ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย

แต่ถ้าลงชื่อแล้วรัชทายาทมิได้ถูกปลด เช่นนั้นเขาก็จะโดนเข้าใจว่าแอบอิงกับกลุ่มอำนาจวั่น หากภายภาคหน้ารัชทายาทครองบัลลังก์แล้วจัดเขาอยู่ในรายชื่อผู้ที่ต้องกำจัดทิ้งจะทำอย่างไร

ทว่าขณะหลิวจี๋อยู่ในห้วงยากตัดสินใจ พลันปรากฏเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอก

ทุกคนอดเงยหน้ามองไปมิได้ อึดใจถัดมาประตูห้องประชุมเปิดกว้าง กลุ่มองครักษ์เสื้อแพรซึ่งนำขบวนโดยวั่นทงเดินเข้ามาจากด้านนอก แต่งเครื่องแบบเต็มยศ ท่าทางน่าเกรงขาม

พวกเขามิได้ทักทายสมาชิกสภาขุนนาง กลับเดินอ้อมพวกวั่นอัน แยกย้ายประกบด้านหลังของสมาชิกสภาขุนนางแต่ละคน สายตาจับจ้องเขม็ง ไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว

หลิวจี๋จ้องมองวั่นทงด้วยสายตาขุ่นข้อง “ผู้บัญชาการวั่น นี่คิดจะทำอันใด”

จะก่อกบฏหรือไร!

วั่นทงฉีกยิ้ม ชุดกิเลนอันเป็นเครื่องแบบองครักษ์เสื้อแพรบนร่างมิได้เรียบตึงเฉกเช่นสุยโจว กลับบวมฉุอย่างเห็นได้ชัด

“รองราชเลขาธิการหลิวมิต้องตื่นเต้น ผู้น้อยรับคำสั่งนำส่งสาส์นฉบับหนึ่ง เชิญทุกท่านเปิดอ่าน”

หลิวจี๋ตะคอก “หอเหวินยวนเป็นสถานที่เฉพาะ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามล่วงล้ำ เจ้ารับคำสั่งจากผู้ใด”

วั่นทงตอบเสียงดังฟังชัด “ย่อมเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท”

วั่นอันรับสาส์นฉบับนั้น กวาดตาอ่านเร็วๆ แล้วส่งให้หลิวจี๋ “พวกท่านอ่านดูเถอะ”

หลิวจี๋เปิดดู พบว่าในนั้นคือบันทึกการโคจรของดวงดาวในระยะนี้ของสำนักโหรหลวง

จากบันทึก ในเดือนนี้มีดาวหางปรากฏให้เห็นจำนวนมาก ทั้งเล็กใหญ่รวมกันเจ็ดแปดครั้ง แต่ที่ทั่วราชสำนักวิพากษ์ว่าดาวหางเข้าดาวเหนือนั้นเป็นแค่ไม่กี่ครั้งในจำนวนที่ว่า

ไยจักรพรรดิจู่ๆ จึงมอบสาส์นฉบับนี้ให้สภาขุนนางเวียนกันอ่าน

หลิวจี๋ลอบตระหนกในใจ จากที่เขาวิเคราะห์ความคิดของจักรพรรดิ นี่น่าจะหมายถึงจักรพรรดิทรงอยากปลดรัชทายาทเช่นกัน ทว่าไม่สะดวกกระทำอย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นหวังว่าสภาขุนนางจะถวายฎีกาก่อน พระองค์ค่อยผลักเรือตามน้ำออกมา

พูดให้ชัดก็คือให้สภาขุนนางช่วยพระองค์ตัดสินใจ แบ่งเบาความกดดัน

หลิวจี๋ส่งสาส์นฉบับนั้นให้คนถัดไป ตัวเขากลับยังนั่งเงียบอยู่ที่เดิม

วั่นอันกล่าว “ทุกคนยังมีงานในมือต้องทำ ข้าเองไม่อยากรบกวนเวลาของพวกท่าน รีบลงชื่อในฎีกาฉบับนี้ ข้าจะได้นำถวายต่อฝ่าบาท”

วั่นทงก็เอ่ยเป็นเชิงเร่งรัด “หลังพระกระยาหารกลางวัน ฝ่าบาททรงนัดหมายวั่นกุ้ยเฟยเสด็จไปชมดอกเบญจมาศที่อุทยานหนานย่วน หากหยวนเวิงยังล่าช้าเกรงว่าจะไม่ทัน”

คำนี้เป็นการตักเตือนหลิวจี๋ถึงความสัมพันธ์ของจักรพรรดิและวั่นกุ้ยเฟย

ขณะจักรพรรดิทรงให้วั่นทงนำสาส์นนี้มาส่งไม่แน่ว่าจะมีรับสั่งให้เขานำคนกลุ่มใหญ่มาด้วย แต่บัดนี้องครักษ์เสื้อแพรมองเขม็งเหล่าสมาชิกสภาขุนนางอยู่ในนี้ ทุกคนล้วนถูกจ้องจนนั่งไม่ติด ประหนึ่งมีหนามแหลมจ่อหลัง

ใต้ความกดดันระดับนี้ หลิวจี๋กัดฟันยกพู่กันตวัดชื่อตนเองลงไป

สีหน้าวั่นอันและวั่นทงค่อยผ่อนคลายลงบ้าง

ยามนี้เหลือเพียงสวีผู่ที่ยังมิได้ลงชื่อ

วั่นอันไม่เชื่อว่าสวีผู่จะหัวแข็งกว่าหลิวจี๋ “เชียนไจ เชิญ”

สวีผู่ทราบ วันนี้ตนเองนับว่าเดินเข้ากับดักที่พวกเขาวางไว้อย่างแนบเนียนแล้ว

เขาส่ายหน้า “ขออภัยหยวนเวิง ฎีกาฉบับนี้ข้าไม่อาจลงชื่อ”

วั่นอันปั้นหน้าบึ้ง “เพราะเหตุใด”

“เพราะตามกฎมณเฑียรบาลต้องแต่งตั้งทายาทในพระอัครมเหสี รวมทั้งแต่งตั้งตามลำดับอาวุโส! รัชทายาทไร้ซึ่งความผิด ไหนเลยสามารถปลดจากตำแหน่งเพราะวาจายุยงได้ นี่เหลวไหลสิ้นดี ผู้มีจิตคิดคดถือเป็นขุนนางกบฏ ล้วนต้องรับโทษประหาร!”

