๆ ครู่หนึ่งก็ส่ายหน้า “แต่เช่นนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลนัก เบาะแสที่เรามียามนี้น้อยเกินไป ยากจะสันนิษฐานความจริงได้ในเวลาอันสั้น”
“ยังมีอีกความเป็นไปได้” สุยโจวกล่าว
ถังฟั่นมองเขา
“นั่นคือตาเฒ่าพูดความจริง”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ท่านเองก็เชื่อว่ามีภูตผีวิญญาณหรือ”
สุยโจวส่ายหน้า “มิใช่ภูตผีเสมอไป แต่ก็อาจเป็นอย่างอื่น ไม่ว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านคนนั้นจะเสียสติจริงหรือไม่ เขาก็ต้องมีเรื่องอะไรปิดบังไม่ยอมบอกพวกเราอยู่แน่”
ถังฟั่นแย้มยิ้มกล่าว “เจรจาก่อนใช้กำลัง เห็นทีต้องให้องครักษ์เสื้อแพรออกโรง”
หากกล่าวถึงวิธีการบังคับให้สารภาพ ใต้หล้าไม่มีใครเก่งกล้าเกินกว่าหน่วยองครักษ์เสื้อแพร
คนมากมายได้ยินคำว่าบังคับให้สารภาพก็จะนึกถึงวิธีทรมานอันโหดเหี้ยมสารพัด แต่ในความเป็นจริงมีวิธีการมากมายที่สามารถเค้นคอให้บอกความจริงอย่างว่าง่ายได้โดยมิต้องทรมาน ส่วนมากวิธีการเหล่านี้มักใช้กับขุนนางที่ไม่ยอมสารภาพความจริงและมิอาจใช้ทัณฑ์ทรมานได้ ซึ่งนั่นเป็นเคล็ดลับเฉพาะที่ไม่มีใครเหมือนของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร
บัดนี้นำมาใช้กับชายชราคนหนึ่งในหมู่บ้านทุรกันดารก็นับว่าเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าโค* แล้ว
สุยโจวกล่าว “พักผ่อนก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ถูกต้อง ยามไฮ่เข้าไปแล้ว ย่อมต้องพักผ่อน
ด้านนอกเงียบสงัด ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงไก่ขันสุนัขเห่า คาดว่าสรรพสิ่งล้วนเข้าสู่นิทราแล้ว
แต่หากจะบอกว่าเงียบเชียบไร้เสียงก็ไม่ถูก อย่างน้อยแม่น้ำลั่วเหอที่อยู่ไม่ไกลก็ยังคงไหลหลากทั้งทิวาและราตรี กระแสน้ำพัดโถมไปยังเบื้องหน้า เสียงคลื่นน้ำจึงดังแว่วอยู่ริมหูของพวกเขาอย่างไม่ขาดสาย ทว่าเมื่อฟังเสียงนี้จนคุ้นหูแล้วกลับเหมือนชะล้างความว้าวุ่นที่รุมเร้าในใจออกไปจนสิ้น
พื้นที่บนเตียงเตามิได้คับแคบ เพียงพอให้ทั้งสองนอนลงเหลือเฟือ ถังฟั่นนอนด้านใน สุยโจวนอนด้านนอก
แม้ทั้งสองจะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน กลับยังไม่เคยได้นอนร่วมเตียงกันอย่างวันนี้
ความจริงแล้วพวกเขาเหนื่อยกันมาก แต่บางครั้งการเหน็ดเหนื่อยเกินไปกลับทำให้ยากจะหลับลง
สุยโจวได้ยินเสียงถังฟั่นขยับตัวจึงกล่าวว่า “เจ้าหันกลับไป”
ถังฟั่นมิได้ถามเหตุผล พลิกร่างหันหลังให้อีกฝ่าย พลันรู้สึกว่าคางของตนเองถูกมือใหญ่ของสุยโจวจับไว้ ส่วนท้ายทอยถูกมืออุ่นอีกข้างหนึ่งกดจุดลมปราณหลายจุดอย่างช้าๆ
ความรู้สึกตึงเกร็งที่ศีรษะค่อยๆ ผ่อนคลายลง ถังฟั่นส่งเสียงในลำคอด้วยความสบาย ด้วยเรี่ยวแรงที่พอดี ไม่เบาและไม่หนักเกินไปของคนด้านหลัง เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความเหนื่อยอ่อนพร้อมความง่วงเริ่มจู่โจมเข้ามาเป็นระลอก เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างรวดเร็ว
ครึ่งคืนหลัง เขาฝันประหลาด
ในฝันเขาเดินอยู่ริมแม่น้ำมืดสนิท บนทุ่งกว้างที่ไกลออกไปมีป้ายสุสานสูงต่ำตั้งเรียงราย เสียงลมพัดดังซู่ โชยมาพร้อมเสียงร่ำไห้จากที่ไกลๆ เสียงสะอื้นนั้นเศร้าสร้อยเย็นเยือก คล้ายอัดอั้นด้วยความโศกเศร้าและแค้นเคือง สะท้อนวนเวียนอยู่ในทุ่งกว้าง ทะลุเข้าโสตประสาทของถังฟั่น พาให้เขารู้สึกเย็นวาบ
เสียงร้องไห้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทันใดนั้นด้านหลังก็เหมือนมีอะไรบางอย่าง!
ความรู้สึกนั้นบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำไม่ถูกเลย เขาแค่รู้สึกว่าในใจไม่เคยหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อน
เขาหันกลับไปอย่างช้าๆ…
ถังฟั่นร่างสะท้าน ลืมตาโพลง!
“อย่าขยับ” สุยโจวกระซิบเสียงเบาข้างหูเขา แขนกำลังโอบเอวถังฟั่น
เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย หัวใจที่เต้นโครมเพราะฝันร้ายของถังฟั่นก็ค่อยๆ สงบลง
แต่ครู่เดียวเขาก็พบว่าเสียงร้องไห้ที่เดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบจนทำให้เขาไม่สบายไปทั้งตัวนั้นมิได้อยู่ในฝัน แต่กำลังดังมาจากด้านนอก!
เสียงนั้นฟังผิวเผินแล้วเหมือนสตรีกำลังร้องไห้ แต่เมื่อเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจกลับพบว่าไม่ใช่เสียงร้องไห้ของสตรีคนเดียว แต่เหมือนเป็นเสียงของสตรีจำนวนนับไม่ถ้วน ดังแว่วมาจากที่ไม่ไกลเคล้ากับเสียงน้ำไหล
พวกนางอาจพบเจอเรื่องราวที่ทำให้เศร้าสลดอย่างแสนสาหัส หรือประสบเหตุบางอย่างที่น่าเวทนา เนื่องจากไร้กำลังจึงเจ็บปวด โกรธแค้น สาปแช่ง อารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้แฝงอยู่ในเสียงร้องไห้ ยิ่งเย็นเยือกในราตรีกาลอันวิเวกวังเวง
ทว่าดึกดื่นค่อนคืนคนในหมู่บ้านต่างเข้านอนกันแล้ว ด้านนอกนั้นนอกจากไร่นาก็คือสุสานจักรพรรดิสองพระองค์ ไหนเลยจะมีสตรีร้องไห้อยู่ข้างนอก
ชัดเจนว่ามิใช่คน!
ตอนที่ยังไม่ได้ยินเสียงร้องไห้นี้กับหู ถังฟั่นก็คิดว่าคำบอกเล่าของอดีตผู้ใหญ่บ้านกับคนอื่นๆ ข่มขวัญเกินจริง เวลานี้ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสความรู้สึกนั้นด้วยตนเองแล้ว
เสียงร้องไห้นั้นเจือด้วยความโกรธแค้นและเศร้าใจอย่างลึกล้ำ บางครั้งกรีดแหลมดังก้อง บางครั้งต่ำทุ้มเย็นเยียบ ราวกับมีดที่กรีดลึกเข้าไปในกระดูก มิใช่เสียงที่คนปกติคนหนึ่งทำได้แน่นอน ชวนให้ขนพองสยองเกล้าและมิอาจหลบเลี่ยงไปที่ใดได้
เหมือนลมในคืนนี้จะแรงเป็นพิเศษ พัดให้บานประตูหน้าต่างดังปึงปัง เสียงร้องไห้นั่นก็ลอยตามสายลมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
ถังฟั่นสงบสติลงแล้ว นั่นไม่เพียงเพราะมีสุยโจวอยู่ข้างกาย แต่เพราะนิสัยสุขุมเยือกเย็นในยามปกติกลับคืนมาแล้ว ด้วยนิสัยเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ที่เขาขึ้นเหนือล่องใต้ พเนจรทั่วทิศ เคยประสบกับภยันตรายบ่อยครั้ง สุดท้ายก็พลิกวิกฤตให้ปลอดภัยได้
เขาเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งก็เอียงศีรษะไปด้านข้าง โน้มเข้าไปประชิดริมหูสุยโจว เอ่ยถามเสียงเบา “จะออกไปดูหรือไม่”
สุยโจวมีสีหน้าหนักอึ้ง เขาพยักหน้า ทั้งสองลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า
เนื่องจากที่นี่ยามกลางคืนลมพัดแรงนัก ทั้งยังอยู่ต่างถิ่น ตอนเข้านอนพวกเขาจึงถอดเพียงเสื้อชั้นนอก เวลานี้แค่สวมเสื้อคลุมพริบตาเดียวก็เรียบร้อย สุยโจวว่องไวกว่า เขาเปิดประตูออกแล้ว
ลมด้านนอกค่อนข้างแรง ระดับน้ำก็สูงขึ้น ด้วยเสียงกระแสน้ำไหลกลับทำให้เสียงร้องไห้โหยหวนนั้นไม่แจ่มชัดเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ถังฟั่นรู้ว่านี่เป็นเพียงปรากฏการณ์ลวง ความจริงแล้วเสียงร้องไห้ยังคงดังอยู่ตลอด เขาทอดสายตามองไป หยั่งเชิงแยกแยะต้นตอของเสียง
เหนือความคาดหมาย เดิมทีเขานึกว่าเสียงนั้นดังมาจากริมแม่น้ำ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นคำให้การจากอดีตผู้ใหญ่บ้าน หรือจากคำบอกเล่าของพวกนายอำเภอเหอ ใต้แม่น้ำลั่วเหอแห่งนี้เหมือนมีความน่ากลัวซ่อนเร้นอยู่จนทำให้มีคนถูกลากลงไป ทว่าฟังจากยามนี้เสียงร้องไห้นั้นกลับเหมือนดังมาจากทางสุสานหย่งโฮ่ว
หรือจะมีคนสร้างเรื่องตบตาอยู่จริงๆ
ถังฟั่นกับสุยโจวส่งสายตากัน พวกเขาพบว่าบ้านเรือนหลายหลังที่อยู่ถัดไปล้วนมีเงาคนหลายเงามุดออกจากเรือน กำลังเข้ามาใกล้พวกเขาสองคน
เป็นพวกผางฉี
ชาวบ้านย่อมมิกล้าออกมาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นแน่นอน พวกอิ่นหยวนฮว่ากับผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เกรงว่าได้ยินแล้วก็มีแต่จะแสร้งไม่ได้ยิน
ช่างให้บังเอิญ เมื่อวานนายอำเภอเหอบอกว่ามิได้ยินเสียงนี้มาระยะหนึ่งแล้ว คืนนี้พวกถังฟั่นเพิ่งค้างแรมที่นี่ เสียงก็ดังขึ้นอีก
ผางฉีกับพวกองครักษ์เสื้อแพรเข้ามา เอ่ยถามสุยโจวเสียงเบา “พี่ใหญ่ จะไปตรวจดูหรือไม่”
แม้เสียงฟังดูอยู่ห่างจากพวกเขาพอสมควร แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันผ่อนฝีเท้าและเบาเสียงลง
สุยโจวพยักหน้า เดินหน้าไปทางสุสานจักรพรรดิ คนอื่นๆ จึงตามติดไปด้วย
หมู่บ้านลั่วเหอตั้งอยู่ใกล้สุสานจักรพรรดิหย่งโฮ่วก็เพื่อให้ชาวบ้านเฝ้ายามสุสานจักรพรรดิได้สะดวก ชาวบ้านมิได้ขุ่นข้องหมองใจ เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบกับการทำนาทำไร่ อีกทั้งการมีสุสานจักรพรรดิอยู่ที่นี่ก็แสดงว่าหมู่บ้านของพวกเขาภูมิพยากรณ์เป็นเลิศ ทุกคนล้วนรู้สึกเป็นเกียรติ
ทว่าความคิดนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน มีภูตผีส่งเสียงร้องไห้กลางดึกทุกคืน ทั้งยังมีเทพแม่น้ำคอยจับคน เป็นที่หวาดผวาพรั่นพรึง ดังนั้นตอนที่พวกถังฟั่นมาที่นี่เมื่อพลบค่ำก็รู้สึกว่าชาวบ้านที่เจอนั้นล้วนมีสีหน้าหวาดกลัว ยังคิดว่าพวกเขาขาดความรู้จึงเป็นเช่นนั้น ครั้นตนเองได้ยินเสียงนี้กับหูบ้างถึงพบว่าท่าทีของชาวบ้านเป็นเรื่องปกติ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใจระแวงจนเกิดความกลัวหรืออย่างไร ทุกคนต่างรู้สึกว่ายิ่งเข้าใกล้สุสานจักรพรรดิยิ่งรู้สึกว่าลมเย็นหนาวยะเยือก
แม้กระทั่งองครักษ์เสื้อแพรที่เก่งกล้าเหี้ยมหาญในยามปกติอย่างผางฉีก็ยังรู้สึกพรั่นพรึง
เสียงโหยหวนเศร้าสร้อยที่เจือความโกรธแค้นดังมาไม่ขาดสาย ติดต่อยาวนานราวกับไม่ต้องหายใจ ยิ่งเข้าไปใกล้ก็ยิ่งแน่ใจว่ามิใช่เสียงของมนุษย์
หากเป็นคนก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว น่ากลัวที่สุดคือเป็นสิ่งที่อยู่นอกขอบเขตความรู้ของตนเอง มีสักกี่คนที่จะไม่เชื่อว่ามีภูตผีปีศาจอยู่ในโลกนี้จริง ต่อให้เป็นบัณฑิตที่ร่ำเรียนคัมภีร์ปรัชญา น่ากลัวว่าก็ไม่กล้ายืนกรานเช่นนั้น การบวงสรวงกราบไหว้ สักการะภูตผีทวยเทพหยั่งรากลึกในใจชาวบ้านมาแต่โบราณกาล ต่อให้เป็นคนใจกล้า อย่างมากก็เพียงห่างไกลไม่ลบหลู่ มิได้ไม่เชื่อไปเสียทีเดียว
