ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 6 บทที่ 3 #นิยายวาย

ตุ๊กตาล้มลุกหมุนติดต่อกันอีกสองรอบ แบ่งเป็นหยุดลงตรงหน้าเจ้าเมืองฟั่นตามด้วยฟางฮุ่ยเสวีย เจ้าเมืองฟั่นเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ สามารถต่อกลอนได้ทั้งหมดมิใช่เรื่องแปลก ฟางฮุ่ยเสวียเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง ทว่ากลับต่อกลอนออกมาได้กว่าครึ่ง เพียงโดนปรับสุราหนึ่งครั้ง เห็นได้ว่าแม้เป็นพ่อค้าวาณิช หากในท้องก็ใช่ว่าจะไร้น้ำหมึกเอาเสียเลย

ถังฟั่นนั่งติดกับเขา เห็นคนผู้นี้บุคลิกดีเยี่ยม ยามเจรจาไม่ติดกลิ่นอายวัตถุนิยม อดรู้สึกประทับใจมิได้ จึงเป็นฝ่ายชวนคุยหลายคำ ฟางฮุ่ยเสวียปลาบปลื้มล้นพ้น เขาสามารถค้ากำไรไปทั่วแคว้นแดนใต้ แน่นอนว่าทัศนะความคิดกว้างไกลกว่าพ่อค้าทั่วไป หัวข้อที่สนทนากับถังฟั่นย่อมไม่คับแคบ

ให้บังเอิญก็คือสองฝ่ายล้วนให้ความสนใจต่อวิถีชีวิตราษฎรเป็นอันมาก ถังฟั่นเป็นขุนนาง ย่อมใส่ใจปากท้องของชาวบ้านเป็นธรรมดา ไม่น่าเชื่อฟางฮุ่ยเสวียซึ่งเป็นพ่อค้าคนหนึ่งกลับเข้าอกเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านทั่วไปพอสมควร หนำซ้ำระหว่างพูดคุยก็มิได้เอาแต่มุ่งเน้นผลประโยชน์เยี่ยงพ่อค้าอื่นๆ กลับยกย่องเทิดทูนเสียนเกาพ่อค้าใจบุญยุคชุนชิวอย่างมาก

เขาฟังว่าถังฟั่นเพิ่งมาจากซูโจว จึงถาม “ใต้เท้า ข้าน้อยได้ยินว่าปีที่แล้วอำเภออู๋เจียงเกิดภัยอดอยาก มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ไม่ทราบปีนี้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่”

ถังฟั่นตอบ “ภัยอดอยากดีขึ้นมาก แต่ผู้ประสบภัยหากต้องกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเดิมเกรงว่าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด”

ฟางฮุ่ยเสวียจึงว่า “เอื้อเฟื้อข้าวปลามิสู้เจือจานอาชีพ หากใต้เท้าไม่รังเกียจ ข้าน้อยยินดีออกทุนสร้างบ้านเรือนให้แก่ผู้ประสบภัยเหล่านั้น ทั้งมอบเงินทุนกับพวกเขาอีกก้อนหนึ่ง ให้พวกเขาสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเองได้”

ถังฟั่นอัศจรรย์ใจ “นี่เป็นการให้เปล่า?”

ฟางฮุ่ยเสวียยิ้มกล่าว “ย่อมมิใช่แน่นอน ข้าพูดไปเกรงว่าใต้เท้าคงไม่เชื่อ ผู้ประสบภัยเหล่านั้นใช้ชีวิตอยู่ตามริมทะเลสาบไท่หู ตั้งแต่ปู่ย่าตายายล้วนอาศัยการเพาะปลูกและจับปลายังชีพ ทุกวันนี้อย่างไรก็ยังมีฝีมืออยู่ เพียงแต่บ้านเรือนพังพินาศ ไม่มีเงินทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าสามารถช่วยซื้อเรือให้หรือไม่ก็เช่าที่นาให้ ภายในเวลาสามปีหากฝนฟ้าตกต้องตามฤดู พวกเขาก็สามารถนำมาคืนให้ข้าได้ทั้งต้นและดอก หลังจากสามปีไปพวกเขาก็เป็นเจ้าของทรัพย์สินเหล่านั้นได้แล้ว”