คล้อยหลังถ้อยคำอันกึกก้องทรงพลัง ถังฟั่นปรากฏตัวขึ้นหน้าประตูห้องประชุม ด้านหลังเขาย่อมเป็นหลิวเจี้ยน

แสงสะท้อนส่งให้โดยรอบของเงาร่างทั้งสองคล้ายอาบทอด้วยรัศมีอันนวลตาชั้นหนึ่ง

ทันทีที่เห็นทั้งสองปรากฏตัว วั่นอันและวั่นทงต่างพากันหน้าถอดสี

วั่นทงชิงพูดก่อนด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ถังเก๋อเหล่าช่างน่าเกรงขาม ใครคือผู้มีจิตคิดคด สาส์นฉบับนี้ฝ่าบาทมีรับสั่งด้วยพระองค์เองให้สมาชิกสภาขุนนางเวียนกันอ่าน ข้าเพียงนำมาส่งตามพระบัญชา เจ้าบังอาจกล่าวว่ามีจิตคิดคด! ไม่เห็นกระแสรับสั่งอยู่ในสายตา นี่ต่างหากจึงเป็นผู้มีจิตคิดคดโดยแท้! ผู้ใดอาจหาญประพฤติตนเป็นขุนนางกบฏ ดาบปักวสันต์ในมือข้าย่อมไม่ละเว้นมัน!”

พูดจบได้ยินเสียงเช้ง ดาบหลุดจากฝัก!

ประหนึ่งร้องรับผู้บังคับบัญชา องครักษ์เสื้อแพรที่เหลือพากันชักดาบประจำกาย ภายในห้องพลันเยียบเย็นขึ้นหลายส่วน กลิ่นอายสังหารแผ่ปกคลุม แม้ยามปกติเหล่าสมาชิกสภาขุนนางจะมีตำแหน่งสูงศักดิ์ มีอำนาจหน้าที่วางแผนนโยบายของแว่นแคว้น แต่กลับไม่เคยพบเห็นสภาวะเช่นนี้มาก่อน สีหน้าพลันปรวนแปรไม่แน่นอน หากกล่าวว่าหัวใจไม่ตูมตามนั่นคือเท็จ

หลิวจี๋ก็มิใช่ขุนนางหน้าใหม่ ที่เมื่อครู่เขาเลอะเลือนลงชื่อตนเองลงไป สาเหตุหลักก็คือถูกบรรยากาศกดดันชนิดนี้คุกคาม

ทว่านี่เป็นเพราะจิตใจเขาคลอนแคลนอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่ถูกบีบคั้นจากพลังภายนอกย่อมกระทำตามสัญชาตญาณ

เมื่อครู่ขณะสวีผู่ปฏิเสธการลงชื่อก็แบกความกดดันไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้งเขาไม่สันทัดการโต้แย้งผู้อื่น หากพวกถังฟั่นยังไม่มา สุดท้ายเขาอาจจำใจลงชื่อตนเองไปจริงๆ

ดังนั้นพริบตาที่เห็นพวกถังฟั่นปรากฏตัว สวีผู่ค่อยใจชื้นในที่สุด

เผชิญแรงคุกคามของวั่นทง ถังฟั่นแสดงออกถึงความนิ่งอันแข็งกร้าว “หอเหวินยวนคือสถานที่เฉพาะ ผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามล่วงล้ำโดยพลการ ผู้ฝ่าฝืนต้องรับโทษไม่มีละเว้น หรือผู้บัญชาการวั่นอ่านตัวหนังสือที่แขวนอยู่ด้านนอกไม่ออก”

วั่นทงแค่นหัวเราะ “แล้วจะเป็นไร! ข้ารุดมาตามพระบัญชา ผู้ใดสามารถยับยั้งข้า”

ถังฟั่นเอ่ยเสียงชืด “นับแต่รัชศกเจิ้งถ่งปีที่เจ็ด หอเหวินยวนกลายเป็นที่ทำการของสมาชิกสภาขุนนาง กระทั่งฝ่าบาทเสด็จมายังต้องส่งคนมาแจ้งล่วงหน้า เป็นผู้ใดหรือสิ่งใดให้มโนลวงแก่ท่าน ทำให้ท่านคิดว่าตนเองมีอภิสิทธิ์เหนือโอรสสวรรค์แล้ว”

วั่นทงกราดเกรี้ยว “ถังฟั่น อย่ามาทำอ้างเหตุผล ข้ามาที่นี่ย่อมต้องผ่านความเห็นชอบของฝ่าบาทแล้ว”

ถังฟั่นเอ่ยเสียงกร้าว “ท่านได้รับความเห็นชอบจากฝ่าบาท หรือผู้ใต้บัญชาเหล่านี้ของท่านก็ผ่านความเห็นชอบจากฝ่าบาทเช่นกัน! หรือแม้แต่กฎเกณฑ์ข้อนี้ท่านยังไม่เข้าใจ ยังไม่รีบสั่งคนเหล่านี้ออกไป!”