ถังฟั่นไม่เคยยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มีตัวตน แต่ก็ไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของมัน สำหรับเขา คนมีทางของคน ผีมีทางของผี สวรรค์มีทางของสวรรค์ ไม่ว่าจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ไม่ควรออกนอกลู่นอกทางของตนเอง ทำเรื่องฆ่าคนวางเพลิง ปองร้ายผู้อื่น
อย่างเหตุการณ์ครั้งนี้ ลอบขุดสุสานจักรพรรดิ สังหารชีวิตผู้คน แต่ละคดีล้วนเป็นความผิดอาญา ไม่ว่าจะเป็นคนก็ดี เป็นวิญญาณก็ช่าง เมื่อทำแล้วก็ต้องชดใช้ ต้องจับตัวมาลงโทษตามกฎ นี่ก็คือปณิธานในใจของถังฟั่น
ด้วยเหตุนี้ต่อให้เขาเป็นขุนนางพลเรือนที่ไร้วรยุทธ์และปราศจากอาวุธป้องกันตัว เดินพร้อมกับองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าเข้าใกล้เสียงประหลาดพิศวงนั้นทีละก้าว กลับมิได้มีท่าทีตระหนกลนลานสักเท่าใด ยังรักษาความสุขุมใจเย็นเฉกเช่นยามปกติได้
ในฐานะผู้นำของคนทั้งขบวน ต่อให้ไม่มีวรยุทธ์ไร้เทียมทาน แต่อย่างน้อยก็ต้องสยบใจคนได้ในยามคับขัน เรื่องนี้ถังฟั่นทำได้ ตอนแรกพวกผางฉีถูกเสียงนั้นปั่นป่วนจนเริ่มตระหนกลนลาน มือวางทาบอยู่บนด้ามดาบปักวสันต์อย่างแนบแน่น แต่พอเห็นผู้บังคับบัญชาทั้งสองล้วนสุขุมเยือกเย็นก็พลอยได้รับอิทธิพลไปด้วย พากันตั้งสติให้ใจเย็นลง
สุสานหย่งโฮ่วตั้งอยู่บนเนินสูง ในระยะใกล้ไกลล้วนมีแต่ที่ราบทอดยาวออกไป บริเวณโดยรอบดูกว้างสุดลูกหูลูกตา จันทราแย้มโฉมออกจากมวลเมฆาครึ่งดวง ส่องแสงจันทร์อาบทอซากปรักหักพังบนทุ่งราบ ยิ่งเพิ่มความเศร้าวังเวงของกาลเวลาที่แปรเปลี่ยนอีกหลายส่วน
ห่างออกไปไม่ไกลแท่นสุสานของสุสานหย่งโฮ่วตั้งตระหง่านอย่างเงียบงันอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ด้านบนมีหญ้าขึ้นรก ไร้ซึ่งความน่าเกรงขามในอดีตกาล
จักรพรรดิซ่งอิงจงที่หลับใหลอยู่ในสุสานหย่งโฮ่วไม่เพียงอายุขัยสั้น เมื่อตายแล้วยังโชคร้าย สุสานของเขาเคยถูกเผาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เปลวเพลิงเผาไหม้ตำหนักใต้ดินสองชั้นจนเกือบวอดวาย
ที่ร้ายกว่านั้นคือเนื่องจากราชวงศ์ซ่งเหนือมีขุนนางคนหนึ่งเคยร่วมพิธีฝังพระศพของจักรพรรดิซ่งอิงจง จึงร่างโครงสร้างตำหนักใต้ดินของจักรพรรดิซ่งอิงจงไว้ในตำราของตนเองอย่างละเอียด ปรากฏว่าตำรานี้ถูกพวกโจรขุดสุสานที่มีความรู้ยกให้เป็นเอกสารอ้างอิงที่มีความถูกต้องแม่นยำที่สุด มีคนมากมายไปขุดสุสานหย่งโฮ่วตามเนื้อหาที่บันทึกในตำรานั้น ขุดหลุมอุโมงค์มุดเข้าไปจากทั่วสารทิศ ไม่รู้ว่ายามนี้สมบัติในสุสานยังเหลืออยู่เท่าใด
เนื่องจากมีอาจารย์ที่มีความรู้กว้างขวาง ถังฟั่นเองก็เคยอ่านตำราเล่มนั้น เรียกได้ว่าพอรู้จักสุสานหย่งโฮ่วอยู่บ้าง เวลานี้ได้ประจักษ์สุสานจักรพรรดิในอดีตกับตา บวกกับเสียงร่ำไห้โศกสลดโหยหวนก็อดสะท้านใจมิได้ คิดในใจว่าสร้างสุสานให้ใหญ่โตหรูหราแล้วมีประโยชน์อันใด ร้อยปีให้หลังจักรพรรดิก็จะกลายเป็นธุลีดิน สู้หาสถานที่สามัญธรรมดายังดีกว่าเป็นเช่นตอนนี้ กระทั่งตายแล้วก็ยังไร้ความสงบ
ทว่าความคิดเช่นนี้ค่อนข้างหมิ่นเกียรติบูรพกษัตริย์ ฉะนั้นเขาเพียงแค่คิด ไม่มีทางกล่าวออกมาแน่นอน
ปัญหาในเวลานี้คือยิ่งเข้าไปใกล้เสียงร้องไห้ของวิญญาณก็ยิ่งชัดเจน ในใจทุกคนล้วนตื่นเกร็งราวกับมีเชือกรัดขึง กลัวว่าจะมีอะไรโผล่มากะทันหัน แรงกดดันในใจมากมายมหาศาล มีเพียงใต้เท้าถังที่ยังใจลอยคิดถึงเรื่องเช่นนั้น ไม่รู้ว่าควรบอกว่าเขาใจกล้าดีหรือสมองมีปัญหาดี
แท่นสุสานกว้างขวางทั้งสี่ทิศปราศจากที่ให้คนซ่อนตัว เสียงร้องไห้ดังมาจากด้านหลังของแท่น
พวกเขาเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า อ้อมแท่นสุสานที่หักพังทรุดโทรม
ทันใดนั้นสุยโจวที่เดินอยู่หน้าสุดก็ชะงักฝีเท้า
ทุกคนไม่ทันตั้งตัว คนที่อยู่ด้านหลังหัวใจกระตุกวูบ แทบชักดาบออกมาแล้วด้วยซ้ำ
แต่ครู่เดียวทุกคนก็เข้าใจว่าเหตุใดสุยโจวจึงหยุดฝีเท้ากะทันหัน
เบื้องหน้าพวกเขายังคงมองไม่เห็นใคร มีเพียงพงหญ้ารกครึ้มถูกลมพัดจนส่ายไหวราวกับเงาวิญญาณ
ส่วนเสียงนั้นดังมาจากในหลุมดำมืดหลุมหนึ่งใต้แท่นสุสาน
หลุมที่ว่ามิได้เด่นสะดุดตา และเพราะเสียงดังกล่าวจึงทำให้พวกเขาสังเกตเห็นหลุมที่ถูกขุดอยู่ตรงนั้น
เสียงยังคงเศร้าโศก ราวกับสตรีที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักมืดชั่วชีวิต รู้สึกไม่เป็นธรรมที่ความงามร่วงโรย ค้างคาใจที่หมดสิ้นความสาวอย่างสูญเปล่าในวังหลวง และเหมือนผู้คนที่ตายเพราะถูกทารุณโดยไร้ความผิด ไม่ยินดีที่ตัวตาย ทิ้งความค้างคาใจไว้ อัดอั้นไปด้วยความโกรธแค้นเสียใจไร้ขอบเขต ไม่ยอมจากไปทุกภพทุกชาติ
หากบอกว่าเสียงที่ได้ยินในเรือนเมื่อครู่เป็นเพียงความคับแค้นใจที่ลอยมากับสายลม เช่นนั้นเมื่อมาถึงที่นี่ก็สัมผัสได้ถึงความอาฆาตที่ทวีความรุนแรงเป็นสิบเท่าร้อยเท่า ราวกับสามารถแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุ กระโจนมาทางพวกเขา กลืนกินร่างเนื้อและจิตวิญญาณของพวกเขาทุกคนทั้งเป็น!
เมื่อทุกคนเห็นปากหลุมสี่เหลี่ยมกว้างสามเชียะที่มีขนาดพอให้คนคนหนึ่งก้มตัวเข้าไปแล้วก็รู้สึกถึงไอเย็นยะเยือกเสียดกระดูกบนร่างของตนเอง
นี่มิใช่การเผชิญหน้ากับโจรหรือกบฏ สถานการณ์เบื้องหน้ามิอาจอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผล เวลาที่คนเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ จะรู้สึกเสียขวัญก็เป็นธรรมดา
เมื่อครู่ตอนที่เดินอ้อมแท่นสุสาน พวกองครักษ์เสื้อแพรอย่างผางฉีได้เตรียมรับมือกับอันตรายที่ไม่คาดฝันทุกเมื่อ หากแต่เวลานี้ต่อให้ถือดาบอยู่ในมือพวกเขาก็ยังรู้สึกโหวงเหวง ใจเต้นโครมคราม อดเหลียวซ้ายแลขวามิได้
และแล้วพวกเขาก็เห็นถังฟั่นกับสุยโจวยืนอยู่ตรงปากหลุม ถังฟั่นนำหน้าพวกเขาอยู่หลายก้าว กำลังสำรวจโดยรอบ ส่วนสุยโจวตามประกบอยู่ข้างถังฟั่น สีหน้ายังคงเคร่งขรึมเฉกเช่นยามปกติ
พวกผางฉีอดรู้สึกละอายใจเล็กน้อยมิได้ รีบควบคุมให้ตนเองใจเย็นลง
เมื่อสติกลับคืนมา ความกล้าก็กลับคืนมาด้วย
ผางฉีเดินหน้าสองก้าว หยุดฝีเท้าของถังฟั่นที่ยังคิดเดินหน้าต่อ กล่าวเสียงเบาว่า “ใต้เท้า สถานการณ์ไม่แน่ชัด ยังไม่ควรเสี่ยงง่ายๆ สู้รอให้ฟ้าสาง…”
เขายังกล่าวไม่ทันจบก็เกิดเหตุไม่คาดฝัน!
ผางฉีเห็นถังฟั่นมีสีหน้าตกตะลึง จึงชะงักวาจาที่ยังกล่าวไม่จบทันที มองตามสายตาของถังฟั่นไปด้วย และแล้วก็เห็นมือข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลุมนั้น
“ถอย!” ผางฉีตะโกนเสียงดัง
ทุกคนล้อมถังฟั่นกับสุยโจวให้ถอยหลังไปหลายก้าว สายตายังคงจดจ้องปากหลุมอย่างไม่ละ
แรกสุดเป็นมือข้างหนึ่ง ตามติดมาด้วยศีรษะ จากเค้าโครงการแต่งกายพวกถังฟั่นมองออกว่าอีกฝ่ายสวมอาภรณ์เนื้อหยาบ สารรูปก็สะบักสะบอมน่าดู
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าเป็นใคร!” เสียงคำรามขององครักษ์เสื้อแพรไม่อาจหยุดอีกฝ่ายได้ ครู่เดียวร่างกายครึ่งบนของคนคนนั้นก็คลานออกจากปากหลุม เขาตะเกียกตะกายทั้งมือและเท้า ลนลานตื่นกลัวราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างไล่ตามมาด้านหลัง พอได้ยินเสียงขององครักษ์เสื้อแพรก็เงยหน้าขึ้น
เวลานี้ทุกคนชินกับสภาพแวดล้อมมืดสลัวแล้ว อาศัยแสงจันทร์เรืองรองเห็นลูกตาของคนคนนั้นไม่รู้ถูกอะไรควักออกมา กลับมิได้หลุดออกมาทั้งหมด ลูกตาห้อยต่องแต่ง จมูกก็ถูกกัดแหว่งไปครึ่งหนึ่ง ใบหน้าโชกไปด้วยโลหิต มองแล้วน่าสยดสยอง
เขาเห็นพวกถังฟั่นแล้วใบหน้าก็บิดเบี้ยวไปชั่วขณะ คล้ายอยากพูดอะไร ปากส่งเสียงฟืดฟาด แต่เมื่อเอ่ยปากโลหิตก็ทะลักออกมา
คนคนนั้นกระอักเลือดพลางอาเจียนเอาเศษเนื้อที่คล้ายอวัยวะภายในออกมาด้วย
แม้กระนั้นแขนขาก็ตะเกียกตะกายคลานออกมาอย่างไม่คิดชีวิต
นั่นเป็นภาพที่สะเทือนขวัญยิ่งนัก
ถังฟั่นกล้ารับรองว่าหากอิ่นหยวนฮว่าอยู่ที่นี่และเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คาดว่าคงไม่อยากกินเนื้อสัตว์อีกสามปี
อย่าว่าแต่อิ่นหยวนฮว่า ต่อให้เป็นเหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ชินตากับทัณฑ์ทรมานโหดเหี้ยมในคุก จิตใจแข็งแกร่ง เวลานี้ก็ยังมีความรู้สึกพรึงเพริด
นั่นมิใช่การใช้ทัณฑ์ทรมานในคุก อยู่ในทุ่งราบเปลี่ยวรกร้างจู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งมุดออกมาจากหลุมในสุสาน เครื่องหน้าแทบแหว่งหายไปเกือบครึ่ง ทุกคนจะนึกถึงอะไรน่ะหรือ…
ก็นึกถึงว่าในหลุมนั้นต้องมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่จึงทำให้คนคนหนึ่งมีสภาพเช่นนี้ได้
คนคนนั้นใช้ทั้งมือและเท้า ในที่สุดก็ขึ้นมาจากหลุมสำเร็จ เขาเหมือนต้องการขอความช่วยเหลือจากพวกถังฟั่น แต่สถานการณ์ยามนี้ศัตรูอยู่ในที่ลับ อีกฝ่ายประสบอะไรมาก็ยังไม่รู้แน่ชัด พวกผางฉีหรือจะกล้าเข้าไปใกล้ง่ายๆ จึงส่งเสียงให้เขาหยุด ห้ามขยับเขยื้อน
ทว่าอีกฝ่ายขาดสติไปแล้ว พอเห็นคนก็เหมือนเห็นทางรอด ไม่สนว่าจะเป็นคนของทางการหรือพรรคพวกตน วิ่งทะยานล้มลุกคลุกคลานมาทางพวกเขา ไม่สนใจเสียงตะคอกร้องห้ามของพวกผางฉี
องครักษ์เสื้อแพรจำนวนไม่น้อยกำลังจะชักดาบ เตรียมฟันเมื่ออีกฝ่ายกระโจนเข้ามา
แต่คนคนนั้นกระอักเลือดออกมามากเกินไป ร่างกายทานรับไม่ไหว วิ่งอยู่ไม่กี่ก้าวก็เซถลาล้มลงที่พื้น ลุกไม่ขึ้นอีกเลย
เวลานี้องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งส่งเสียงตะโกน “มีคนออกมาอีกแล้ว!”
ทุกคนมองไปตามเสียงก็เห็นเงาร่างของอีกคนหนึ่งปีนขึ้นจากหลุม กระเสือกกระสนพลางร้องโหวกเหวก “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
“ใคร!” องครักษ์เสื้อแพรตะโกนถาม
อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ได้ยินเสียงคนตอบก็ยิ่งโวยวายดังลั่น “ช่วยด้วย! ช่วยข้าด้วย! ช่วย…”
เสียงของคนคนนั้นขาดหายไปกะทันหัน ใต้แสงจันทร์ถังฟั่นเห็นอีกฝ่ายเบิกตาโพลง มือยังไขว่คว้าอยู่กลางอากาศ แต่จู่ๆ ก็ล้มตึงลงกลางดินโคลน
สุยโจวย่างสามขุมเข้าไป ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันตั้งตัวเขาก็ยื่นมือไปจับไหล่ของอีกฝ่าย แล้วออกแรงดึงคนขึ้นมา!
ทุกคนอุทานเสียงเบาด้วยความตะลึงพรึงเพริด
เพราะที่สุยโจวดึงขึ้นมานั้นคือร่างกายส่วนบนที่โชกไปด้วยโลหิต!