เช่นนี้แล้วฟางฮุ่ยเสวียไม่มีทางได้กำไรแน่ ดีไม่ดีอาจขาดทุนด้วยซ้ำ ถังฟั่นจึงยิ้มกล่าว “เวลานี้ข้ามิได้เป็นผู้ดูแลซูโจวอีกแล้ว แต่ข้าสามารถถ่ายทอดวาจาแทนท่านได้ เพียงแต่ถ้าทำเช่นนี้การค้ารายนี้ของท่านอาจจะขาดทุน ท่านตรึกตรองดีแล้ว?”

ฟางฮุ่ยเสวียแย้มยิ้ม “ร่ำรวยแต่ไร้เมตตาต้องถูกฟ้าดินลงทัณฑ์ คนผู้หนึ่งกระทำสิ่งใด กระทำมากกระทำน้อย สวรรค์เบื้องบนล้วนมองอยู่ มิใช่ไม่เห็นค่า เพียงยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น อีกประการหนึ่งตอนนี้อาจดูเหมือนขาดทุน แต่ความจริงแล้วขอเพียงคำขวัญของข้าน้อยแพร่กระจายออกไป ภายหน้าทุกผู้คนล้วนทราบ สกุลฟางประกอบการค้ายุติธรรม ซึ่งนี่กลับส่งเสริมให้การค้าของข้าน้อยรุ่งเรืองยิ่งขึ้น ดังนั้นสายตายังคงต้องมองไกลออกไปจึงจะดี หลายปีมานี้ข้าน้อยทำการค้าได้กำไรไม่น้อย หากไม่ตระหนักในหลักธรรม ‘มีรับมีให้’ สักวันคงได้ประสบเหตุเภทภัย ข้าน้อยใคร่เอาอย่างเถาจูกง* กลับไม่ยินดีเอาอย่างเสิ่นวั่นซัน**!”

ถังฟั่นชื่นชมท่าทีอันไม่ยึดติดในสมบัติพัสถานของเขา “ใจบุญยิ่งนัก หากพ่อค้าทั่วหล้าสามารถมีความคิดเช่นพี่ฟาง ราชสำนักคงมิต้องกลัดกลุ้ม ปวงประชาก็จะมีความสุขเกษมแล้ว”

ฟางฮุ่ยเสวียยิ้มกับตนเอง “ไม่เช่นนั้นข้าน้อยหรือจะอยู่ในสายตาของเผิงสือและใต้เท้าได้”

ทั้งสองสบตากัน ต่างหัวเราะฮาๆ ขึ้นมา

ทางด้านนี้กำลังสนทนาอย่างชื่นมื่น อีกด้านหนึ่งตุ๊กตาล้มลุกเริ่มหมุนติ้วอีกครั้ง สุดท้ายหยุดลงตรงหน้าถังฟั่น

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ถึงคราวที่ข้าต้องเป็นที่ขบขันแล้ว เจ้าเมืองฟั่นเชิญตั้งคำถามเถอะ”

จะขึ้นต้นกลอนคู่ให้ขุนนางผู้แทนราชสำนักออกจะยุ่งยากอยู่บ้าง หากง่ายเกินไป ไม่อาจสำแดงระดับความสามารถของใต้เท้าผู้แทนราชสำนัก กลับจะกลายเป็นดูแคลนอีกฝ่าย หากยากเกินไป ใต้เท้าผู้แทนราชสำนักตอบไม่ถูกขึ้นมา เช่นนั้นคนขึ้นต้นวรรคแรกคงประสบเคราะห์แล้ว