นับแต่พี่สาวขึ้นเป็นกุ้ยเฟย เคยมีครั้งใดที่วั่นทงถูกคนสอนสั่งต่อหน้าเช่นนี้

เขาผงะวูบ สีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง มือกำด้ามดาบแน่นราวกับใคร่จะยกขึ้นมาฟันใส่ถังฟั่นสักครา

แต่หากดาบนี้ฟันลงไป ถังฟั่นตายไม่ตายยังยากตอบ ทว่าวั่นทงบังอาจลงมือต่อมหาเสนาบดีในหอเหวินยวน คะเนว่าพี่สาวเขาก็รักษาชีวิตเขาไม่อยู่

วั่นอันเห็นท่าไม่ดีจึงรีบปราม “ทุกคนค่อยพูดค่อย…”

ไม่ทันจบคำพลันถูกถังฟั่นทะลุกลางปล้อง ฝ่ายหลังเพ่งมององครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งซึ่งติดตามวั่นทงเข้ามา “สีปอ วันนี้เดิมทีเจ้ามิต้องเข้าเวร ไยมาอยู่ที่นี่ได้”

ถึงแม้อีกฝ่ายเป็นขุนนางบุ๋นซึ่งในมือปราศจากอาวุธโดยแท้ แต่ถูกกวาดมองด้วยแววตาคมกริบประดุจมีดดาบเช่นนี้ สีปอถึงกับถอยหลังหนึ่งก้าว จากนั้นค่อยเรียกคืนสติ กล่าวเสียงตกประหม่า “ผู้น้อย…ผู้น้อย…”

เขายังหาเหตุผลไม่เจอ ถังฟั่นก็มองไปยังอีกคนหนึ่งแล้วหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเรียกชื่ออีกฝ่าย “ซย่ารุ่ย”

ซย่ารุ่ยโพล่งตอบตามสัญชาตญาณ “วันนี้ผู้น้อยเข้าเวร”

ถังฟั่นยิ้มเย็น “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ได้เข้าเวร! เจ้าเป็นคนของกองปราบฝ่ายใต้กระมัง ผู้บังคับการกองปราบฝ่ายใต้เริ่มแทรกแซงหน้าที่รักษาการณ์ฝ่ายในตั้งแต่เมื่อไร”

ซย่ารุ่ยอับจนถ้อยคำ

ก่อนเข้าสภาขุนนาง ถังฟั่นเข้าออกกองปราบขององครักษ์เสื้อแพรบ่อยครั้ง ย่อมจดจำหน้าตาได้โดยส่วนใหญ่ จากนั้นขานชื่อออกมาอีกหลายคน สอบถามพวกเขาว่าเหตุใดจึงปรากฏตัวที่นี้

บารมีของสุยโจวในหน่วยองครักษ์เสื้อแพรสูงมาก หากไม่มีวั่นทงกดข่มอยู่ด้านบน เวลานี้เขาคงเป็นผู้บัญชาการโดยชอบธรรมแล้ว กระนั้นคนเหล่านี้ล้วนทราบว่าความสัมพันธ์ของถังฟั่นและสุยโจวมิใช่ตื้นเขิน เมื่อเห็นถังฟั่นคาดคั้นจึงหวนนึกถึงวิธีการของสุยโจวขึ้นมา ในใจอดพรั่นพรึงมิได้

วั่นทงขุ่นแค้นเจียนคลั่ง เขาต่างหากที่เป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร ไฉนวาจาของตนกลับยังไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่าวาจาจากปากถังฟั่น

เมื่อแลดูท่าทีขององครักษ์เสื้อแพรเหล่านี้อีกที ช่างน่าอับอายขายหน้าจริงๆ

ถูกถังฟั่นก่อกวนเช่นนี้ บรรยากาศอันเครียดเคร่งพลันมลายไปหลายส่วน วั่นทงย่อมไม่อาจปล่อยให้เขาพูดสืบไป

เขาย่างเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว อาศัยรูปร่างสูงใหญ่และพลานุภาพของดาบในมือ จ้องมองถังฟั่นพร้อมแค่นหัวเราะเยียบเย็น หมายหยิบยืมสิ่งเหล่านี้สร้างความครั่นคร้ามต่อฝ่ายตรงข้าม

“ถังเก๋อเหล่าวาจาพร่ำเพรื่อ นี่พวกเรากำลังถกเรื่องงาน มิใช่มาให้ท่านรำลึกความหลังกับองครักษ์เสื้อแพร ในเมื่อฝ่าบาททรงให้พวกท่านอ่านสาส์น ถังเก๋อเหล่าย่อมสมควรตระหนักในเจตนารมณ์ของฝ่าบาทแต่โดยดี”

จบคำก็ยื่นมือหมายคว้าหัวไหล่ถังฟั่น

วั่นทงกลับหามีเจตนาทำร้ายถังฟั่นไม่ เขามิใช่คนโง่ ทราบดีถึงผลลัพธ์หากตนลงมือต่อสมาชิกสภาขุนนาง ทว่าในเมื่อเรื่องราวดำเนินถึงขั้นนี้ จำต้องอาศัยจังหวะที่ฝ่ายตนเป็นต่อรีบจัดการเรื่องร่วมกันลงนามถวายฎีกาให้เสร็จสิ้น มิฉะนั้นสิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวันนี้ก็จะล้มเหลว