ส่วนร่างกายส่วนล่าง…ไม่มี โหวงเหวงว่างเปล่า ไม่รู้ว่าขาดหายไปอยู่ที่ใด ดูจากเมื่อครู่ที่เขายังตะโกนขอให้ช่วยได้แต่กลับประสบเภทภัยในชั่วพริบตา ชัดเจนว่าต้องมีอะไรบางอย่างเบื้องล่างกัดร่างส่วนล่างของเขาจนขาด
“เขายังไม่ตาย!” ผางฉีนั่งลงดูคนที่วิ่งออกมาก่อน มือข้างหนึ่งวางทาบบนจมูกที่ไม่เหลือเค้าเดิมของเขาก่อนกล่าวกับพวกถังฟั่น “ยังมีลมหายใจ!”
ถังฟั่นนั่งยองลงด้วย เอ่ยถามเสียงทุ้ม “พวกเจ้าเจออะไรข้างล่าง”
ดวงตาอีกข้างหนึ่งที่ยังสมบูรณ์ของอีกฝ่ายขยับเล็กน้อย ริมฝีปากเผยอขึ้นคล้ายอยากกล่าวอะไร แต่กล่าวได้ไม่ชัด ถังฟั่นจำต้องก้มหน้าเอียงหูเข้าใกล้
ได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเพียงว่า “สัตว์ประหลาด…ช่วย…ช่วยขะ…”
ยังไม่ทันได้กล่าวคำว่าข้าเต็มเสียง ข้างหูก็เงียบไปแล้ว ถังฟั่นมองผางฉี ผางฉีส่ายหน้ากับเขา “ช่วยไม่ได้แล้ว”
ทันใดนั้นสุยโจวก็กล่าว “เสียงนั่นหายไปแล้ว”
ทุกคนชะงักและตั้งสติได้ เสียงประหลาดที่ชวนให้ขนพองสยองเกล้าไม่ขาดสายเมื่อครู่เงียบหายไปแล้วจริงๆ
ไม่รู้ว่าเสียงนั้นดังมาจากที่ใดและเงียบไปเมื่อใด มาอย่างไร้เบาะแส ไปอย่างไร้ร่องรอย มิอาจรู้ได้ สองคนที่รู้ความจริงกลับตายเสียแล้ว ทั้งยังตายอย่างน่าอนาถเช่นนี้
ดูจากสีหน้าท่าทางของพวกเขาก่อนตาย ดูท่าว่าต้องประสบกับเหตุการณ์ไม่ธรรมดา เบื้องล่างหลุมขุดสุสานอาจมีบางสิ่งที่ยากอธิบายซ่อนเร้นอยู่จริงๆ ก็เป็นได้
ถังฟั่นมองสบตากับสุยโจวแวบหนึ่ง ทั้งสองต่างรู้สึกตึงมืออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เดิมทีคิดว่านี่เป็นเพียงคดีลอบขุดสุสานทั่วไป ประกอบกับชาวบ้านในพื้นที่ขาดปัญญา นำสารพัดเรื่องมาผูกโยงจนเกิดเทพแม่น้ำ ขอเพียงจับตัวโจรขุดสุสานได้ เปิดโปงอุบายของพวกเขาก็จะคลี่คลายทุกอย่างได้
แต่ดูจากเวลานี้แล้วความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของเรื่องราวเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ผางฉีถาม “ใต้เท้า ตอนนี้ทำอย่างไรดี”
ถังฟั่นมองสองคนนั้นแวบหนึ่ง “นำศพกลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
พวกเขากลับถึงหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
ในหมู่บ้านยังคงเงียบสงบ เสียงฝีเท้าของพวกเขาทำให้สุนัขที่เฝ้าอยู่นอกเรือนตกใจจนส่งเสียงเห่าเป็นครั้งคราว
เมื่อไม่มีเสียงร้องไห้ประหลาดนั้น ในหมู่บ้านก็ดูสงบสุขขึ้นมาก ไม่รู้สึกวังเวงเหมือนอย่างก่อนหน้าแล้ว เห็นได้ว่าดีร้ายอยู่ที่ใจ ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นเพราะมารในใจทั้งสิ้น
ถังฟั่นกับสุยโจวกลับถึงเรือน เมื่อครู่ไม่รู้สึก ยามนี้จิตใจผ่อนคลายลงแล้วจึงเพิ่งรู้สึกกระหายน้ำอย่างหนัก ถังฟั่นจามไปทีหนึ่ง พบว่าตนเหงื่อออก ทั้งยังถูกลมพัด เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เมื่อลูบแผ่นหลังก็ยังมีความเปียกชื้นเล็กน้อย
สุยโจวแตะกาน้ำชา น้ำชาด้านในเย็นชืดไปนานแล้วซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ตั้งแต่พวกเขาเข้านอน ตกใจตื่น จนกระทั่งไปที่สุสานหย่งโฮ่วมารอบหนึ่งแล้วกลับมา เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วยาม อีกไม่นานฟ้าก็จะสางแล้ว
วุ่นวายอยู่ทั้งคืน ไม่มีใครได้นอนหลับเต็มอิ่ม เวลานี้อยากข่มตานอนแต่กลับทำไม่ได้ ถังฟั่นหลับตาลงก็รู้สึกว่าใบหน้าที่ไม่มีลูกตาข้างหนึ่งของคนคนนั้นลอยไปมาตรงหน้า
สุยโจวยกกาน้ำชาไปเททิ้งที่ห้องครัวด้านหลัง ครู่หนึ่งก็ถือกาน้ำชาร้อนกรุ่นกลับมา ขนมบนโต๊ะมิต้องอุ่น นำมากินได้ทันที ถังฟั่นกินขนมกลีบเมฆไปสองชิ้น ในที่สุดก็สบายท้องขึ้นมาบ้างแล้ว
เขาเห็นสุยโจวนั่งลงแต่กลับไม่ขยับเขยื้อน จึงเลื่อนจานขนมไปทางอีกฝ่าย “ท่านเองก็กินหน่อยสิ”
สุยโจวหยิบขนมดอกกุ้ยขึ้นมาชิ้นหนึ่งแต่มิได้ส่งเข้าปาก เอ่ยถามถังฟั่นว่า “เรื่องนี้เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร”
ถังฟั่นส่ายหน้า “ลำพังแค่พวกเราคงจัดการได้ยาก ที่นั่นต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน อดีตผู้ใหญ่บ้านคนนั้นต้องรู้แน่ พรุ่งนี้ต้องไปถามเขาอีก หากไม่ได้เรื่องจริงๆ ก็กลบหลุมก่อนแล้วข้าค่อยยื่นฎีกาขออภัยโทษ รายงานว่าคดีนี้ตึงมือเกินไป จำเป็นต้องให้ราชสำนักส่งคนมามากขึ้น สืบให้รู้ก่อนว่าด้านล่างมีอะไรแล้วค่อยวางแผน”
เพื่อมิให้พวกสุยโจวต้องเสี่ยงอันตราย นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด หากเปลี่ยนให้อิ่นหยวนฮว่าเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่แน่อาจยืนกรานให้พวกสุยโจวลงไปตรวจสอบในหลุมที่โจรขุดอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลงก่อนค่อยว่ากัน
แต่สุยโจวรู้ว่าด้วยนิสัยของถังฟั่นนั้นไม่มีทางใช้ชีวิตของคนอื่นมาแลกกับอนาคตทางหน้าที่การงานของตนเอง
ทว่าหากเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป พวกเขาก็ยากตัดสินใจจริงๆ เนื่องจากยามนี้มีชาวบ้านที่นี่ตายไปไม่น้อย ทุกคนล้วนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ถ้าจับสัตว์ประหลาดและคืนความสงบสุขแก่ที่นี่ไม่ได้พวกชาวบ้านก็จะทำพิธีบวงสรวงเทพแม่น้ำด้วยการบูชายัญมนุษย์ ถึงกระนั้นก็ยังจะมีคนตายเรื่อยๆ อยู่ดี
หากถังฟั่นยื่นฎีกาบอกรายละเอียด ราชสำนักอาจไม่ลงอาญา แต่จะมองว่าถังฟั่นไร้ความสามารถจึงใช้เป็นข้ออ้างเลี่ยงความรับผิดชอบ แล้วส่งผู้แทนราชสำนักที่ตำแหน่งสูงกว่ามาอีกคนแน่นอน ถึงเวลาพวกถังฟั่นจะยิ่งถูกมัดมือมัดเท้า
สุยโจวเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี ฉะนั้นเขาจึงกล่าวว่า “พอฟ้าสว่างข้าจะให้ผางฉีไปยืมปืนไฟจากกองปราบฝ่ายเหนือในเหอหนาน แล้วค่อยแบ่งกำลังคนมาจำนวนหนึ่ง เท่านี้ก็น่าจะไปตรวจดูได้แล้ว”
ถังฟั่นมีสีหน้าหนักอึ้ง จมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด แต่นั่นมิได้รบกวนการที่เขาหยิบขนมกลีบเมฆเข้าปากทีละแผ่น อาการเคร่งเครียดกลับไม่เป็นอุปสรรคต่อการกินขนม ดูแล้วน่าตลกขบขัน
สุยโจวมองแล้วยิ้ม เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว ครุ่นคิดความเป็นไปได้ของข้อเสนอปืนไฟด้วยท่าทีขึงขังจริงจัง “ก็ได้ แต่ก็ต้องวางแผนกันระยะยาว…” กล่าวยังไม่จบดีเขาก็เห็นมุมปากของสุยโจวยกขึ้นเล็กน้อย จึงถามด้วยความสงสัย “อะไรหรือ”
“ไม่มีอะไร” สุยโจวยกกำปั้นหลวมๆ ขึ้นชิดริมฝีปาก กระแอมเสียงเบาทีหนึ่ง จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาเฉกเช่นยามปกติ “อย่ากินเยอะนัก ฟ้าสางก็จะมีคนส่งอาหารเช้ามาให้อีก พักก่อนเถอะ มิฉะนั้นจะไม่สดชื่น”
ทั้งสองเก็บกวาดลวกๆ หนนี้แม้กระทั่งเสื้อตัวนอกก็ไม่ถอด เอนร่างนอนลงทั้งอย่างนั้น
เดิมทีถังฟั่นคิดว่าตนเองต้องนอนไม่หลับแน่ แต่เนื่องจากอ่อนเพลียมากเกินไป ครู่เดียวก็หลับสนิท ไม่รู้เรื่องรู้ราว
คราวนี้ไม่ฝันถึงอะไรอีกเลยจนกระทั่งถูกสุยโจวปลุก
ตอนที่เขาลืมตาขึ้นอีกครั้งฟ้าด้านนอกก็สว่างแล้ว บนโต๊ะมีโจ๊กเปล่าและกับข้าวร้อนๆ วางอยู่ เมื่อคืนแม้ถังฟั่นกระดกน้ำชาไปเต็มท้องแต่ย่อมไม่ทำให้อิ่ม ยามนี้เห็นอาหารที่แม้จะอัตคัดทว่าเรียกน้ำย่อยได้พวกนี้ก็น้ำลายสอทันที ลุกขึ้นล้างหน้าเปลี่ยนชุดแล้วไปนั่งกินข้าวกับสุยโจว
“ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวรออยู่ข้างนอกแล้ว ข้าให้เขากับผางฉีไปพาคนมาจากบ้านอดีตผู้ใหญ่บ้านก่อน” สุยโจวกล่าว
ถังฟั่นตอบอืมเสียงหนึ่ง “สอบปากคำในหมู่บ้านไม่สะดวกนัก พาตัวกลับอำเภอก่อนดีกว่า พวกท่านเองก็จะได้เคลื่อนไหวได้ง่าย แล้วค่อยแบ่งกำลังคนครึ่งหนึ่งไว้ให้ข้า ข้าจะสำรวจในหมู่บ้านเสียหน่อย สืบหาที่มาของสองคนเมื่อคืน…”
เขายังพูดไม่ทันจบประตูด้านนอกก็ถูกเปิดโครมเข้ามา
“ใต้เท้า! ใต้เท้า!” ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวปรากฏตัวที่หน้าประตูด้วยสีหน้าซีดเผือด หายใจหอบเหนื่อย “แย่แล้ว แย่แล้วขอรับ!”
เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีเช่นนั้นใจของถังฟั่นก็หล่นวูบ “เกิดอะไรขึ้น อย่ามัวหายใจหอบ พูดมาให้จบ!”
ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวตอบ “อดีตผู้ใหญ่บ้านตายแล้วขอรับ!”