ถังฟั่นเรืองนามจากการวินิจฉัยคดี ทุกคนในที่นั้นล้วนทราบ ทว่าสำหรับด้านวรรณศิลป์ของถังฟั่นแล้วแทบไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ถึงแม้บุคคลเช่นเจ้าเมืองฟั่นและจี๋หมิ่นเคยได้ยินมาว่าในอดีตเขาเกือบได้เป็นจ้วงหยวน ต่อมากลับระบุให้เป็นแค่บัณฑิตขั้นสาม แต่หลังจากถังฟั่นรับราชการ ความเรียงและรวมบทกวีซึ่งเป็นผลงานของเขามิได้แพร่หลายในแวดวงปัญญาชน ดังนั้นเจ้าเมืองฟั่นจึงมิกล้าสุ่มเสี่ยง ใคร่ครวญอยู่นาน สุดท้ายค่อยคิดวรรคแรกที่ไม่ยากไม่ง่ายออกมา เมื่อถังฟั่นต่อวรรคหลังเสร็จ เขาถึงกับลอบโล่งอก

เวียนมาถึงจี๋หมิ่น อีกฝ่ายระบายยิ้ม “เวลาสั้นๆ ข้านึกอันใดไม่ออก ขอเอาภาพกระรอกเหนือกิ่งไม้เป็นวรรคแรกแล้วกัน กระรอกหลังกิ่งใบชะเง้อผลหลี่และท้อละลานตา”

นี่แทบไม่นับว่ายากเย็นอันใด ถังฟั่นต่อวรรคท้ายโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ “ลิงทโมนเหนือบ่อน้ำละโมบตะวันจันทรา”

ผลท้อดกงามบนก้านกิ่ง ส่วนตะวันจันทราก็อาจจะสะท้อนเงาในบ่อน้ำ วรรคท้ายของถังฟั่นนี้มีอารมณ์ขันอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนจึงพากันโห่ร้องชมเชย

อีกหลายคนเวียนกันตั้งวรรคแรก ล้วนไม่สามารถล้มถังฟั่นได้ จนกระทั่งถึงคราวของสวีปิน เขาเอ่ยว่า “หากผู้ต่ำต้อยจำไม่ผิด ใต้เท้าถังในปีนั้นมีชื่อติดในประกาศการสอบเตี้ยนซื่อด้วยคะแนนสูงสุดของระดับสอง วรรคแรกที่ธรรมดาสามัญเกินไปไยมิใช่เป็นการปรามาสใต้เท้าแล้ว ผู้ต่ำต้อยมีกลอนคู่อยู่วรรคหนึ่ง ขอใต้เท้าโปรดชี้แนะ”

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เพียงรู้สึกได้รางๆ ครานี้ถังฟั่นยิ่งมั่นใจเต็มเปี่ยม อีกฝ่ายกำลังหาเรื่องตนอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เขาไม่รู้จักสวีปิน และไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ไฉนอีกฝ่ายจึงเอ่ยวาจาประชดประชันครั้งแล้วครั้งเล่า

ถังฟั่นยิ้มชืดๆ “เชิญกล่าว”

สวีปินลอบยิ้มเย็น กระแอมคำหนึ่ง “เฒ่าผมขาวจูงวัวข้ามภูฉาง เจอหินลื่นหกล้มเข่าวัวแตก”

ในกลอนคู่นี้มีชื่อสมุนไพรแทรกอยู่หลายชนิด ไป๋โถว เชียนหนิว ฉางซาน หวาสือ หนิวซี***

เขาเข้าใจว่ากลอนวรรคนี้ยากมาก หารู้ไม่เพิ่งขาดคำไม่ถึงอึดใจ ถังฟั่นก็ต่อวรรคท้ายว่า “สาวผมทองเผาหญ้ากองสูตี้ ลืมป้องลมกลับไหม้เป็นเฉ่าอู”

มีชื่อสมุนไพรแทรกอยู่ห้าชนิดเช่นกัน หวงฝ่า จื้อเฉ่า สูตี้ ฝางเฟิง เฉ่าอู**** สอดคล้องอย่างไร้ที่ติ