ท่าทีตอบโต้ของถังฟั่นก็ไม่ช้า ขณะอีกฝ่ายยื่นมือออกมาก็ถอยหลังก้าวหนึ่งพลางคว้าสาส์นซึ่งวางอยู่บนโต๊ะฉบับนั้นขึ้นมา

“วั่นทง ท่านกล้าไปยืนยันต่อเบื้องพระพักตร์พร้อมข้าหรือไม่ ฝ่าบาททรงให้ท่านนำสาส์นฉบับนี้มาส่งโดยมีองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มใหญ่ติดตามมาขู่เข็ญสมาชิกสภาขุนนางอย่างนั้นหรือ ข้าอยากดูทีว่าเป็นผู้ใดมอบความอาจหาญโอหังเช่นนี้กับท่าน”

ท่าทีเขากร้าวกระด้าง สีหน้าปราศจากรอยยิ้มที่เคยปรากฏเสมอ กลับเป็นสง่าราศีที่บันดาลให้ผู้คนขวัญสะท้านชนิดหนึ่ง

หลิวเจี้ยนก็แผดเสียงดังก้อง “มิผิด วั่นทง ต่อให้ฝ่าบาทให้ท่านนำสาส์นมาส่ง แต่ไม่มีทางให้ท่านนำคนจำนวนมากเข้ามาแน่ ยังไม่รีบถอยออกไป”

จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ช้า หลิวจี๋ฉวยจังหวะที่ทุกคนมิได้สนใจ ลุกขึ้นคว้าฎีกาที่วางอยู่เบื้องหน้าสวีผู่ฉบับนั้นก่อนฉีกดังแควกขาดเป็นสองส่วน!

พริบตานั้นสายตาทุกคู่ล้วนย้ายจากถังฟั่นมาทางหลิวจี๋ ตะลึงมองฎีกาที่ขาดเป็นสองส่วนในมือเขา

วั่นอันยิ่งโกรธจัด แม้แต่ฉายาของหลิวจี๋ก็โพล่งออกมาแล้ว “หลิวเหมียนฮวา เจ้าอยากตายรึ!”

หลิวจี๋ทำทีไม่รู้ไม่ชี้ “ที่ข้าฉีกมิใช่สาส์นของฝ่าบาทเสียหน่อย เป็นแค่ฎีกาฉบับหนึ่งเท่านั้น ไม่ระวังทำหลุดมือไป เกรงว่าหยวนเวิงต้องเขียนใหม่เสียแล้ว”

จบคำก็เอาฎีกาส่วนที่มีชื่อของตนเองยัดเข้าอกเสื้อ

วั่นอันตื่นตะลึงกับความไร้ยางอายของคนผู้นี้

ครู่ก่อนอีกฝ่ายยังเขียนชื่อตนเองลงไปแท้ๆ สุดท้ายถูกถังฟั่นป่วนปั่น เขาถึงกับตระบัดสัตย์แล้ว!

สำนึกเสียใจนั่นแล้วไปเถอะ ทว่าเป็นถึงขุนนางในสภาขุนนาง กลับมีหน้ากระทำเรื่องฉีกทำลายฎีกาต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้

ไม่เพียงวั่นอัน คนอื่นๆ ต่างจ้องมองหลิวจี๋เป็นตาเดียว ตกตะลึงจนตั้งตัวไม่ทัน

มิเสียแรงที่ถูกขนานนามว่าหลิวเหมียนฮวา คนที่สามารถสงบสุขไร้เรื่องราวทั้งที่ถูกบรรดาขุนนางทัดทานยื่นฟ้องหลายปีติดต่อกันย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญเด็ดขาด

ในด้านความหนาของหนังหน้า หากรองราชเลขาธิการหลิวจัดอยู่ในอันดับสอง ทั่วทั้งต้าหมิงเกรงว่าหามีผู้ใดกล้ายกตนขึ้นเป็นอันดับหนึ่งไม่

ฎีกาโดนฉีก วั่นอันตระหนักชัด สถานะเป็นต่อได้ผ่านพ้น

บุคคลเยี่ยงหลิวจี๋ ที่เมื่อครู่ตกหลุมพราง หนึ่งเพราะพวกวั่นอันลงมือก่อน สองเพราะองครักษ์เสื้อแพรสร้างความกดดันอยู่ด้านข้าง เรื่องราวทำนองนี้มีโอกาสเพียงหนึ่งครั้ง เมื่อใดเขาตั้งสติได้ย่อมไม่มีทางกระทำเป็นรอบสอง ยิ่งกว่านั้นหลิวจี๋ฉีกฎีกาขาด นี่คงตั้งใจจะเบี้ยวหนี้แน่นอนแล้ว

ส่วนสวีผู่ ในเมื่อถังฟั่นและหลิวเจี้ยนมาแล้ว เขายิ่งไม่มีทางยอมจำนน

สถานการณ์เป็นต่อที่กลุ่มอำนาจวั่นสร้างขึ้นอย่างยากลำบาก บัดนี้สูญสลายมลายสิ้น

วั่นอันรู้สึกท้อแท้ขึ้นมาฉับพลัน เขากระแทกนั่งบนเก้าอี้ ถึงขั้นไม่อยากเอ่ยวาจาใดๆ แล้ว

วั่นทงก็อยู่ในอารมณ์เดียวกัน เขากำด้ามดาบกระชับแน่น ใคร่จะกระโจนเข้าไปสับหลิวจี๋และถังฟั่นเป็นแปดท่อนสิบท่อน

แต่สติบอกเขาว่าไม่อาจกระทำเช่นนั้น เขาจึงข่มกลั้นอย่างยากเย็นเหลือเกิน กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกแล้วกระตุกอีก สุดท้ายได้แต่แค่นเสียงออกจมูกแรงๆ หมุนตัวผละจากไป