ถังฟั่นลุกขึ้นพรวด ทันใดนั้นใบหน้าที่สุภาพนุ่มนวล รอยยิ้มละมุนในยามปกติก็อึมครึมเคร่งขรึม ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวเห็นแล้วก็พรั่นพรึง
“ตายได้อย่างไร เมื่อคืนยังดีๆ อยู่มิใช่หรือ!” แต่โกรธก็ส่วนโกรธ ถังฟั่นมิได้ขาดสติจนถึงกับพาลอีกฝ่าย
ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวตั้งสติได้ก็รีบละล่ำละลักบอก “ฆ่าตัวตาย เขาผูกคอตาย ครอบครัวกำลังร้องไห้เสียใจอย่างหนักเลยขอรับ! นายกองร้อยผางพาคนไปเฝ้าที่นั่นแล้ว ท่านจะไปดูหน่อยหรือไม่ขอรับ”
ถังฟั่นย่อมต้องไปดู เขากับสุยโจวไม่มีเวลากินอาหารเช้าแล้ว พวกเขาวางตะเกียบลงแล้วตามผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวมุ่งหน้าไปที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านทันที
เพียงไม่นานการตายของอดีตผู้ใหญ่บ้านก็ลือสะพัดทั่วหมู่บ้าน หน้าบ้านของผู้ใหญ่บ้านถูกล้อมจนแน่นหนา แต่เนื่องจากมีองครักษ์เสื้อแพรอยู่เฝ้าจึงไม่มีใครกล้าเข้ามามุง ได้แต่ชะโงกคอยื่นคอยาวอย่างกล้าๆ กลัวๆ เท่านั้น ทั้งพรั่นพรึงและอดอยากรู้อยากเห็นมิได้
แม้ชาวบ้านจะขาดความรู้แต่ก็มิได้โง่เขลา เมื่อคืนตอนที่เสียงร้องไห้ประหลาดนั้นดังขึ้นชาวบ้านล้วนได้ยินกันทั่ว แม้ตอนนั้นจะไม่มีใครกล้าออกมาดู แต่ได้ยินข่าวการตายของอดีตผู้ใหญ่บ้านแต่เช้า และคิดถึงว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านสติเริ่มไม่ปกติตั้งแต่กลับจากสุสานจักรพรรดิคราวก่อน ทุกคนจึงอดที่จะผูกโยงเรื่องราวเข้าด้วยกันไม่ได้ ต่างเล่าลือกันว่าครั้งก่อนพวกอดีตผู้ใหญ่บ้านลบหลู่จนเทพแม่น้ำโกรธเกรี้ยว เทพแม่น้ำจึงตามมาแก้แค้น
ตอนที่ถังฟั่นกับสุยโจวเร่งไปถึง คนสกุลหลิวกำลังร้องไห้เศร้าโศก เจ็บปวดเสียใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวหมดสติไปแล้ว ญาติสตรีกำลังดูแลอยู่ที่เรือนปีก ส่วนบุตรชายสองคนของสกุลหลิวถูกผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวเชิญไปที่โถงรับแขก รอถังฟั่นมาสอบสวน ชายฉกรรจ์สองคนเองก็น้ำตาคลอเบ้า
ถังฟั่นเอ่ยคำปลอบโยนก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอ่ยถาม “พวกท่านพบว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านเสียชีวิตเมื่อใด”
“เมื่อคืนหลังจากใต้เท้าทุกท่านกลับไปแล้ว บิดาข้าก็วิตกกังวลอยู่ตลอด ถามอะไรไม่ตอบ เอาแต่รำพึงรำพัน พวกเราก็เลยต้องพยุงเขากลับไปพักผ่อน คิดไม่ถึงว่าพอตื่นเช้ามาเขาก็…ผูกคอกับคาน…” ผู้ใหญ่บ้านหลิวเล่า
ถังฟั่นเอ่ยถาม “มารดาเจ้ามิได้อยู่ห้องเดียวกับบิดาเจ้าหรือ เหตุใดจึงไม่รู้ว่าเขาผูกคอ”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวส่ายหน้า “ไม่ขอรับ นับตั้งแต่บิดาข้าเปลี่ยนไป บางครั้งเวลานอนหลับก็จะทุบตีคนข้างๆ พวกเราจึงต้องให้เขาพักคนเดียว ใครจะรู้…ใครจะคิดว่า…”
เขาเล่าไปเล่ามาก็อดเศร้าโศกมิได้ น้ำตาไหลรินไม่พูดจาแล้ว บุตรชายคนรองของสกุลหลิวเห็นพี่ใหญ่เป็นเช่นนั้นก็สะอื้นไห้เสียงดัง ใครจะคิดว่าเมื่อคืนบิดายังสบายดี วันนี้ตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นศพเย็นเฉียบ เรื่องนี้ไม่ว่าใครประสบก็ล้วนรับไม่ไหว
“เมื่อคืนหลังจากพวกเรากลับกันแล้ว บิดาเจ้ายังพูดอะไรหรือไม่” ถังฟั่นเอ่ยถาม
ผู้ใหญ่บ้านหลิวสะอื้น “ไม่มีขอรับ เขาเป็นเช่นนี้ตลอด บางครั้งก็ปกติดีเหมือนเมื่อก่อน บางครั้งก็พูดกับตนเอง คนในหมู่บ้านต่างพูดกันว่าคืนนั้นเขาลบหลู่เทพแม่น้ำจึงถูกลงโทษ…”
นั่นถือว่าเป็นคำอธิบายที่เหลวไหล ถังฟั่นประสบเหตุการณ์เมื่อคืนมา ความคิดแต่แรกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ไม่มีทางคิดว่าตื้นลึกหนาบางในเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเทพแม่น้ำอะไรนั่น
เขามิได้ให้ผู้ใหญ่บ้านหลิวเล่าต่อไป จึงให้ผางฉีที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพาผู้ใหญ่บ้านหลิวไปดูศพ
แน่นอนว่ามิได้ไปดูศพบิดาของผู้ใหญ่บ้านหลิว แต่เป็นศพที่พวกเขานำกลับมาเมื่อคืน
หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่ ใช่คนในหมู่บ้านหรือไม่ผู้ใหญ่บ้านหลิวย่อมรู้ดี หากว่าสองคนที่ตายล้วนเป็นคนในหมู่บ้าน เช่นนั้นสถานะของพวกเขาก็กระจ่างแล้ว
ด้านถังฟั่นก็เข้าไปในเรือนกับสุยโจว ตรวจดูศพของอดีตผู้ใหญ่บ้าน
ทั้งสองนับว่าช่ำชองด้านสืบสวนอาญา ตรวจดูศพอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าอดีตผู้ใหญ่บ้านเสียชีวิตเพราะฆ่าตัวตายจริงๆ มิได้ถูกคนฆ่าตาย ไม่มีจุดน่าสงสัยใดๆ
แต่นั่นสะกิดให้พวกถังฟั่นสงสัยเคลือบแคลง
คนรอบข้างล้วนบอกว่าหลังจากอดีตผู้ใหญ่บ้านกลับมาก็สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่นั่นตบตาได้เฉพาะชาวบ้านทั่วไป คนที่ต้องสมาคมกับคนฉลาดแกมโกงอยู่ตลอด ทั้งยังช่างสังเกตอย่างถังฟั่นกับสุยโจวย่อมพบว่าวาจาของอดีตผู้ใหญ่บ้านมีนัยแฝงเร้นหลายส่วน เรื่องที่กล่าวก็ใช่ว่าจะเป็นความจริง เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะมาสอบถามให้รู้เรื่อง ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ต้องเค้นความจริงจากปากอดีตผู้ใหญ่บ้านให้ได้
ปรากฏว่าช่างโชคร้าย พวกถังฟั่นยังไม่ทันได้สอบสวน อดีตผู้ใหญ่บ้านก็ตายเสียแล้ว
อีกทั้งยังเป็นการฆ่าตัวตายเอง ไม่ใช่การตายอย่างน่าสงสัย จึงยิ่งทำให้เรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งขึ้น
เวลานี้ผางฉีเดินเข้ามา กล่าวกับถังฟั่นและสุยโจวว่า “ใต้เท้า ผู้ใหญ่บ้านหลิวบอกว่าคนคนนั้นมิใช่คนในหมู่บ้านพวกเขา เขาเองก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ข้าไปสอบถามชาวบ้านอีกหลายคน พวกเขาต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน”
ถังฟั่นกับสุยโจวสบตากันแวบหนึ่ง บัดนี้ระหว่างพวกเขายิ่งเข้าใจกันมากขึ้นอีกระดับ บางครั้งไม่ต้องใช้วาจาก็สามารถเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่อได้
อย่างเช่นเวลานี้ สิ่งที่ทั้งสองคิดในใจล้วนเป็นเรื่องเดียวกัน ในเมื่อสองคนนั้นมิใช่คนในหมู่บ้าน ดึกดื่นค่ำมืดปีนออกมาจากหลุมขุด เช่นนั้นก็ต้องเป็นโจรขุดสุสานอย่างไม่ต้องสงสัย
กอปรกับหลุมขุดที่ชาวบ้านพบในสุสานจักรพรรดิหลายครั้งก่อนหน้าก็คาดเดาข้อสรุปหนึ่งได้ไม่ยาก คือคนที่คิดลอบขุดสมบัติสุสานจักรพรรดิกลุ่มนี้มิได้มีแค่สองคนที่พวกเขาเห็นแน่นอน เมื่อคืนอดีตผู้ใหญ่บ้านก็บอกแล้วว่าเนื่องจากพวกเขาไล่ตามพวกโจรขุดสุสานไปจึงประสบเหตุไม่คาดฝันที่ริมแม่น้ำ
แต่ยามนี้คนกลุ่มนั้นก็สร้างปัญหาวุ่นวายอะไรไม่ได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะตายในหลุมขุดกันหมด ซึ่งนี่ก็บ่งบอกว่าใต้หลุมขุดในสุสานหย่งโฮ่วมีสิ่งเร้นลับและน่ากลัวซ่อนอยู่จริงๆ
หากเสียงร้องไห้นั่นเกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดที่สังหารคนเมื่อคืน แล้วสุสานหย่งโฮ่วมีทางเชื่อมสู่แม่น้ำลั่วเหอล่ะก็ สัตว์ประหลาดอาจเคลื่อนไหวไปมาระหว่างใต้น้ำกับสุสานจักรพรรดิอย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้บางครั้งจึงซ่อนตัวอยู่ใต้แม่น้ำ ลากชาวบ้านลงไปกินในน้ำ บางครั้งก็พักอยู่ในสุสานจักรพรรดิ โจรขุดสุสานที่เคราะห์ร้ายกลุ่มนั้นเจอเข้าพอดีจึงไปแล้วไม่หวนกลับ จบชีวิตลงที่นั่น
แต่ต่อให้คาดเดาเช่นนี้ก็ยังมีข้อกังขา หากมีสัตว์ประหลาดอยู่จริง เหตุใดก่อนหน้านี้หลายปีในหมู่บ้านจึงไม่เคยมีข่าวลือที่ ‘เทพแม่น้ำ’ ลั่วเหอกินคนมาก่อน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นครั้งแรกสุดก็เมื่อหนึ่งปีก่อนเท่านั้น
เดิมทีที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบมาโดยตลอด ไร้ความประหลาดพิสดารอันใด นอกจากมีสุสานจักรพรรดิราชวงศ์ซ่งเหนือตั้งอยู่แล้ว หมู่บ้านลั่วเหอก็ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านอื่น
เรื่องราวมาถึงจุดนี้ เสมือนเดินเข้าสู่ทางตัน
ถังฟั่นกล่าวกับสุยโจว “ทำตามที่เราคุยกันไว้เมื่อคืนเถอะ รบกวนท่านแล้ว”
สุยโจวพยักหน้า
สองพี่น้องสกุลหลิวยืนอยู่ด้านนอก ยังมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่มาดูเหตุการณ์อย่างรวดเร็วหลังจากได้รับข่าว นอกบ้านสกุลหลิวจึงเนืองแน่นไปด้วยฝูงชน อิ่นหยวนฮว่ากับพวกเฉิงเหวินยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องรับแขก เห็นพวกถังฟั่นเดินเข้ามาก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ
เมื่อคืนพวกเขาพักอยู่เรือนเดียวกัน หากจะอ้างว่ามิได้ยินเสียงวิญญาณร้องไห้นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ทั้งสามไร้ความกล้าที่จะออกมาดูให้กระจ่างจึงแสร้งหลับเป็นตาย คิดไม่ถึงว่าตื่นขึ้นมาเช้านี้พวกเขาก็ได้ยินว่าเมื่อคืนพวกถังฟั่นไปดูด้วยตนเองแล้ว ส่วนตนในฐานะผู้ใต้บัญชากลับยังนอนหลบอยู่ในเรือน อดกระดากอายมิได้
เฉิงเหวินกับเถียนเซวียนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในใจล้วนวิตกพรั่นพรึง กลัวถังฟั่นจะเอาผิดกับพวกตน แม้กระทั่งอิ่นหยวนฮว่าที่ไม่ลงรอยกับถังฟั่นก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย
เคราะห์ดีที่ถังฟั่นไม่มีอารมณ์ถือสาหาความกับพวกเขา เพียงให้พวกเขาตามพวกผางฉีค้นหาในละแวกหมู่บ้านและสุสานจักรพรรดิ ดูว่าพวกโจรที่ลักลอบขุดสุสานเมื่อคืนมีคนรอดชีวิตหรือไม่
ผู้แทนราชสำนักพำนักอยู่ที่นี่ นายอำเภอเหอย่อมมิอาจกลับตัวอำเภอไปนอนหลับสบายใจได้ พอฟ้าสางเขาก็พาคนรีบย้อนกลับมา ครั้นได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืน โดยเฉพาะตอนที่เห็นศพสภาพยับเยินสองศพนั้นแล้วก็ตระหนกตกใจจนหน้าถอดสี เข้าไปขออภัยถังฟั่นตัวสั่นงันงก ไม่รู้ว่ากลัวตนจะถูกปลดจากตำแหน่ง หรือกังวลว่าสัตว์ประหลาดจะโผล่ออกมากินตนเองด้วยกันแน่
ด้านนี้นายอำเภอเหอขออภัยถังฟั่นอย่างหวาดหวั่นพรั่นพรึง อีกด้านหนึ่งผางฉีก็พาคนมารายงานว่าจับคนได้คนหนึ่ง เดิมทีก็เป็นหนึ่งในกลุ่มโจรขุดสุสานเมื่อคืน รับผิดชอบดูต้นทางอยู่ข้างนอก จึงหลบอยู่ในพงหญ้าใกล้ๆ เมื่อคืนตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นพวกถังฟั่นมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่หลุมขุด คนคนนั้นจึงสบโอกาสหลบหนี แต่ความจริงเขาทั้งเหนื่อยทั้งหิว หลังจากหนีแล้วก็อดเข้าไปหาอะไรกินในหมู่บ้านไม่ได้ และด้วยทหารทางการออกค้นหาไปทั่ว เขาจึงไม่กล้าออกไป ปรากฏว่าถูกจับได้โดยละม่อม
ผางฉีพาคนไปตรงหน้าพวกถังฟั่น คนคนนั้นตัวสั่นเทิ้มราวลูกนกตกน้ำ วิงวอนร้องขอความเมตตา ทั้งยังบอกระรัวว่าไม่เกี่ยวกับตน
ภาษิตว่ารูปโฉมบอกจิตใจ นับว่าสมเหตุสมผล คนคนนี้มีหน้าตาเจ้าเล่ห์ แม้กระทั่งยามร้องไห้วิงวอนสีหน้าก็ยังดูไม่น่าไว้ใจ ยากที่คนมองจะสงสารเห็นใจได้จริงๆ
เห็นถังฟั่นย่นคิ้วเล็กน้อย ผางฉีจึงตบท้ายทอยของคนคนนั้นทีหนึ่ง “ใครให้เจ้าร้องไห้ ตอบใต้เท้าดีๆ!”
“ขอรับๆๆ!” คนคนนั้นคุกเข่าก้มเอาหน้าผากแตะพื้นระรัว “ใต้เท้าถามอะไร ข้าน้อยก็จะตอบ!”