สวีปินไม่ยอมแพ้ จึงเปลี่ยนวรรคแรกเป็น “เฒ่าผมขาวกุมง้าวใหญ่ควบม้าน้ำ รบโจรไม้ขโมยหญ้าหนึ่งร้อยศึก คว้าชัยกลับเมือง มิเสียชื่อแม่ทัพอาวุโส”

คำว่าแม่ทัพและอาวุโสเองเป็นอีกชื่อหนึ่งของสมุนไพรต้าหวงและกันเฉ่า คำอื่นๆ เช่น ต้าจี๋ ไห่หม่า มู่เจ๋ย เฉ่าโค่ว เสวียนฟู่***** ก็เป็นชื่อสมุนไพรเช่นกัน

ยามนั้นทุกคนล้วนได้กลิ่นดินปืนจางๆ อดกลั้นหายใจมิได้ หวั่นว่าถังฟั่นตอบไม่ได้จะหน้าแตกยับเยิน

เจ้าเมืองฟั่นปั้นหน้าบูดบึ้ง ผู้หนุนหลังของสวีปินคนนี้มิใช่ธรรมดา เขาเองไม่คิดจะล่วงเกิน ทว่าอีกฝ่ายกลับจะเล่นงานถังฟั่นให้ได้

ถังฟั่นยิ้มน้อยๆ “เจ้าสาวชุดแดง ปักปิ่นทอง ครอบมงกุฎเงิน สวยแจ่มเหนือโบตั๋นแลเสาเหย้า ชดช้อยออกเรือนงามราวเทพธิดาล่องเมฆา”

เจ้าเมืองฟั่นโพล่งอุทานดังลั่น “วิเศษ! วิเศษยิ่งนัก!”

คนอื่นๆ ตื่นจากภวังค์ พากันโห่ร้องชมเชย

กลอนคู่วรรคท้ายนี้นับว่าวิจิตรพิสดารแท้จริง อื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ช่วงสุดท้ายที่ว่าเทพธิดาล่องเมฆา นี่ต่างหากที่บรรเจิดเลิศล้ำ

อวิ๋นหมู่****** นำมาปรุงยาได้ ส่วนคำว่าเทพธิดาก็หมายถึงหญ้าเทียนเซียน ที่วิเศษก็คือสามารถใช้แทนบุคคล ขณะเดียวกันก็เสริมส่งคำว่าแม่ทัพอาวุโสของวรรคแรกให้เด่นชัดยิ่งขึ้น

ไม่รอให้สวีปินกล่าวคำ ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ตกลงกันว่าหนึ่งคนต่อหนึ่งกลอนคู่ คหบดีสวีกลับทำผิดกฎแล้ว ใช่สมควรปรับสุราหรือไม่”

เจ้าเมืองฟั่นรีบเสริม “ใช่ๆ ต้องปรับๆ”

สวีปินขัดใจยิ่งนัก ตอนแรกเขานึกว่าจะทำให้ถังฟั่นอับอายต่อหน้าธารกำนัล ข่มบารมีอีกฝ่ายสักหน่อย มิคาดเรื่องราวกลับผิดจากที่หวัง

เขายกจอกฝืนยิ้ม “น้อมรับความปราชัย สมควรปรับ”

แล้วยกดื่มสามจอกรวด

ยามนั้นเสิ่นซือโวยวายขึ้นมา “ทุกท่านมีวิชาความรู้เต็มท้อง นี่ไยมิใช่รังแกข้าซึ่งอ่อนด้อยตำราแล้ว ต่อกลอนคู่ออกจะแห้งแล้งเกินไป มิสู้ทายอักษรปริศนาดีกว่า”

ลู่หลิงซีสนับสนุน “เป็นความคิดที่ไม่เลว แต่อย่าเดิมพันสุราอีกเลย ให้คนหนึ่งตั้งปริศนา ผู้ตอบได้คนแรกถือว่าชนะ ใต้เท้าทุกท่านเห็นเป็นเช่นไร”

ถังฟั่นอมยิ้ม “น้อมปฏิบัติตาม”