หัวหน้าขบวนจากจร คนที่เขาพามาย่อมถลันตามติด

“ช้าก่อน!” ถังฟั่นกล่าว “ผู้บัญชาการวั่นหลงลืมเรื่องใดหรือไม่”

วั่นทงที่เพลิงโทสะอัดแน่นเจียนระเบิด พอฟังคำนี้ก็หมุนตัวกลับมา เค้นเสียงคำราม “ข้าลืมอันใด”

นานปีที่ผ่านมา คนในราชสำนักล้วนเห็นพ้องต้องกันว่าตราบใดวั่นกุ้ยเฟยยังอยู่ กลุ่มอำนาจวั่นย่อมไม่มีวันล้ม ในฐานะศูนย์กลางของกลุ่มอำนาจวั่นและน้องชายร่วมอุทรของวั่นกุ้ยเฟย ไม่ว่าวั่นทงก่อความผิดมหันต์ปานใด ขอเพียงมิใช่ปรารถนาครอบครองแผ่นดินต้าหมิง วางอุบายก่อกบฏ จักรพรรดิล้วนไม่ทำอันใดต่อเขา ส่วนพวกที่เป็นปรปักษ์กับเขาโดยปกติมักไม่มีจุดจบที่ดี

ดังนั้นทุกคนเผชิญหน้ากลุ่มอำนาจวั่น ถ้าไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามก็ต้องหลีกลี้ให้ห่าง ไม่ตอแยได้จงอย่าตอแย เฉกเช่นในวันนี้ มาตรว่ากลุ่มอำนาจวั่นพลิกชนะเป็นแพ้ พลาดท่าในก้าวสุดท้าย แต่วั่นทงยังคงเป็นวั่นทงผู้หยิ่งผยองคนนั้น มิใช่ผู้ใดจะสามารถตอแยได้

สามารถน้อมส่งเทพโรคระบาดจากไป ทุกคนจึงเบิกบานยิ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าถังฟั่นยังเป็นฝ่ายไปตอแยเทพโรคระบาด

สวีผู่กังวลใจอยู่บ้าง อ้าปากหมายช่วยไกล่เกลี่ยแทนถังฟั่น เลี่ยงมิให้อีกฝ่ายล่วงเกินวั่นทงเกินควร แต่เมื่อเขาเห็นหลิวเจี้ยนก็มองวั่นทงด้วยสีหน้าโกรธขึ้งจึงได้แต่กลืนคำพูดในปากกลับลงไป ลอบหัวเราะขื่นคำหนึ่ง รู้สึกตนเองช่างรังแกง่ายดายเกินไป มิน่าวันนี้ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนล้วนถูกสกัดอยู่ด้านนอก มีเพียงตนที่อีกฝ่ายปล่อยให้เข้ามา หากเมื่อครู่ตนถูกบีบจนยอมลงชื่อ กลับไม่มีหนังหน้าหนาอย่างหลิวจี๋ไปสำนึกเสียใจ ถึงเวลานั้นคงเป็นตนเองขุดหลุมฝังตนเองจริงๆ แล้ว

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ เขาตระหนักว่าการกระทำของถังฟั่นจึงถือว่าถูกต้อง

เป็นถึงมหาเสนาบดีกลับถูกผู้อื่นย่ำยีถึงศีรษะ หากยังไม่กู้หน้ากลับคืน รังแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกอ่อนแอไร้สามารถ ยังจะเป็นผู้นำเหล่าขุนนางได้อย่างไร

ถังฟั่นชูสาส์นฉบับนั้น กล่าวเสียงเย็นชา “ล่วงล้ำหอเหวินยวนโดยพลการ ตามหลักสมควรรับโทษโบย หนำซ้ำยังนำขบวนองครักษ์เสื้อแพรบุกเข้ามา หากสภาขุนนางปล่อยให้ผู้ใดเข้าออกตามใจ กฎข้อบังคับที่จักรพรรดิหงอู่ทรงบัญญัติขึ้นจะมีไว้เพื่ออันใด กฎระเบียบแห่งราชสำนักจะมีไว้เพื่ออันใด”

วั่นทงจ้องหน้าถังฟั่นเขม็ง สองตาสาดประกายเข่นฆ่าร้อนแรง

พริบตานั้นทุกคนล้วนไม่สงสัยสักนิด หากเป็นไปได้คะเนว่าเขาคงสับถังฟั่นให้ตัวขาดไปแล้ว

หลิวเจี้ยนถึงกับสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว หมายใจว่าหากเกิดเหตุกะทันหันจะเข้าไปสกัดยับยั้ง

ทว่าวั่นทงยังคงมิได้ลงมือ เขาแม้รูปลักษณ์ไม่บรรเจิด ทั้งพึ่งพิงพี่สาวจึงมีฐานะตำแหน่งในวันนี้ แต่หาใช่เจ้างั่งที่ไร้สมอง

“เช่นนั้นเจ้าต้องการอย่างไร” เขาขุ่นแค้นจนแค่นหัวเราะ

ถังฟั่นเอ่ยชืดๆ “ไปยืนยันต่อเบื้องพระพักตร์พร้อมข้า หรือขอขมาขุนนางทุกท่านในที่นี้ ท่านเลือกเอง”

วั่นทงเน้นเสียงทีละคำ “ถังเก๋อเหล่า ท่านจะเป็นปฏิปักษ์กับข้าให้ได้ใช่หรือไม่”