มิต้องสอบสวนอะไรมากมาย คนคนนั้นก็สารภาพอย่างหมดเปลือก
เขาชื่อเฉียนซันเอ๋อร์ ถูกพวกค้ามนุษย์จับไปขายตั้งแต่ยังเด็ก ลักเล็กขโมยน้อย ทำทุกอย่าง ภายหลังติดตามอาจารย์เข้าพรรค
พรรคนั้นมีนามว่าพรรคหวงเหอ อย่าเห็นว่าชื่อฟังดูเกรียงไกร ความจริงแล้วก็แค่อันธพาลไม่กี่สิบคนรวมตัวกัน ทำเรื่องประเภทหลอกลวงฉ้อโกง การขุดสุสานที่ปราศจากต้นทุน ความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนมากจึงย่อมอยู่ในขอบข่ายของพวกเฉียนซันเอ๋อร์ด้วย
หากวัดกันที่ขนาด สุสานที่ใหญ่ที่สุดในเขตเหอหนานก็มีแต่สุสานจักรพรรดิราชวงศ์ซ่งเหนือ ในบรรดาสุสานจักรพรรดิราชวงศ์ซ่งเหนือที่ลงมือง่ายที่สุดก็คือสุสานหย่งโฮ่วของจักรพรรดิซ่งอิงจงจ้าวสู่
ทุกคนรู้โดยทั่วกันว่าสุสานหย่งโฮ่วนั้นง่ายแก่การลงมือเนื่องจากในตำราของหลี่โยวแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือได้บันทึกตำแหน่งและโครงสร้างใต้ดินของสุสานหย่งโฮ่วไว้อย่างละเอียด จักรพรรดิซ่งอิงจงผู้โชคร้ายไม่เพียงอายุสั้น ครองราชสมบัติเพียงสามปี ดินแดนที่หลับใหลหลังสวรรคตก็ยังถูกขุดแล้วขุดอีก นับว่าเป็นจักรพรรดิราชวงศ์ซ่งที่เคราะห์ร้ายที่สุดแล้ว
ฉะนั้นนับตั้งแต่ราชวงศ์ซ่งใต้ก็มีโจรขุดสุสานนับไม่ถ้วนยึดสุสานหย่งโฮ่วเป็นเป้าหมายอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะในยุคสมัยที่การขุดสุสานเป็นเรื่องถูกกฎหมายอย่างราชวงศ์หยวน ราชสำนักถึงกับส่งคนไปขุดสมบัติในสุสาน กระแสนิยมนี้สืบสานมาจนถึงยามสถาปนาต้าหมิง และด้วยเหตุนี้สมบัติในสุสานหย่งโฮ่วจึงถูกขุดออกไปแทบเกลี้ยงแล้ว
คนที่พาพวกเฉียนซันเอ๋อร์มาขุดสุสานจักรพรรดิชื่อหลี่ขุย เป็นหัวโจกเล็กๆ คนหนึ่งของพรรคหวงเหอ เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาในครั้งนี้คือสุสานอัครมเหสีที่อยู่ข้างสุสานจักรพรรดิหย่งโฮ่ว เนื่องจากสุสานของจักรพรรดิและอัครมเหสีแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือนั้นแยกกัน แม้สุสานจักรพรรดิหย่งโฮ่วจะถูกคนขุดรื้อนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุสานอัครมเหสีกลับยังมีสภาพดีกว่า บางทีอาจมีสมบัติอะไรเหลืออยู่ก็เป็นได้
ความคิดของหลี่ขุยคือเริ่มทำความเข้าใจกับโครงสร้างของตำหนักใต้ดินในสุสานหย่งโฮ่วก่อน แล้วค่อยไปสุสานอัครมเหสี เช่นนั้นก็จะได้มิต้องหลงทางวกวน ยิ่งถ้าหากพวกเขาสามารถหาเส้นทางที่ไม่มีใครค้นพบมาก่อนในสุสานหย่งโฮ่ว แล้วขุดสมบัติที่ตกหล่นพ้นหูตาจากกลุ่มคนก่อนหน้าได้ก็ยิ่งดี
ฉะนั้นคนทั้งกลุ่มจึงตัดสินใจลงมือ อย่างแรกคือทำความรู้จักกับพื้นที่ในละแวกใกล้เคียงหมู่บ้านลั่วเหอ จากนั้นก็ฉวยโอกาสยามราตรีลอบเข้ามา
ก่อนหน้ามีข่าวลือเรื่องเทพแม่น้ำกินคนแพร่สะพัดและมีเสียงร้องไห้ประหลาดดังมาจากริมแม่น้ำยามวิกาลเป็นครั้งคราวอยู่แล้ว ทว่าสุสานจักรพรรดิอยู่ห่างจากริมแม่น้ำระยะทางหนึ่ง ตอนแรกพวกเฉียนซันเอ๋อร์ยังหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่ดักซุ่มอยู่หลายคืนก็ไม่เห็นมีเหตุการณ์อะไรจึงเลิกใส่ใจ
พวกเขามิได้ใช้หลุมที่โจรขุดสุสานก่อนหน้าขุดไว้ แต่ใช้เส้นทางในอีกหลุมหนึ่งที่ตนเองขุด หลี่ขุยเป็นคนเลือกตำแหน่ง คนผู้นี้เรียกว่าเก่งกล้าหาได้ยากในหมู่โจรขุดสุสาน อ่านออกเขียนได้ระดับหนึ่ง ซ้ำยังเคยอ่าน ‘บันทึกราชวงศ์ซ่ง’ ที่หลี่โยวแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือประพันธ์อีกด้วย ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสุสานหย่งโฮ่วล่วงหน้ามาไม่น้อย
ตามที่หลี่โยวเล่า ตำแหน่งที่พวกเขาเลือกทั้งลงมือง่าย ทั้งมั่นใจว่าเป็นตำแหน่งลึกลับ ไม่เคยมีใครขุดมาก่อน
ในเมื่อหัวหน้ากล่าวเช่นนี้แล้ว เหล่าสมุนก็ต้องทำตาม ทุกคนออกปฏิบัติการยามค่ำคืน ใช้เวลาไปไม่น้อย ขุดลึกลงไปเรื่อยๆ ผลัดเปลี่ยนเวรกัน ขุดอยู่หนึ่งเดือนกว่าในที่สุดก็ขุดอุโมงค์ที่เชื่อมไปถึงสุสานจักรพรรดิได้ เนื่องจากเฉียนซันเอ๋อร์ยังอ่อนประสบการณ์ เพิ่งเข้าร่วมสายงานนี้ ฉะนั้นจึงไม่ได้รับโอกาสเข้าไปขุดสมบัติ ได้แต่อยู่ดูต้นทางข้างนอก
แม้ชาวบ้านในหมู่บ้านลั่วเหอจะมีหน้าที่เฝ้ายาม แต่อย่างไรพวกเขาก็เป็นเพียงชาวไร่ชาวนา มีปากท้องของคนในครอบครัวให้ต้องรับผิดชอบ จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันๆ จะเอาแต่เฝ้าสุสานจักรพรรดิจนไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างราชสำนักก็มิได้ส่งคนมาเฝ้าสุสานโดยเฉพาะ นั่นจึงทำให้พวกเฉียนซันเอ๋อร์เลี่ยงหูตาของพวกชาวบ้านได้ เพียงแค่ระมัดระวังขึ้นอีกนิดก็ดำเนินการขุดขโมยอย่างกำเริบเสิบสานได้แล้ว
หลังจากขุดอุโมงค์เรียบร้อยแล้วพวกหลี่ขุยก็เลือกวันเวลาลงไปยังสุสาน
คืนนั้นอาจารย์ของเฉียนซันเอ๋อร์ก็ลงไปด้วย ส่วนเฉียนซันเอ๋อร์ยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกตามคำสั่งของหลี่ขุย ในมือมีห่อกระดาษไขที่มีไก่ทอดเครื่องเทศที่ซื้อจากตัวอำเภอเมื่อกลางวัน
แม้เนื้อไก่จะเย็นแล้วแต่เฉียนซันเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่าอร่อย โดยเฉพาะในค่ำคืนเช่นนั้น สายลมด้านนอกพัดโชยเย็นเยือก มือหนึ่งถือไก่ทอดเครื่องเทศ อีกมือถือสุราขวดเล็ก ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าหลังศิลาจารึก มองพระจันทร์บนผืนฟ้า ก็ไม่ถือว่าน่าเบื่อ
เฉียนซันเอ๋อร์จำได้ว่าขณะที่เขากินเนื้อไก่ในห่อกระดาษอย่างเนิบช้าจนแทบเหลือแต่กระดูกนั้นคาดว่าเวลาน่าจะผ่านไปสองชั่วยามแล้ว ทันใดนั้นในหลุมขุดก็มีเสียงร้องไห้ประหลาดดังขึ้น เหมือนกับเสียงร้องไห้จากริมแม่น้ำที่พวกเขาได้ยินก่อนหน้า
เสียงร้องไห้ทั้งประหลาดและน่ากลัว เฉียนซันเอ๋อร์นึกได้ว่าพวกพ้องของตนยังอยู่ข้างล่างก็อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาไม่กล้าขัดคำสั่งของหลี่ขุย จึงได้แต่นั่งเฝ้าต้นทางอยู่ข้างบนเหมือนเดิม
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่รู้รออยู่นานเท่าใดเสียงนั้นก็ไม่หายไปเสียที ซ้ำยังแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะมีบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากหลุมได้ทุกเมื่อ
เขาจ้องปากหลุมอย่างไม่ละสายตา ขณะที่ตื่นกลัวจนหัวใจแทบหลุดออกมานอกอกนั้น จู่ๆ ก็มีคนคนหนึ่งปีนขึ้นมาจากหลุม!
เฉียนซันเอ๋อร์ร้องอุทาน ตกใจจนสะดุ้งโหยง หันร่างจะวิ่งหนีทันที
ทว่าเสียงของอาจารย์กลับดังมาจากด้านหลังเฉียนซันเอ๋อร์ ‘ซันเอ๋อร์ ยังไม่รีบพยุงข้าอีก!’
เฉียนซันเอ๋อร์จึงเพิ่งรู้ว่าที่ออกมาเป็นคน มิใช่ผี รีบตั้งสติวิ่งเข้าไปดึงอาจารย์ขึ้นจากหลุม
ด้านหลังอาจารย์ของเขามีคนปีนตามออกมาอีกคน เฉียนซันเอ๋อร์จ้องเขม็ง เป็นเจ้าอ้วนหลูที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่ขุย
‘ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นกันแน่’ เฉียนซันเอ๋อร์ถาม
อาจารย์ของเขากระชากเขาแล้ววิ่งหนีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เฉียนซันเอ๋อร์มึนงง จำต้องวิ่งตามไปโดยมีเจ้าอ้วนหลูวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ทั้งสามคนทยอยตามหลังกัน วิ่งหน้าตั้งอย่างไม่คิดชีวิต จนกระทั่งหนีจากหลุมนั้นมาไกลมากจนใกล้ถึงเขตสุสานหย่งเจาจึงค่อยๆ หยุดวิ่ง
เฉียนซันเอ๋อร์วิ่งจนแทบหมดกำลัง ขวดสุราในมือก็ไม่รู้หล่นอยู่ที่ใด อาจารย์ของเขากับเจ้าอ้วนหลูต่างยังตื่นตะลึง สะบักสะบอม ก่อนจะเล่าเหตุการณ์ที่พวกเขาเจอด้านล่างให้เฉียนซันเอ๋อร์ฟัง
หลังจากที่หลี่ขุยกับพรรคพวกลงไปแล้ว ครู่เดียวก็ถึงตำหนักใต้ดินของสุสานหย่งโฮ่ว
เป็นไปตามที่คาดไว้ ตำหนักใต้ดินสองชั้นของสุสานหย่งโฮ่วมีขนาดไม่ใหญ่และถูกคนขุดรื้อขโมยจนสิ้น ไม่เหลือสมบัติแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว ต่อให้ก่อนหน้านี้มีกับดักกลไกอะไรก็ถูกปลดออกหมดแล้ว สรุปคือว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย
ทุกคนวนอยู่ด้านในหนึ่งรอบ แสนจะผิดหวัง ขณะเตรียมตัวออกมาหลี่ขุยกลับพบทางอีกเส้นหนึ่งที่ลับตากว่า ใกล้กับปากทางที่พวกเขาขุดก่อนหน้านี้ เชื่อมต่อกับตำหนักใต้ดินชั้นล่าง ไม่รู้ว่าปลายทางอยู่ที่ใด
ด้วยแนวคิดที่ว่าโจรไม่กลับมือเปล่า ทุกคนจึงพร้อมใจกันเดินไปตามทางลับนั้นเพื่อดูว่าจะพบอะไรหรือไม่
ทางลับนั้นค่อนข้างคดเคี้ยวและไม่ยาวนัก ขณะที่ทุกคนยังไม่เห็นปากทางออกก็มองเห็นประกายของมีค่าสะท้อนแสงรำไร ทุกคนพากันตื่นเต้นลิงโลด คิดว่าตนน่าจะค้นพบสมบัติเข้าแล้วจึงยิ่งเร่งฝีเท้า
เมื่อพวกเขาไปถึงทางออกก็ตะลึงงันกับภาพตรงหน้า
สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกหลี่ขุยคือห้องปีกที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก
ในห้องปีกนั้นกองล้นไปด้วยแก้วแหวนเงินทองจำนวนนับไม่ถ้วนจนราวกับภูเขาลูกเล็กๆ เมื่อกวาดสายตามองไปในกองสมบัตินั้น ลำพังเพียงไข่มุกราตรีก็มีอย่างน้อยหลายร้อยเม็ด ส่องแสงให้ห้องปีกสว่างดุจยามทิวา เจิดจ้าจนดวงตาสุนัขของพวกหลี่ขุยแทบบอด
พวกหลี่ขุยตื่นเต้นดีใจเหลือแสน เดิมคิดว่าตนเองต้องกลับมือเปล่าแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะจับพลัดจับผลูพบปาฏิหาริย์เช่นนี้ ตอนนั้นทุกคนต่างดีดร่างกระโดดโผเข้าไปในกองสมบัติ พยายามยัดของมีค่าใส่ด้านในเสื้อตนเองให้ได้มากที่สุด บางคนถึงขั้นเก็บตามตัวล้นแล้วก็หยิบไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งใส่ปากตนเอง ตั้งใจคายออกมาหลังออกจากที่นั่น
คนกลุ่มนี้มิได้เอะใจว่าหากมีสมบัติมากมายเช่นนั้นจริง ทั้งยังมีเส้นทางเชื่อมถึงได้ เหตุใดจึงไม่มีใครค้นพบ ไฉนจึงอยู่รอให้พวกเขามาขน
ความโลภบังตา เมื่ออยู่ท่ามกลางสมบัติมหาศาลกิเลสก็ได้บดบังสติของพวกเขาจนสิ้น
ขณะที่ทุกคนกำลังกระโดดโลดเต้น ด้วยการรบเร้าของหลี่ขุย ในที่สุดจึงพากันออกจากที่นั่นอย่างยากจะตัดใจ แต่แล้วฝันร้ายก็มาเยือน
จากคำบอกเล่าของอาจารย์กับเจ้าอ้วนหลูที่ไม่ปะติดปะต่อ เฉียนซันเอ๋อร์จับใจความได้คร่าวๆ เท่านั้น
ดูเหมือนความเคลื่อนไหวของพวกเขาดึงให้สัตว์ประหลาดบางอย่างมา และพวกหลี่ขุยก็ไม่เคยประสบพบเจอสัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นมาก่อน ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดถูกล่อมาทางใด เข้ามาแล้วก็กัดศีรษะพร้อมร่างกายครึ่งบนของพรรคพวกคนหนึ่งทันที
คนคนนั้นไม่ทันได้ดิ้นรนกรีดร้องร่างกายก็ฉีกขาดเป็นสองส่วนในพริบตา ส่วนหนึ่งลงไปเป็นอาหารในกระเพาะของสัตว์ประหลาด ส่วนร่างกายท่อนล่างโลหิตพุ่งทะลัก ล้มลงบนกองสมบัติ