เจ้าเมืองฟั่นก็รีบเสริม “ในที่นี้ใต้เท้าถังถือเป็นผู้มีเกียรติสูงสุด เช่นนั้นให้ใต้เท้าถังตั้งปริศนาก่อน”

ถังฟั่นกล่าว “เมื่อครู่นายอำเภอจี๋ใช้ ‘กระรอกหลังกิ่งใบชะเง้อผลหลี่และท้อละลานตา’ เป็นวรรคแรก ข้าก็ขอมักง่ายสักครา เอาคำว่ากระรอกหลังกิ่งใบ******* เป็นปริศนาแล้วกัน”

ฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิด จี๋หมิ่นยิ้มกล่าว “คำตอบก็ซ่อนอยู่ในปริศนานั่นเอง ผู้น้อยกล่าวถูกต้องหรือไม่”

พอเขากล่าวขึ้นมา ทุกคนค่อยแจ่มแจ้งแทงตลอด หากตัดส่วนประกอบด้านหลังของคำว่าจือ (枝) ก็เหลือแค่มู่ (木 ) ส่วนคำว่าสู่ (鼠) เมื่อเทียบแผนภูมิปฐพีจะตรงกับยามจื่อ (子) เมื่อนำมารวมกันก็คือคำว่าหลี่ (李) ซึ่งเป็นคำที่อยู่ในวรรคแรกของกลอนคู่ที่ว่า ‘ผลหลี่และท้อละลานตา’

ถังฟั่นยิ้มกว้าง “พี่จื่อหมิงเฉียบแหลมยิ่ง!”

จี๋หมิ่นตอบ “ใต้เท้าชมเชยเกินไปแล้ว”

อันที่จริงลู่หลิงซีก็คิดคำตอบได้แล้วเช่นกัน เพียงช้าไปก้าวหนึ่ง เห็นถังฟั่นกับจี๋หมิ่นสบตาแย้มยิ้ม คล้ายเอิบอาบด้วยไมตรีอันเปี่ยมล้น ก็ให้รู้สึกขัดอารมณ์ขึ้นมา

 

* เถาจูกงหรือฟั่นหลี่ เป็นนักปกครอง นักการทหาร นักเศรษฐศาสตร์ และนักปรัชญาเต๋า ชาวแคว้นฉู่ มีชีวิตในยุคชุนชิว เถาจูกงประกอบการค้าจนร่ำรวย และบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดก่อนเร้นกายจากทางโลก

** เสิ่นวั่นซัน เป็นพ่อค้าที่ประกอบกิจการจนร่ำรวยถึงระดับอัครมหาเศรษฐี มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์หยวน

*** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ ไป๋โถว (ผมขาว) เชียนหนิว (จูงวัว) ฉางซาน (ภูฉาง) หวาสือ (หินลื่น) หนิวซี (เข่าวัว)

**** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ หวงฝ่า (ผมทอง) จื้อเฉ่า (เผาหญ้า) สูตี้ (ชื่อสมุนไพรจีน) ฝางเฟิง (ป้องลม) เฉ่าอู (ชื่อสมุนไพรจีน)

***** ชื่อสมุนไพรแต่ละชนิดมีความหมายตรงกับกลอนคู่ดังนี้ ต้าจี๋ (ง้าวใหญ่) ไห่หม่า (ม้าน้ำ) มู่เจ๋ย (โจรไม้) เฉ่าโค่ว (ขโมยหญ้า) เสวียนฟู่ (คว้าชัย)

****** อวิ๋นหมู่ เป็นแร่ชนิดหนึ่ง ใช้ทำเป็นยา เมื่อแปลตรงตามอักษรจีนจะมีความหมายว่าล่องเมฆา

******* กระรอกหลังกิ่งใบ ภาษาจีนเขียนว่าจือโห่วซงสู่ (枝后松鼠) หากแยกความหมายทีละคำ คำว่าจือ (枝) แปลว่ากิ่งไม้ โห่ว (后) แปลว่าหลังจาก และซงสู่ (松鼠) แปลว่ากระรอก

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com