ถังฟั่นสั่นหน้า “อยู่ดีๆ ไยข้าต้องเป็นปฏิปักษ์กับท่าน ดังคำ ‘อยู่ในตำแหน่งใด ยุ่งเกี่ยวกิจการนั้น’ ข้าล้วนกระทำเพื่อปกป้องเกียรติยศของราชสำนักและสภาขุนนางเท่านั้น หากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป ภายภาคหน้าทุกคนเอาเยี่ยงอย่าง ผู้บัญชาการวั่นสมควรมีโทษสถานใด”

วั่นทงหมดวาจาโต้แย้ง เพราะทุกคำของถังฟั่นแทงถูกจุดอ่อนของเขา

เรื่องนี้ตั้งแต่แรกก็เป็นแผนการที่กลุ่มอำนาจวั่นวางไว้อย่างดี เริ่มจากอาศัยปรากฏการณ์ดวงดาวมาสร้างสถานการณ์ ต่อมาให้จี้เสี่ยวและหลี่จือเสิ่งกราบทูลเป็นนัยให้จักรพรรดิปลดรัชทายาท จากนั้นวั่นทงค่อยเสนอความเห็นให้สภาขุนนางเป็นฝ่ายออกหน้าในเรื่องนี้ และเพื่อลดคำครหาที่เกิดจากการปลดรัชทายาท จักรพรรดิย่อมทรงรับปากแน่นอน เมื่อวั่นทงได้รับความเห็นชอบจากจักรพรรดิก็จะนำสาส์นฉบับนั้นมา ทว่าเพื่อกดดันให้สมาชิกสภาขุนนางที่มิใช่กลุ่มอำนาจวั่นยินยอมลงชื่อ เขาจึงนำองครักษ์เสื้อแพรมาด้วยกลุ่มหนึ่ง

และถังฟั่นก็จับจุดนี้ไม่ยอมปล่อย ถึงเวลานั้นต่อให้บานปลายถึงเบื้องพระพักตร์ก็เป็นวั่นทงที่ขาดทุน

ภายในห้องประชุมเงียบกริบ สายตาทุกคู่ล้วนหยุดอยู่ที่พวกเขาสองคน โดยเฉพาะวั่นทง

ฝ่ายหลังจ้องมองถังฟั่นด้วยดวงตาวาวโรจน์ราวกับจะขุดเจาะบนตัวเขากระนั้น จนใจที่ถังฟั่นกลับคล้ายไม่สะทกสะท้าน ในด้านบุคลิกราศียังเหนือกว่าทุกประการ นี่ชวนให้วั่นทงบังเกิดความรู้สึกหมดแรงเหมือนชกใส่ดอกฝ้ายก็มิปาน

สภาวะชะงักงันนานเนิ่น ในที่สุดวั่นทงได้แต่เปิดปาก “ผู้น้อยสำนึกผิด ทุกท่านโปรดอภัย”

ท่าทีสำนึกผิดของเขาไม่ต่างจากทวงหนี้สักกี่มากน้อย ทว่าสามารถบีบให้วั่นทงก้มศีรษะ นี่ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

พริบตานั้นทุกผู้คนล้วนมีความรู้สึกวิเศษชนิดหนึ่งเอ่อท้นขึ้นมา

มิใช่เพราะวั่นทง แต่เพราะถังฟั่น

พึงทราบว่าในสภาขุนนาง ยกตำแหน่งบัณฑิตหรือความสามารถของคนใดคนหนึ่งออกมาก็ล้วนสูงกว่าถังฟั่น แต่ช่วงเวลาอันคับขันนี้กลับพึ่งพาเขามาปกป้องศักดิ์ศรีของสภาขุนนาง

วั่นทงพูดจบก็ไป เพียงแต่ก่อนไปกลับจ้องถังฟั่นอย่างเคียดแค้นแวบหนึ่ง แววตาเปี่ยมด้วยความพยาบาท เพียงพอให้ผู้คนสะท้านทรวง

ครานี้ถังฟั่นมิได้ร้องเรียกเขาอีก ปล่อยให้องครักษ์เสื้อแพรทั้งหมดผละจากไป จากนั้นค่อยร่วมกับหลิวเจี้ยนกล่าวขออภัยต่อราชเลขาธิการเนื่องเพราะมาสาย

จิตใจของทุกคนล้วนหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเมื่อครู่ ไหนเลยมีใครใส่ใจว่าถังฟั่นและหลิวเจี้ยนมาสายหรือไม่

ความจริงวั่นอันสมควรเคืองแค้นหลิวเจี้ยนและถังฟั่นที่ทำลายแผนของกลุ่มอำนาจวั่น แต่บัดนี้กล่าวมากความยังมีความหมายอันใด โอกาสงามผันพลิกในพริบตา คลาดแล้วก็แล้วไป

การเปลี่ยนแปลงมโหฬารซึ่งเดิมทีสามารถปลุกปั่นคลื่นยักษ์จึงถูกขจัดปัดเป่าไปเช่นนี้เอง รอกระทั่งขุนนางคนอื่นๆ ล่วงรู้ว่าเช้าวันนี้สภาขุนนางเกิดเรื่องอันใดขึ้น คลื่นลมก็จางหายหมดแล้ว

คนโดยมากล้วนรู้สึกว่าเรื่องราวจะไม่จบลงเท่านี้ อดร้อนอกร้อนใจมิได้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ทั่วราชสำนักราวกับฝนกำลังตั้งเค้า