ทุกคนตกใจกับภาพเหตุการณ์นั้นจนนิ่งอึ้ง คนไม่น้อยยังตั้งสติไม่ทันจึงถูกขย้ำจนร่างกายฉีกขาดทันที อาจารย์ของเฉียนซันเอ๋อร์กับเจ้าอ้วนหลูอยู่ใกล้อุโมงค์ลับมากที่สุด การตอบสนองก็นับว่าว่องไว หันร่างสาวเท้าวิ่งทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่สนใจเสียงร้องโหยหวนเบื้องหลัง เบียดร่างเข้าไปในอุโมงค์ลับ หนีออกจากที่นั่นอย่างไม่คิดชีวิต
หลังจากที่ทั้งสองวิ่งออกมาแล้วก็พบว่านอกจากพวกเขาสองคนก็ไม่มีใครออกมาอีกเลย
เฉียนซันเอ๋อร์ฟังพวกเขาเล่าจบอย่างอกสั่นขวัญผวา ร้องขอให้หนีไปจากที่นั่นโดยเร็ว ทว่าเมื่ออาจารย์ของเขากับเจ้าอ้วนหลูสงบสติได้แล้วก็ล้วนค้างคาใจ เนื่องจากแก้วแหวนเงินทองที่ซุกอยู่บนตัวพวกเขาร่วงตกจนแทบไม่เหลือในระหว่างทางที่พวกเขาเอาแต่หลับหูหลับตาวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน นึกถึงสมบัติล้ำค่านับไม่ถ้วนที่อยู่ในนั้นทั้งสองก็รู้สึกเสียดายไม่หาย
เมื่อกลับขึ้นมาแล้ว เงามืดในใจจากเหตุการณ์ด้านล่างนั้นก็ค่อยๆ เบาบางลง ทั้งสามวางแผนหารือกันอยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดเจ้าอ้วนหลูกับอาจารย์ของเฉียนซันเอ๋อร์ก็ตัดสินใจลงไปอีกครั้ง
หนึ่งคือพวกเขาตัดใจจากสมบัติมหาศาลเหล่านั้นมิได้จริงๆ ต่อให้เอาไข่มุกราตรีออกมาได้เม็ดเดียวคาดว่าก็คงเพียงพอให้พวกเขาใช้ไม่หวาดไม่ไหวแล้ว แค่นึกว่าสมบัติล้ำค่ามากมายในนั้นอาจถูกคนอื่นช่วงชิงไปในภายหน้า ความเสียดายมากล้นก็ทำให้พวกเขาไม่เกรงกลัวต่อความตาย
สองคือพวกหลี่ขุยตายกันในนั้นหมด มีแค่เขากับเจ้าอ้วนหลูที่หนีออกมาได้ พวกเขากลับไปแล้วก็มิอาจตอบคำถามกับทางพรรค ไม่แน่คนของพรรคหวงเหออาจคิดว่าพวกเจ้าอ้วนหลูเห็นสมบัติแล้วละโมบ สังหารคนชิงทรัพย์ ถึงตอนนั้นกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ชำระไม่หมด ฉะนั้นพวกหลี่ขุยจึงอยากย้อนไปเอาสมบัติ เป็นการรับผิดชอบต่อพรรค
เฉียนซันเอ๋อร์ไม่เคยเห็นสมบัติมากมายเช่นนั้น แม้เขาฟังแล้วจะคันไม้คันมือเช่นกัน แต่เพียงนึกถึงเรื่องที่พวกหลี่ขุยมิได้กลับขึ้นมาอีกก็กลัวจับใจ ฉะนั้นเขาจึงเกลี้ยกล่อมไม่ให้อาจารย์ลงไปอย่างสุดกำลัง
ทว่าเขาไม่มีอำนาจตัดสินใจ สุดท้ายเฉียนซันเอ๋อร์ก็ถูกสั่งให้ดูต้นทางอยู่ข้างบนเช่นเดิม อาจารย์ของเขากับเจ้าอ้วนหลูต่างคิดว่าขอเพียงระมัดระวัง พบอันตรายแล้วก็วิ่งหนีทันที น่าจะไม่ถึงกับต้องสังเวยชีวิต
เพื่อความปลอดภัย ทั้งสองยังพกมีดสั้นไปด้วยสองเล่ม
เฉียนซันเอ๋อร์ไม่อาจเกลี้ยกล่อมพวกเขาจึงได้แต่รออยู่ข้างบนต่อไป
ความจริงพิสูจน์แล้วว่าผู้ที่หวังไว้ว่าตนจะมีโชคดี ในสิบคนมักมีแปดเก้าคนประสบเหตุร้ายเสมอ
สองคนที่พวกถังฟั่นเจอเมื่อคืนก็คือเจ้าอ้วนหลูกับอาจารย์ของเฉียนซันเอ๋อร์
ฟังเฉียนซันเอ๋อร์บอกเล่าต้นสายปลายเหตุแล้วเรื่องราวก็กระจ่างขึ้นมาก
ข้อสันนิษฐานของถังฟั่นไม่ผิด ระหว่างสุสานใต้ดินแห่งนั้นกับแม่น้ำลั่วเหอต้องมีทางเชื่อมถึงกันอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นสัตว์ประหลาดจึงสามารถปรากฏตัวในแม่น้ำและใต้หลุมขุดในสุสานได้ เสียงร้องไห้นั้นต้องเป็นเสียงของสัตว์ประหลาดแน่ ขอเพียงกำจัดสัตว์ประหลาดได้ ทุกอย่างก็จะคลี่คลาย ชาวบ้านสงบสุข
แต่สภาพจิตใจของพวกถังฟั่นมิได้ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย กลับยิ่งอยู่ยิ่งหนักอึ้ง
จากคำบอกเล่าของเฉียนซันเอ๋อร์ อันตรายใต้พิภพนั้นเกรงว่ายากบรรยายด้วยคำพูดได้ มิฉะนั้นพวกหลี่ขุยมีกันตั้งมาก รวมทั้งหมดสิบกว่าคน ทั้งยังมีอาวุธ แม้จะเทียบยอดฝีมืออย่างองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ แต่ก็มิใช่พวกอ่อนหัดไร้กำลังแน่นอน คนมากมายเช่นนั้นก็ยังตายกันหมด
ถังฟั่นถามเฉียนซันเอ๋อร์ “สัตว์ประหลาดนั่นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร พวกอาจารย์เจ้าเห็นชัดเจนหรือไม่”
เฉียนซันเอ๋อร์ส่ายหน้า “ท่านอาจารย์บอกว่าสัตว์ประหลาดนั่นตัวดำทะมึน เหมือนจะเป็นงูเหลือมยักษ์ แต่ก็ตัวใหญ่กว่างูมาก ทั้งยังมีขา ยืนแล้วสูงกว่าพวกเราเสียด้วยซ้ำ ดวงตาสองข้างแดงก่ำ น่ากลัวมาก อาจารย์ของข้าน้อยมองแวบเดียวก็วิ่ง ขืนยังมองนานกว่านี้ก็ต้องทิ้งชีวิตอยู่ที่นั่นแล้ว…”
ถังฟั่นสงสัย “หรือจะเป็นจระเข้”
เฉียนซันเอ๋อร์มึนงง “จระเข้คืออะไรหรือ”
“…ถือเสียว่าข้าไม่ได้ถาม” ถังฟั่นเอ่ยเบาๆ
ต่อให้หนีออกมาได้แล้วอย่างไร หนีรอดมาได้ครั้งหนึ่งแต่หนีไม่พ้นครั้งที่สอง พวกเขาอุตส่าห์รอดตายแล้ว ไม่เพียงมิได้ล้มเลิกเพียงแค่นั้น แต่ยังย้อนกลับเข้าไปอีกครั้งเพราะตัดใจจากสมบัติข้างในไม่ได้ ผลคือสังเวยชีวิตอย่างสูญเปล่า
เดิมทีโจรเหล่านี้มีใจคิดชั่ว ตั้งใจไปขโมยขุดสุสานจักรพรรดิโดยเฉพาะ นับว่าตายไปก็สมควรแล้ว ไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอันใด
จู่ๆ สุยโจวที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ มาตลอดก็เอ่ยถามขึ้น “ทางลับที่อาจารย์เจ้าใช้แน่ใจนะว่าเป็นทางในสุสานหย่งโฮ่ว”
เฉียนซันเอ๋อร์กล่าวอย่างหวาดๆ “เห็นบอกว่าจากตำหนักใต้ดินชั้นสองแล้วลงไปอีก แต่ใช่สุสานหย่งโฮ่วหรือไม่พวกเขามิได้บอก ข้าน้อยเองก็มิทราบขอรับ”
การตายของอดีตผู้ใหญ่บ้านคือจุดที่น่าสงสัยมากที่สุด แต่ถังฟั่นกับสุยโจวต่างก็ตรวจสอบด้วยตนเองแล้วว่าอีกฝ่ายฆ่าตัวตายจริงๆ
เฉียนซันเอ๋อร์เองก็ถูกสอบปากคำแล้ว แต่เขายืนยันว่าพวกตนขุดสุสานโดยเลี่ยงหูตาของพวกชาวบ้านมาตลอด ไม่รู้จักชายชราที่เสียชีวิตคนนั้นเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าเขาจะโกหกหรือไม่ถังฟั่นก็ให้คนพาเขากลับตัวอำเภอ พร้อมมอบหมายให้ผางฉีสอบสวนอย่างละเอียด
ถังฟั่นกล่าวกับผู้ใหญ่บ้านหลิว “ทำพิธีฝังบิดาเจ้าให้เรียบร้อย พวกเราจะกลับตัวอำเภอ อีกสองวันค่อยมาที่นี่ เจ้าอย่าเพิ่งกลบหลุมขุดนั้น บางทีพวกเราอาจยังต้องใช้ แล้วก็บอกชาวบ้านว่าหากไม่จำเป็นอย่าไปแถวริมแม่น้ำโดยเฉพาะยามวิกาล และห้ามนำคนไปทำพิธีบูชายัญ ข้าจะสั่งคนเฝ้าอยู่ที่นี่ด้วย หากมีการฝ่าฝืนจะคิดบัญชีกับเจ้าเป็นคนแรก”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวพยักหน้าหงึกหงัก “ข้าน้อยจะจำไว้!” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามอีกว่า “ใต้เท้า ท่านคิดจะพาคนลงไปในหลุมนั้นใช่หรือไม่”
ถังฟั่นมิได้ยอมรับ แต่ก็มิได้ปฏิเสธ “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวโค้งร่างลงคารวะ “หากใช่ ขอใต้เท้าโปรดพาข้าน้อยไปด้วย ข้าน้อยช่วยนำทางให้ได้!”
“พี่ใหญ่ ท่านบ้าไปแล้วหรือ!” บุตรชายคนรองของสกุลหลิวที่อยู่ข้างๆ โวยวายขึ้นมา
ผางฉีตะคอก “ใต้เท้าพูดอยู่ ไฉนเจ้าจึงสอดปาก!”
ถังฟั่นมองผู้ใหญ่บ้านหลิวอย่างคาดไม่ถึง “รู้ทั้งรู้ว่าในหลุมนั้นอันตราย เจ้าก็ยังจะไปอีกหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวน้ำตาคลอเบ้า “ขอเรียนให้ใต้เท้าทราบ แม้ข้าน้อยจะโง่เขลาก็รู้ว่าการตายของบิดาต้องเกี่ยวข้องกับที่นั่นแน่ ตั้งแต่เขากลับมาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ข้าอยากแก้แค้นให้บิดา!”
นายอำเภอเหอกล่าวเสริมอยู่ด้านข้าง “ใต้เท้า ตอนที่ข้าน้อยตกรางวัลให้คนลงไปดูเส้นทาง ในกลุ่มคนที่ลงไปมีเขาอยู่ด้วย”
ถังฟั่นเลิกคิ้ว “เจ้าเคยลงไปหรือ”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวผงกศีรษะ “ตอนนั้นข้ากับอีกคนหนึ่งเดินอยู่เกือบครึ่งชั่วยาม ไปถึงตำหนักใต้ดินชั้นสองแล้ว และเห็นเส้นทางลงไปด้านล่างต่อ พวกเราเดินอยู่อีกระยะหนึ่ง รู้สึกหวาดผวาจับใจ ไม่กล้าเดินต่อไปแล้วจึงกลับขึ้นมา”
ถังฟั่นคะเนในใจครู่หนึ่ง เฉียนซันเอ๋อร์เล่าว่าตอนนั้นเขาเฝ้าอยู่ข้างนอกสองชั่วยามกว่า พวกอาจารย์ของเขาจึงออกมา ตามคำให้การนี้ คาดว่าผู้ใหญ่บ้านหลิวคงลงไปใกล้จะถึงชั้นที่สามแล้วพอดี
ระยะเวลาที่ถูกใช้ไปในหลุมของทั้งสองกลุ่มสอดคล้องกัน ไม่มีจุดน่าสงสัย
“ความกตัญญูของเจ้าน่ายกย่อง ควรค่าแก่การชื่นชม แต่เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุป ข้ายังต้องพิจารณาให้รอบคอบ ชาวบ้านขาดความรู้ เจ้าในฐานะผู้ใหญ่บ้านต้องตักเตือนพวกเขาว่าอย่าตื่นตระหนก ห้ามแพร่งพรายข่าวลือส่งเดช” ถังฟั่นว่า
ผู้ใหญ่บ้านหลิวตอบ “ขอรับ ข้าน้อยจะจำไว้”
ถังฟั่นกำชับอีกคำสองคำก็เตรียมพาคนจากไป กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
“ช้าก่อน!” อิ่นหยวนฮว่าเดินเข้ามา “ขอเรียนถามใต้เท้า การตายของตาเฒ่าผู้นี้เต็มไปด้วยจุดน่าสงสัย ไยจึงอนุญาตให้ทำพิธีฝังได้”
ถังฟั่นเอ่ยถาม “พี่อิ่นมีความเห็นอย่างไรหรือ”
อิ่นหยวนฮว่ากล่าว “บัดนี้คดีชัดเจนแจ่มแจ้ง เห็นชัดว่าตาเฒ่าสมคบกับโจรขุดสุสานพวกนั้น ปล่อยให้พวกเขาลักลอบขุดสุสาน เนื่องจากถูกคนพบเห็นก็เลยสร้างเรื่องตบตา ปั้นน้ำเป็นตัวแต่งเรื่องเทพแม่น้ำมาหลอกชาวบ้านที่เบาปัญญา ยามนี้ความแตกเรื่องแดง เพื่อปกป้องคนในครอบครัวตาเฒ่าจึงตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด!” เขาชี้ผู้ใหญ่บ้านหลิวที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงแล้วกล่าวต่อ “ไม่แน่สกุลหลิวทั้งครอบครัวก็น่าสงสัยว่าสมรู้ร่วมคิดด้วย ควรจับเข้าคุกแล้วไต่สวนอย่างหนักจึงจะถูก ไหนเลยจะปล่อยไปอย่างง่ายดายเช่นนี้!”
อิ่นหยวนฮว่าตามพวกถังฟั่นมาถึงที่นี่ ทั้งยังเมารถม้าจนอาเจียนแทบตาย ไหนจะค้างแรมในหมู่บ้านโกโรโกโสนี่อีก โทสะจึงอัดอั้นสุมทรวงมานานแล้ว
เมื่อเห็นถังฟั่นควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด องครักษ์เสื้อแพรที่ขึ้นชื่อเรื่องวางอำนาจก็ยังสมัครใจอยู่ใต้อาณัติ ในฐานะผู้มีอาวุโสกว่าทั้งวัยและการงานเขาย่อมไม่พอใจ คิดในใจว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปการที่เขาตามมาด้วยยังจะมีความหมายอะไรอีก
ถังฟั่นได้ยินแล้วก็ไม่โกรธ เพียงถามว่า “ไม่ทราบว่าเมื่อคืนพี่อิ่นได้ยินเสียงประหลาดนั่นหรือไม่”
อิ่นหยวนฮว่าหน้าแดงก่ำ “หลับลึกไปหน่อย จึงมิได้ยิน”
ถังฟั่นกล่าว “เมื่อคืนข้ากับผู้บังคับการสุยได้ยินเสียงจึงออกไป ตามรอยถึงละแวกสุสานจักรพรรดิ เห็นสองคนนั้นตายกับตา ท่านก็เห็นศพของสองคนนั้นแล้ว คิดว่าใครจะฆ่าปิดปากคนด้วยการกัดร่างกายท่อนล่างของอีกฝ่ายออกหรือ” อิ่นหยวนฮว่าพูดไม่ออกชั่วขณะ ถังฟั่นกล่าวต่อ “หากท่านไม่เชื่อ คืนนี้อยู่ค้างแรมในหมู่บ้านก็สิ้นเรื่อง รอได้ยินเสียงนั้นกลางดึกค่อยตามไปดูที่ริมแม่น้ำ โชคดีพี่อิ่นอาจได้พบเทพแม่น้ำสำแดงกายแล้วจับตัวกลับมาพร้อมกัน เท่านี้ข้าก็ส่งภารกิจได้แล้ว”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ไม่หวังดีของเขาทำเอาอิ่นหยวนฮว่าโกรธเกรี้ยวจนกัดฟันกรอด “ใต้เท้าถังสืบคดีอย่างสุกเอาเผากินเช่นนี้ ข้าย่อมรายงานต่อเบื้องบน!”