ทว่าถังเก๋อเหล่าที่อยู่กลางกระแสน้ำวน หลังกลับจากวังหลวงยังแวะเยี่ยมหลานชายที่บ้านพี่สาวอย่างปลอดโปร่ง ตรวจดูการบ้านของเขา ทั้งอยู่กินข้าวที่บ้านสกุลถัง จนกระทั่งสุยโจวที่เพิ่งเลิกงานรุดมาหาจึงค่อยล่ำลาถังอวี๋แม่ลูกและอาตงออกมา

เผชิญรอยยิ้มคลุมเครือของพี่สาวและอาตง ถังฟั่นปล่อยให้พวกนางยิ้มล้อด้วยความอ่อนใจ ถังอวี๋และอาตงยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ และไม่ทราบว่าตอนนี้เขาภายนอกผ่อนคลายภายในตึงเครียด หากล่วงรู้เข้าเกรงว่าคงไม่รู้สึกว่าสุยโจวเพียงแค่มารับถังฟั่นตามปกติเท่านั้น

ถังฟั่นไม่อยากให้ญาติพี่น้องเป็นกังวล เวลานี้เท่ากับเขาแตกหักกับกลุ่มอำนาจวั่นสิ้นเชิง เรื่องเมื่อเช้าแม้จะดูน่าเกรงขาม กระทั่งวั่นทงยังต้องก้มหัวให้เขา หากความจริงกลุ่มอำนาจวั่นเกลียดเขาเข้ากระดูก ย่อมไม่เลิกราเพียงเท่านี้แน่

สงครามครั้งถัดไปกำลังอยู่ในระหว่างหมักบ่มแล้ว

หลังวั่นทงออกจากสภาขุนนาง การประชุมสภาขุนนางก็มิอาจดำเนินต่อไป ถังฟั่น หลิวเจี้ยน และคนอื่นๆ จึงนำสาส์นฉบับนั้นเข้าวังเพื่อกล่าวโทษวั่นทงต่อเบื้องพระพักตร์

เพราะวั่นทงกระทำไม่เหมาะสมจริง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องปลดรัชทายาท ลำพังแค่นำขบวนองครักษ์เสื้อแพรบุกรุกหอเหวินยวนก็ตกเป็นเป้าโจมตีของผู้อื่นโดยง่ายแล้ว จักรพรรดิมิได้แก้ต่างแทนวั่นทง ตรงข้ามกลับหันมาปลอบสมาชิกสภาขุนนางหลายคนนั้น รวมทั้งตำหนิวั่นทงยกหนึ่ง เรื่องสาส์นฉบับนั้นก็เป็นอันจบไป

เกิดเรื่องราวเช่นนี้ สุยโจวย่อมมิได้อยู่ว่างเช่นกัน

องครักษ์เสื้อแพรในเวลานี้มิได้อยู่ในความควบคุมของเขาทั้งหมด มีกำลังคนจำนวนหนึ่งยังคงภักดีต่อวั่นทง เท่ากับตอนนี้สุยโจวและวั่นทงต่างมีอำนาจในองครักษ์เสื้อแพรคนละกึ่งหนึ่ง สุยโจวครองความได้เปรียบเล็กน้อย

แต่อย่างไรองครักษ์เสื้อแพรก็มิใช่สุยโจวผูกขาดแต่ผู้เดียว เพราะวั่นทงต่างหากคือผู้บัญชาการตัวจริง ดังนั้นเมื่อเช้าเขาถึงโยกย้ายกองกำลังเข้าวังได้

หลังจักรพรรดิทรงติติงวั่นทง สุยโจวถือโอกาสนี้จัดระเบียบภายในขององครักษ์เสื้อแพรยกหนึ่ง นี่ก็คือสาเหตุที่เขาปรากฏตัวต่อหน้าถังฟั่นด้วยสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านยังไม่ได้กินข้าวกระมัง” ถังฟั่นรับโคมไฟในมือเขาไป

“ข้าไม่หิว” สุยโจวสั่นศีรษะ

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ไม่หิวก็ต้องกิน ร้านเกี๊ยวน้ำตรงฝั่งเหนือไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว ไปเถอะ ข้าก็อยากกินสักชาม”

“เจ้ามิใช่เพิ่งกินอิ่มหรือ”

ถังฟั่นโดนอีกฝ่ายรู้ทัน กลับหน้าไม่แดงใจไม่สั่นเมื่อกล่าวว่า “ความจริงเมื่อครู่ยังกินไม่อิ่ม ข้ายังกินขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมได้อีก”

“…”

แผงขายเกี๊ยวน้ำตรงฝั่งเหนือร้านนั้นยังเปิดอยู่ แต่เพราะฟ้าเริ่มมืด ลูกค้าจึงบางตา ถังฟั่นไม่ได้มาที่นี่นานแล้วทว่าเจ้าของแผงยังคงจดจำเขาได้ กระวีกระวาดเข้ามาทักทายทั้งสองพลางถาม “ใต้เท้า สหายหน้าขาวไร้หนวดเคราของท่านคนนั้นคล้ายไม่ได้มานานแล้วเช่นกัน”

ถังฟั่นยิ้มกล่าว “ท่านยังจำเขาได้หรือ”

เจ้าของแผงยิ้มร่า “ย่อมจำได้แน่นอน คราวก่อนเขายังชกต่อยกับพวกสำนักบูรพาในร้านข้าน้อย ท่าทางน่าเกรงขามมาก อยากลืมก็คงยาก! สำนักบูรพาวางตัวเขื่องโขมาตลอด เขาต่อยตีคราวนั้นช่างสะใจผู้คนจริงๆ”

ถังฟั่นกล่าว “เวลานี้สำนักบูรพาเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่แล้ว พฤติการณ์สงบเสงี่ยมขึ้นมาก ไม่เขื่องโขแล้ว”

เจ้าของแผงฉงนใจ “เช่นนั้นหรือ มิน่าไม่เห็นคนของพวกเขานานแล้ว” เขาตบหน้าผากทีหนึ่ง “ดูข้าสิ พอพูดขึ้นมาก็พล่ามไม่หยุด สองท่านจะรับอะไรดี ข้าน้อยจะไปทำให้เดี๋ยวนี้”

ถังฟั่นกล่าว “เอาเกี๊ยวน้ำสองชาม ขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมหนึ่งชิ้น”

สุยโจวแย้งขึ้น “หนึ่งชาม”

“…เช่นนั้นหนึ่งชามครึ่ง”

“หนึ่งชาม”

เจ้าของแผงได้แต่มองพวกเขาสลับไปมา

สุดท้ายถังฟั่นสู้ไม่ได้ “หนึ่งชามก็หนึ่งชาม ตามใจเขา แต่ข้าเอาขนมเปี๊ยะสองชิ้น”

เพียงได้ยินเจ้าของแผงกล่าวกลั้วหัวเราะ “ต้องขออภัยจริงๆ ใต้เท้าถัง ขนมเปี๊ยะไส้ต้นหอมขายหมดแล้ว”

“…”

สุยโจวเห็นเขาทำท่าหมดอาลัยตายอยาก จึงผุดยิ้มในแววตาเมื่อตบมือถังฟั่นเบาๆ “อาหารค่ำไม่ควรกินมากเกินไป อีกเดี๋ยวข้าแบ่งเกี๊ยวในชามข้าให้เจ้าตัวหนึ่ง”

ถังเก๋อเหล่าสำแดงวิชาต่อรองราคาอย่างเต็มที่ “สองตัว”

สุยโจวไม่สนเขาแล้ว

เจ้าของแผงยกน้ำชามาให้สองถ้วย “ท่านทั้งสองดื่มชาก่อน เกี๊ยวลงหม้อแล้ว ไม่ช้าก็เสร็จ”

น้ำชาใช้ใบชาธรรมดาย่อมมิอาจเทียบกับที่พวกเขาดื่มในยามปกติ แต่สุยโจวกลับมิได้ใส่ใจ ยกขึ้นจิบคำหนึ่ง ขณะเขาวิ่งวุ่นอยู่ด้านนอก สภาพแวดล้อมที่เลวร้ายกว่านี้ก็เคยประสบมาแล้ว ยิ่งมิต้องพูดถึงน้ำชาชั้นต่ำถ้วยหนึ่ง

“ไหวเอินอาจต้องไปหนานจิงแล้ว” สุยโจวเอ่ยขึ้น

ถังฟั่นผงะวูบ มือที่ยื่นไปหยิบถ้วยชาพลอยชะงักค้าง “เกิดอะไรขึ้น”

“เขาทูลทัดทานฝ่าบาทว่าอย่าได้งมงายในคำพยากรณ์ ทั้งยังช่วยพูดแทนรัชทายาท ฝ่าบาทพิโรธก็เลยส่งเขาไปเป็นซือเซียงที่สุสานกษัตริย์”

ซือเซียงก็คือหนึ่งในตำแหน่งของการเฝ้าสุสานกษัตริย์ ทุกวันมีหน้าที่จุดธูปหน้าป้ายพระวิญญาณ

ขันทีสำนักตรวจฎีกาผู้ยิ่งใหญ่ถูกส่งไปเฝ้าสุสานที่หนานจิง ฐานะช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

สำคัญกว่านั้นคือทุกผู้คนล้วนทราบ ไหวเอินปกป้องรัชทายาทยิ่งชีพ ครั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อขุมกำลังของกลุ่มรัชทายาท

นอกจากไหวเอิน ยังมีผู้ใดกล้าแก้ต่างให้รัชทายาทอีก

ถังฟั่นมุ่นคิ้ว “แล้ววังจื๋อเล่า เขาไม่เป็นไรกระมัง”

สุยโจวสั่นหน้า “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก เจ้าต้องเพิ่มความระมัดระวัง”

ถังฟั่นผงกศีรษะ “เข้าใจแล้ว ท่านก็เช่นกัน”

ระหว่างสนทนา เกี๊ยวน้ำร้อนๆ ก็ถูกยกออกมา สีหน้าถังฟั่นจากเคร่งเครียดเปลี่ยนเป็นน้ำลายแทบไหลในพริบตา เขามองสุยโจวก้มหน้าตักน้ำแกงตาปริบๆ ประกายตาร้อนแรงจนผู้คนไม่อาจทนดู

สุยโจวจำต้องส่งช้อนที่บรรจุเกี๊ยวตัวหนึ่งส่งถึงริมฝีปากเขา

ใต้เท้าถังยังตั้งแง่ “ท่านวางไว้ เดี๋ยวข้ากินเอง”

สุยโจววกช้อนกลับมา ทำท่าจะส่งเข้าปากตนเอง

ครานี้ถังฟั่นไม่คำนึงแล้วว่ารอบข้างมีคนมองหรือไม่ คว้าข้อมืออีกฝ่ายแล้วหันช้อนมาทางตนเอง ในที่สุดเกี๊ยวที่ชุ่มน้ำตัวนั้นก็ถูกส่งเข้าปาก

ความหอมหวานของน้ำแกงในเกี๊ยวอบอวลไม่คลาย ใต้เท้าถังค่อยพึงอกพึงใจ ก่อนออดอ้อนสุยโจว “ขออีกตัวหนึ่งเถอะ”

ฝ่ายหลังคร้านจะใส่ใจจึงก้มหน้าเริ่มกิน

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com