ถังฟั่นยิ้มบาง “ตามสบาย”
วันนั้นพวกเขากลับไปที่ตัวอำเภอก่อน
อดีตผู้ใหญ่บ้านตายแล้ว สัตว์ประหลาดไร้ร่องรอย พวกเขารีบร้อนกลับมาเช่นนี้ดูคล้ายกับคว้าน้ำเหลว แต่ความจริงแล้วถังฟั่นกับสุยโจวกำลังวางแผนสองทาง
สุยโจวมาถึงตัวอำเภอแล้วก็มิได้รั้งรออยู่นาน พาคนมุ่งหน้าไปยังเมืองเหอหนานเพื่อขอยืมปืนไฟกับหน่วยองครักษ์เสื้อแพรในเมืองเหอหนาน
ด้านถังฟั่นก็กลับไปเขียนฎีกาที่เรือนพัก รายงานสถานการณ์ที่พวกเขาสืบได้เมื่อมาถึงที่นี่ต่อเบื้องบนอย่างละเอียด พร้อมทั้งขอบัญชาชี้แนะ
อันที่จริงถังฟั่นกับสุยโจวหารือกันส่วนตัวแต่แรก หากอยากรู้ความจริงสุดท้ายต้องลงไปดูด้านล่างสักรอบ เพียงแต่พวกเขาจะลงไปทั้งอย่างนี้มิได้ ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน
ในเวลาเดียวกันอิ่นหยวนฮว่าเองก็กำลังเขียนหนังสือรายงาน แน่นอนว่าเขามิได้เขียนให้เสนาบดีจาง แต่เขียนถึงรองเสนาบดีเหลียงผู้เป็นอาจารย์
หากกล่าวถึงความบาดหมางระหว่างถังฟั่นกับอิ่นหยวนฮว่า เริ่มแรกเพียงมีสาเหตุจากการที่ถังฟั่นโผล่มาแย่งตำแหน่งหัวหน้ากองพลาธิการของอิ่นหยวนฮว่าจนทำให้เขาหาเรื่องตอบโต้ เวลานี้ได้กลายเป็นศึกชั้นเชิงของเสนาบดีจางและรองเสนาบดีเหลียงที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาสองคนแล้ว
เสนาบดีจางหมดหวังกับการเข้าสภาขุนนาง รองเสนาบดีเหลียงก็จ้องอยากครองตำแหน่งของเสนาบดีจาง มีหรือที่เสนาบดีจางจะยอมให้เขาได้ดังหมายตา
คดีนี้เสนาบดีจางสนับสนุนถังฟั่นเต็มที่ ตำแหน่งผู้แทนราชสำนักหลักของถังฟั่นก็ได้เสนาบดีจางชิงมาให้ ไม่เช่นนั้นการสืบคดีนี้อย่างไรก็ไม่ถึงคราวถังฟั่นตัดสินใจเป็นหลัก
สาเหตุที่รองเสนาบดีเหลียงอนุญาตให้ลูกศิษย์ตามถังฟั่นมาไม่เพียงเพื่อให้อิ่นหยวนฮว่ามาจับจุดอ่อนของถังฟั่น ยังหวังอาศัยการปฏิบัติภารกิจนี้พิสูจน์ว่าเสนาบดีจางตาไร้แววในการมองคน ระยะนี้ราชเลขาธิการวั่นอันไม่พอใจเสนาบดีจาง รู้สึกว่าตาเฒ่าคนนี้ยังไม่เชื่อฟังมากพอ มีเจตนาให้รองเสนาบดีเหลียงที่เชื่อฟังมากกว่าเข้ามาแทนที่ หากถังฟั่นไร้ความสามารถในการสืบคดี เสนาบดีจางก็ย่อมได้รับผลกระทบด้วย
ที่ใดมีคนที่นั่นย่อมมีปัญหา ด้วยเหตุนี้ต่อให้เป็นคดีที่ดูแล้วไร้ความเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง แท้จริงแล้วเบื้องลึกเบื้องหลังก็พัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีผลประโยชน์ของแต่ละฝ่าย
ในเมื่อจางอิ๋งสนับสนุนถังฟั่น ถังฟั่นก็ย่อมให้เขาผิดหวังมิได้ ไม่ว่าอย่างไรตาเฒ่าผู้นี้ก็ยังมีหลักการและขอบเขตของการเป็นคน การให้เขาดำรงตำแหน่งเสนาบดีย่อมดีกว่ารองเสนาบดีเหลียงแน่นอน อย่างน้อยถังฟั่นก็ไม่ต้องเอาแต่ห่วงว่าตนจะถูกกลั่นแกล้ง
รายงานของถังฟั่นและอิ่นหยวนฮว่าถูกแยกกันเร่งส่งถึงเมืองหลวงด้วยม้าเร็ว
ด้านเมืองหลวงไม่มีทางที่จะตอบกลับมาภายในสองวัน แต่สุยโจวกลับว่องไวมาก วันถัดมาก็นำปืนไฟกลับมาสี่กระบอก
ได้ปืนไฟมาแล้วก็เสมือนเสือติดปีก ถังฟั่นไม่รีรอ เรียกพวกเฉิงเหวินมาทันทีก่อนกล่าวว่า “ข้ารายงานเหตุการณ์ที่นี่กับทางเมืองหลวงแล้ว ทว่าอย่างเร็วก็ต้องห้าหกวันจึงจะมีข่าวคราว ด้านหมู่บ้านลั่วเหอก็รอช้ามิได้ ในเมื่อองครักษ์เสื้อแพรยืมปืนไฟมาได้แล้ว ข้าเตรียมจะไปดูในหลุมขุดสุสานนั้นกับพวกผู้บังคับการสุย จะได้จับสัตว์ประหลาดกินคน สะสางเภทภัยครั้งใหญ่ ข้างล่างนั้นมีอันตรายที่มิอาจคาดเดา พวกเจ้าล้วนเป็นขุนนางพลเรือน ไม่ต้องไปเสี่ยงกับข้า สู้อยู่เป็นผู้ประสานงานที่เรือนพัก หากมีข่าวจากทางเมืองหลวงจะได้ช่วยข้าตอบกลับได้ทันเวลา”
เฉิงเหวินกับเถียนเซวียนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก คำบอกเล่าของเฉียนซันเอ๋อร์กับผู้ใหญ่บ้านหลิวในวันนั้นพวกเขาล้วนได้ยิน หากมิต้องไปเสี่ยงอันตรายได้พวกเขาย่อมดีใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าผู้แทนราชสำนักหลักอย่างถังฟั่นยังลงไป แต่เจ้าหน้าที่ระดับล่างอย่างพวกเขากลับนิ่งดูดายอยู่อีกทาง ถึงเวลาหากเกิดอะไรขึ้นพวกเขาก็ไม่รอดอาญาอยู่ดี
เฉิงเหวินโน้มน้าว “ใต้เท้า หนนี้ท่านเป็นผู้แทนราชสำนัก เพียงสั่งการก็พอ เหตุใดจึงต้องเสี่ยงด้วยตนเอง”
“ผู้บังคับการสุยก็เป็นผู้แทนราชสำนัก เขาก็ไปด้วยมิใช่หรือ ทุกคนล้วนรักชีวิตตนเอง เช่นนั้นก็ไม่มีใครต้องลงไปกันพอดี” ถังฟั่นย้อน
เห็นเฉิงเหวินนิ่งอึ้ง เถียนเซวียนก็รีบละล่ำละลัก “เช่นนั้นรอราชสำนักตอบกลับก่อนค่อยว่ากันดีหรือไม่”
ถังฟั่นส่ายหน้า ความจริงแล้วเขามีอีกแผนหนึ่งในใจ แต่ไม่อาจบอกพวกเขาในเวลานี้ได้ จึงบอกเพียงว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว มิต้องพูดมาก หากเกิดอะไรขึ้นกับข้าและผู้บังคับการสุย พวกเจ้าก็รับหน้าที่พาคนที่เหลือกลับเมืองหลวง รายงานตามความจริง แล้วค่อยส่งคนกลับมาสะสางเภทภัยของที่นี่ให้จงได้”
ทั้งสองเห็นถังฟั่นกล่าวอย่างหนักแน่นก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ขานรับเสียงระรัว
อิ่นหยวนฮว่ากลับเอ่ยว่า “ข้ายินดีติดตาม ขอใต้เท้าโปรดอนุญาต!”
เฉิงเหวินกับเถียนเซวียนไม่กล้าลงไปย่อมเป็นเพราะรักชีวิตน้อยๆ ของตนเอง แต่อิ่นหยวนฮว่ากลับมีความคิดอีกอย่าง
อิ่นหยวนฮว่าไม่สนว่าข้างล่างนั้นจะมีสัตว์ประหลาดอะไร เขาเชื่อมั่นในแสนยานุภาพของปืนไฟสี่กระบอกในมือองครักษ์เสื้อแพร อีกประการคือวรยุทธ์ขององครักษ์เสื้อแพรก็มิใช่สิ่งที่พวกอันธพาลอย่างโจรขุดสุสานพวกนั้นจะเทียบได้
แม้การเข้ารังสัตว์ร้ายจะอันตราย แต่หากสามารถค้นหาห้องปีกที่เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าตามที่เฉียนซันเอ๋อร์เล่าได้ก็เป็นผลงานชิ้นใหญ่เช่นเดียวกัน อิ่นหยวนฮว่าไหนเลยจะยอมให้ถังฟั่นได้ผลงานทั้งหมดไปคนเดียว
ถังฟั่นย่นคิ้ว “ไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายเหี้ยมโหดนั้นเป็นตัวอะไร การไปครั้งนี้เต็มไปด้วยภยันตราย ทางที่ดีท่านอยู่ที่นี่ดีกว่า”
อิ่นหยวนฮว่าเถียงคอเป็นเอ็น “หรือใต้เท้ากลัวว่าข้าจะแย่งผลงานท่าน”
คนที่ไม่แยกแยะดีเลวเช่นนี้ หากมิให้ไปด้วยแล้วเขารายงานต่อเบื้องบน ร้องเรียนว่าถังฟั่นจองหองพองขน ลุแก่อำนาจ ก็เหลืออดพอที่จะให้ถังฟั่นทนแล้ว
คิดถึงตรงนี้ถังฟั่นก็คร้านจะรับมือเขา กล่าวอย่างราบเรียบ “ท่านอยากไปด้วยก็เอาเถิด แต่มีเงื่อนไขข้อหนึ่งคือต้องฟังคำสั่ง อย่าบุ่มบ่ามวู่วาม”
ภายใต้สายตากดดันของเขา อิ่นหยวนฮว่าจำต้องประสานมือคำนับ “ข้าจะทำตามคำสั่งของใต้เท้า”
เมื่อยืมปืนไฟมาแล้วถังฟั่นกับสุยโจวก็ไม่รอช้า วันถัดมาก็พาพวกผางฉีมุ่งหน้ากลับหมู่บ้านลั่วเหออีกครั้ง
แม้นายอำเภอเหอหวังประจบขุนนางเบื้องบน แต่ก็ไม่สามารถทุ่มสุดตัวได้ เขายังรักตัวกลัวตายจึงได้แต่พล่ามคำประจบเอาใจเป็นกระบุงเพื่อแสดงความภักดีกับถังฟั่น กลับเป็นผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวที่ทุ่มสุดตัว เป็นฝ่ายอาสากับถังฟั่น ยินดีเป็นคนนำทาง ทั้งยังนำมือปราบจากจวนว่าการมาสองคนซึ่งวรยุทธ์ไม่เลวทั้งยังสมัครใจมาด้วย
ชาวบ้านหมู่บ้านลั่วเหอเห็นพวกเขาย้อนกลับมาต่างก็ตะลึงปนประหลาดใจ ถังฟั่นให้คนอื่นๆ ล่วงหน้าไปที่หลุมขุดสุสานจักรพรรดิก่อน ส่วนเขาก็พาผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวไปหาผู้ใหญ่บ้านหลิวที่บ้าน
แต่จังหวะไม่พอดีเอาเสียเลย ผู้ใหญ่บ้านหลิวไม่อยู่ คนที่ออกมาต้อนรับพวกเขาคือบุตรชายคนรองสกุลหลิว
บุตรชายคนรองสกุลหลิวบอกว่า “พี่ใหญ่ข้าออกไปข้างนอก บอกว่าจะไปซื้อขวานในตัวอำเภอ จะได้มีอาวุธป้องกันตัวถนัดมือตอนไปกับพวกท่านขอรับ!”
ถังฟั่นเอ่ยถาม “พี่ใหญ่เจ้าออกไปเมื่อใด”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวกล่าว “ออกไปเมื่อคืนขอรับ เนื่องจากดึกมากแล้วจึงอยู่ค้างคืนในตัวอำเภอคืนหนึ่ง น่าจะกลับเช้านี้ ใต้เท้าอย่าให้พี่ใหญ่ไปได้หรือไม่ ข้าน้อยยินดีไปกับพวกท่าน!”
ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวไม่สบอารมณ์ “เจ้าเห็นเรื่องนี้เป็นการเล่นขายของหรือ ยังจะเลือกนั่นเลือกนี่ วันก่อนพี่ใหญ่เจ้าเป็นคนขอไปกับพวกเราเองแท้ๆ เขาเคยลงไปในนั้นย่อมคุ้นเคย เจ้าไปแล้วมีประโยชน์อะไร!”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวท่าทางนบนอบ มิกล้าโต้แย้ง
ถังฟั่นรั้งมิให้ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวข่มขวัญอีกฝ่ายต่อ เอ่ยถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยากตามไปด้วย ไม่รู้หรือว่าที่นั่นอันตราย”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวกล่าวตะกุกตะกัก “ข้า…ข้าไม่อยากให้เขาไปตาย!”
ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวกลอกตา หากมิใช่เพราะถังฟั่นอยู่ด้วยเขาอยากตบเจ้าโง่ปัญญานิ่มคนนี้ฉาดใหญ่จริงๆ อะไรเรียกว่าไปตาย หมายถึงพวกเขาทั้งหมดกำลังเตรียมตัวไปตายหรือ!
ถังฟั่นกลับเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “เจ้าต้องรักพี่น้องมาก เพื่อพี่ชายแล้วเจ้าถึงยอมสมัครใจไปที่อันตรายเช่นนั้น”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวพยักหน้า “ขอรับ ชีวิตของพี่ใหญ่ช่างลำบาก ภรรยาของเขาจากไปเร็ว เพื่อให้ข้าได้สู่ขอภรรยา เขาจึงมิได้แต่งงานใหม่ จนวันนี้ก็ยังไม่มีลูก หลังจากเกิดเรื่องบิดาแล้วเขาต้องเป็นผู้ใหญ่บ้าน ทั้งยังต้องดูแลครอบครัว ข้า…ข้าไม่อาจอยู่เฉยได้…”
ทันใดนั้นถังฟั่นกลับถามอีกเรื่องหนึ่งที่ปราศจากความเกี่ยวข้อง “อดีตผู้ใหญ่บ้านพบบางอย่างที่นั่นใช่หรือไม่ จึงถูกบีบให้ฆ่าตัวตาย”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวมีสีหน้าฉงน “หา?”
เห็นชัดว่าเขาไม่เข้าใจเลยว่าถังฟั่นกำลังพูดถึงอะไร
ก่อนหน้านี้ถังฟั่นมีความคิดไม่ต่างจากอิ่นหยวนฮว่า คือคิดว่าการตายของอดีตผู้ใหญ่บ้านต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโจรขุดสุสานกลุ่มนั้นอยู่บ้าง แต่คำให้การของเฉียนซันเอ๋อร์ล้มล้างการสันนิษฐานของเขา พวกเฉียนซันเอ๋อร์กับอดีตผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านหมู่บ้านลั่วเหอล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน เพียงได้ยินว่าสุสานจักรพรรดิของที่นี่ขุดได้ง่ายจึงวางแผนมาที่นี่ มุ่งหน้ามาดักซุ่ม
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดอดีตผู้ใหญ่บ้านจึงต้องฆ่าตัวตายอีก ชัดเจนว่าการฆ่าตัวตายของเขาทำเพื่อปิดบังความจริงบางอย่าง
ที่แท้เขาปิดบังเรื่องอะไรอยู่ หากไม่เกี่ยวข้องกับพวกเฉียนซันเอ๋อร์ แล้วเกี่ยวข้องกับอะไร
เมื่อครู่เขาจึงหลอกถามบุตรชายคนรองสกุลหลิว
แต่ดูจากท่าทีอีกฝ่ายแล้ว เห็นชัดว่าเขาไม่รู้ความจริงเรื่องที่บิดาของตนจากไป
ต่อให้คนคนหนึ่งอำพรางได้ดีเพียงใด เนื่องจากมีพิรุธในใจ ย่อมเผยให้เห็นร่องรอยบ้าง บุตรชายคนรองสกุลหลิวกลับมิได้มีท่าทีใจฝ่ออย่างนัยน์ตาลุกวาวหรือการพูดชะงักงัน
ถังฟั่นแย้มยิ้มบาง เปลี่ยนเรื่องสนทนา “การตายของบิดาเจ้า พี่ชายเจ้าเสียใจหรือไม่”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวพยักหน้า “พี่ชายข้าเสียใจมาก ข้าเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาไปกับพวกท่าน แต่เขาไม่ฟัง บอกว่าต่อให้ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดก็จะไปฆ่าสัตว์ประหลาดนั่น แก้แค้นให้บิดาของพวกเรา ใต้เท้า ให้ข้าไปแทนพี่ชายข้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
ถังฟั่นคิดในใจ หรือการสันนิษฐานของตนจะผิดพลาดตั้งแต่ต้นจนจบ อดีตผู้ใหญ่บ้านฆ่าตัวตายเพียงเพราะเสียขวัญมากเกินไปเท่านั้นจริงๆ
ขณะเขากำลังจะเอ่ยปากก็ได้ยินบุตรชายคนรองสกุลหลิวร้องดีใจ “พี่ใหญ่กลับมาแล้ว!”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวย่างเท้าเข้ามา ในมือมีขวานคมกริบเล่มใหม่ เขามองถังฟั่นกับพวกผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวด้วยความประหลาดใจแกมยินดี “ใต้เท้า เหตุใดพวกท่านจึงกลับมาเร็วนัก พวกเราจะไปกันวันนี้เลยหรือ”
ถังฟั่นพยักหน้า “คนครบแล้ว รอแต่เจ้าคนเดียว”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวลูบเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มซื่อ “ดีที่ข้ากลับมาเร็ว เช่นนั้นเราก็ไปกันเถอะ!”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวรีบกระวีกระวาดรั้งเขา “ท่านพี่ ให้ข้าไปด้วยเถอะ!”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวหน้าบึ้ง “เหลวไหล! เจ้ายังต้องดูแลท่านแม่ ถ้าข้าไม่กลับมาเจ้าก็บอกกับพวกชาวบ้านว่าให้เลือกผู้ใหญ่บ้านคนใหม่ เข้าใจหรือไม่”
ไม่พูดยังดี เมื่อพูดแล้วบุตรชายคนรองสกุลหลิวก็ยิ่งเศร้าใจ “พี่ใหญ่…”
ผู้ใหญ่บ้านหลิวตบบ่าเขา “เอาล่ะๆ เลิกพูดมากได้แล้ว เจ้าทำเนื้อตุ๋นรอข้ากลับมา ใส่ผักกาดขาวๆ ด้วยล่ะ!”
บุตรชายคนรองสกุลหลิวสูดจมูก ผงกศีรษะแรงๆ
สองพี่น้องล่ำลากัน แล้วผู้ใหญ่บ้านหลิวก็ตามถังฟั่นไปสุสานจักรพรรดิ
สุยโจวพาพวกผางฉีไปรอที่นั่นแล้ว เฉียนซันเอ๋อร์ก็อยู่ด้วย แม้เขาจะไม่เคยลงไป แต่ในฐานะคนที่ฟังคำบอกเล่าของอาจารย์และเจ้าอ้วนหลูมาโดยตรงจึงย่อมรู้จักสภาพแวดล้อมข้างในดีกว่าพวกถังฟั่น ถังฟั่นย่อมไม่มีทางทิ้งให้เขาอยู่ด้านบน
ความเมตตานั้นพึงมีให้กับคนที่คู่ควร ไม่ควรสิ้นเปลืองกับคนที่ไม่ควรค่า คนที่ไม่สนิทกับถังฟั่นจะคิดว่าเขานิสัยดี เจรจาด้วยง่าย ความจริงแล้วในใจเขามีบรรทัดฐาน ยามที่ควรแข็งกร้าวก็จะไม่โลเลแม้แต่นิดเดียว
พวกเขาออกมากันเร็ว ตอนนี้เพิ่งล่วงเลยยามเฉินเท่านั้น ยึดเวลาที่พวกอาจารย์ของเฉียนซันเอ๋อร์ลงไปแล้วขึ้นมา คำนวณทั้งหมดหนึ่งวันก็เพียงพอ หากราบรื่น พลบค่ำพวกเขาก็น่าจะออกมาได้แล้ว หากไม่ราบรื่น…
ทันใดนั้นใต้เท้าถังก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนที่ตนออกจากเมืองหลวงเหมือนจะยังมิได้ฝากคำสั่งเสียไว้กับอาตง นี่ถ้าหากเขากับสุยโจวไปไม่กลับทั้งคู่ เช่นนั้นอาตงตัวน้อยก็คงเป็นเด็กกำพร้าอีกแล้ว
ฮึ่ย! เพื่ออาตง พยายามรักษาชีวิตน้อยๆ อย่างสุดกำลังก็แล้วกัน!
ในกลุ่มคนสุยโจวกับพวกผางฉีสุขุมใจเย็นที่สุด สำหรับองครักษ์เสื้อแพรที่ต้องออกทำภารกิจนอกพื้นที่เป็นประจำ พวกเขาคุ้นชินกับสถานการณ์อันตรายและคาดไม่ถึงเสมอ เรื่องเดียวที่ต่างออกไปคือครานี้สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าอาจมิใช่มนุษย์ก็เท่านั้น
ทว่ามีปืนไฟในมือ พวกผางฉีซึ่งเดิมทีคลางแคลงใจกับเหตุการณ์ในคืนนั้นก็สงบใจลง ในสมัยราชวงศ์หยวนปืนไฟก็ถูกใช้ในสนามรบแล้ว ครั้นถึงช่วงปลายราชวงศ์หยวนต้นราชวงศ์หมิงก็มีบทบาทสำคัญบนเส้นทางชิงอำนาจครองแผ่นดินของจักรพรรดิหงอู่ ในสามค่ายใหญ่แห่งเมืองหลวงก็มีกองทัพยุทโธปกรณ์ไฟอย่างหน่วยปืนไฟ
มีปืนไฟอยู่ในมือก็ไม่ร้องขออะไรอีก ดังนั้นพวกผางฉีจึงใจเย็นกันมาก
แม้เฉียนซันเอ๋อร์จะไม่เคยลงไป ทว่ามีบทเรียนจากอาจารย์กับเจ้าอ้วนหลู บัดนี้แม้เขาก็กระหายอยากได้สมบัติด้านล่าง แต่กลับรักชีวิตตนเองมากกว่า จะหนีก็ไม่ได้ ได้แต่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก กลัวจับใจว่าหากพลั้งพลาดตนก็จะไปอยู่กับอาจารย์
สภาพจิตใจเช่นนี้ของเขาส่งอิทธิพลถึงอิ่นหยวนฮว่าอย่างเห็นได้ชัด แม้ฝ่ายหลังจะสมัครใจขอตามลงไปด้วย แต่อย่างไรเขาก็เป็นขุนนางพลเรือน มิได้มีสภาพจิตใจระดับเดียวกับพวกผางฉี แค่นึกถึงสภาพของสองศพนั้นขาก็เริ่มสั่นอย่างห้ามไม่อยู่
ถังฟั่นให้ผู้ช่วยนายอำเภอจ้าวและมือปราบสองคนรอประสานงานอยู่ด้านบน ก่อนมองอิ่นหยวนฮว่าอีกแวบหนึ่งแล้วถาม “หากท่านเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทัน”
“ข้าไม่เปลี่ยนใจ” อิ่นหยวนฮว่ากัดฟันยืนกราน
ถังฟั่นคร้านจะเกลี้ยกล่อมอีก จึงกล่าวกับคนอื่นๆ “ครั้งนี้แม้ข้าจะเป็นผู้แทนหลัก แต่เนื่องจากไม่อาจคาดเดาสถานการณ์ด้านล่างได้ ทุกคนรวมถึงข้าล้วนต้องฟังคำสั่งของผู้บังคับการสุย ไม่มีคำสั่ง ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการเด็ดขาด”
นี่เป็นการรวมอำนาจการบัญชาไว้ด้วยกันแล้ว
พวกผางฉีย่อมปราศจากการเห็นค้าน ตรงกันข้ามพวกเขาต่างชอบใจ เทียบกับการฟังบัญชาขุนนางพลเรือนคนหนึ่งที่ไม่เคยร่วมงานด้วย พวกเขาย่อมพอใจจะฟังคำสั่งของสุยโจวมากกว่า ถังฟั่นเองก็ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ที่บัญชาวุ่นวายจนสุดท้ายต้องสังเวยชีวิตของทุกคน จึงยกอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดแก่สุยโจวให้สิ้นเรื่อง
สุยโจวยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกเขามักเงียบขรึมพูดน้อย แต่ทุกครั้งที่เอ่ยปากมักตรงเข้าประเด็นเสมอ
เห็นพวกผางฉีพากันมองเขาด้วยสีหน้าตั้งความหวัง สุยโจวกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาเพียงคำเดียวว่า “เริ่มได้”
“…”
ขณะที่ทุกคนกำลังนิ่งอึ้ง สุยโจวเดินนำหน้าไปที่ปากหลุมเตรียมตัวลงไปแล้ว หันกลับมาเห็นคนอื่นๆ ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็มองด้วยสายตาเป็นเชิงถาม
ทุกคนจึงตื่นจากภวังค์ รีบตะลีตะลานตามลงไป พวกเขานึกว่าอย่างน้อยผู้บังคับบัญชาก็น่าจะกล่าวคำเรียกขวัญกำลังใจเสียหน่อย…
หลุมอุโมงค์ค่อนข้างแคบ มีขนาดพอให้ลงไปได้ทีละคนเท่านั้น ตามที่ผู้ใหญ่บ้านหลิวบอก ตอนที่พวกเขาลงไปถึงตำหนักใต้ดินชั้นสองราบรื่นตลอดทาง มิได้ประสบภยันตรายใดๆ แต่เนื่องจากสภาพการตายอันเลวร้ายของสองคนนั้น ทุกคนจึงผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เดินหน้าอย่างระมัดระวัง
ผู้ใหญ่บ้านหลิวเคยลงมาแล้วจึงรับหน้าที่นำทาง เขาเดินอยู่ด้านหน้าสุด ด้านหลังตามติดด้วยสุยโจวกับเหล่าองครักษ์เสื้อแพร จากนั้นจึงเป็นเฉียนซันเอ๋อร์ ถังฟั่นและพวกอิ่นหยวนฮว่า ปิดท้ายด้วยผางฉี
อุโมงค์คดเคี้ยวเลี้ยวลด ซับซ้อนวกวน ต้องเอาเท้าลงก่อนแล้วไต่ไปทีละก้าว ส่วนมือทั้งสองข้างจับผนังเอาไว้
ด้านนอกเป็นเวลากลางวัน ตอนที่เพิ่งลงไปยังมองเห็นชัดเจน แต่ยิ่งลงไปลึกแสงก็ยิ่งมืดสลัว ชินกับแสงสว่างด้านนอก ปุบปับเจอสภาพแวดล้อมมืดสลัว ยากปรับสายตา ฉะนั้นทุกคนจึงเดินกันค่อนข้างช้า
เริ่มแรกอุโมงค์ยังคับแคบ แต่เมื่อลงไปลึกขึ้นๆ ก็กว้างขึ้นเรื่อยๆ ช่วงท้ายนั้นมีขนาดให้ลงไปได้พร้อมกันสองคนแล้ว ทุกคนแนบร่างชิดติดผนังหินเพื่อมิให้ลื่นไหลลงไปเพราะความลาดชัน
ตอนที่ถังฟั่นจับผนังหินปนดินก็สัมผัสได้ว่าบางแห่งมีคราบเหนียว ทั้งยังมีกลิ่นคาวจางๆ คล้ายกับเลือดและเศษเนื้อของศพที่ถูกฉีกกระชาก…หยุด! ไม่ควรคิดต่อไปแล้ว!
แม้ใต้เท้าถังจะมิใช่คนรักสะอาดถึงเพียงนั้น แต่เมื่อนึกภาพเหตุการณ์นี้อย่างละเอียดก็รู้สึกคลื่นเหียนอยากอาเจียนเหลือเกิน
“ถึงแล้ว!” เสียงของผู้ใหญ่บ้านหลิวดังมาจากข้างหน้า
เมื่อคนข้างหน้ากระโดดลงไปทีละคน ถังฟั่นก็กระโดดตาม พริบตาเท้าก็แตะพื้น
แต่เขาลืมไปว่าด้านหลังตนเองยังมีอิ่นหยวนฮว่าอีกคน…
ตอนที่อิ่นหยวนฮว่ากระโดดคล้ายข้อเท้าพลิก เขาร้องโอยเสียงหนึ่ง จากนั้นก็ล้มทับคนดวงไม่ดีที่อยู่ข้างหน้า!
‘คนดวงไม่ดี’ อย่างใต้เท้าถังรู้สึกเพียงความเจ็บแล่นมาจากแผ่นหลัง ยังไม่ทันได้มองสภาพแวดล้อมเบื้องหน้าให้ชัดเจนก็ถูกทับจนล้มคว่ำแล้ว
นายกององครักษ์เสื้อแพรนามเหยียนหลี่กำลังสำรวจสภาพแวดล้อมเบื้องหน้ากับสุยโจว ทันใดนั้นสุยโจวก็ไหวร่างวูบ
เมื่อพินิจมองอีกครั้งก็เห็นว่าหัวหน้าของตนเหวี่ยงอิ่นหยวนฮว่าไปอีกทาง ปล่อยให้อีกฝ่ายกลิ้งหลุนๆ ไปด้านข้างอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะพยุงใต้เท้าถังขึ้นอย่างระมัดระวังพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา
แม้อิ่นหยวนฮว่าจะไม่กล้าล่วงเกินองครักษ์เสื้อแพร แต่เขาก็วางทิฐิลงแล้วเป็นฝ่ายผูกมิตรไม่ได้ จึงมักวางมาดขุนนางพลเรือนเสมอ แน่นอนว่าพวกเหยียนหลี่ก็ไม่ชอบหน้าเขาเช่นกัน
กับสถานการณ์เช่นนี้เหยียนหลี่อยากบอกเพียงว่า…พี่ใหญ่ ทำได้ดี!
* เตียงเตา (คั่ง) หมายถึงเตียงที่ก่อด้วยอิฐของชาวจีนทางตอนเหนือ ด้านล่างมีช่องสำหรับจุดไฟให้เตียงอุ่นและมีปล่องระบายควันออกไปนอกตัวบ้าน มักจะตั้งอยู่ข้างห้องครัวและอาศัยไฟจากการหุงหาอาหารช่วยให้เตียงอุ่นไปในตัว เวลานอนจะปูฟูกไว้ด้านบน เวลากลางวันเก็บฟูกขึ้นและใช้แทนโต๊ะได้
* เชือดไก่ด้วยมีดฆ่าโค เป็นสำนวน หมายถึงเสียแรงไปโดยใช่เหตุ