ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 4 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย

จักรพรรดิไม่ได้ผ่อนคลายสบายอารมณ์เฉกเช่นถังฟั่น ในยามนี้พระอารมณ์กลับไม่ดีเอามากๆ

พระองค์เพิ่งหลับได้ตื่นหนึ่ง ซ้ำยังฝันร้าย

ภาพในความฝันติดตรึงยากลืมเลือน ส่งให้จักรพรรดิที่พระวรกายอ่อนแอไม่คำนึงถึงอากาศหนาวเย็น เสด็จออกจากตำหนักบรรทมซึ่งตกแต่งด้วยเตียงตั่งอันอุ่นสบาย เลียบบันไดศิลาหยกขาวลงมา ก้าวพระบาทไปบนทางเดินที่ทอดยาวอย่างไร้จุดหมาย

ตำหนักราชวังที่ตระหง่านง้ำในยามกลางวันล้วนแปรเปลี่ยนเป็นอสุรกายยักษ์สีดำที่สูงต่ำลดหลั่น อาศัยแสงสีราตรีคลี่คลุม ซุกซ่อนอยู่ในความมืดมิด

ราชวังที่ใหญ่โตมโหฬาร หากทุกมุมล้วนจุดเทียน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าค่าใช้จ่ายจะมหาศาลปานใด เพื่อเป็นการประหยัด ชาววังทั้งหลายจำต้องลดจำนวนเทียนไข มองไปลิบๆ เห็นแสงไฟประปรายตามตำหนัก ส่งให้บรรยากาศทวีความลี้ลับน่ากลัว

ไหวเอินไม่อยู่ ไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นหน้าตักเตือน ขันทีหลายคนได้แต่ติดตามจักรพรรดิทรงดำเนินเปะปะไปทั่ว คนที่สายตาแหลมคมรีบบ่ายหน้าไปรายงานวั่นกุ้ยเฟย

พฤติการณ์ของจักรพรรดิผิดวิสัยมาก ทว่าตั้งแต่เขางมงายในศาสตร์แห่งเทพเซียนเป็นต้นมา อาการผิดปกติเช่นนี้กลับมิใช่ครั้งแรก

“ฝ่าบาท…” เห็นพระองค์ยิ่งทรงดำเนินยิ่งไกล ขันทีอดเปิดปากทักท้วงด้วยความขลาดกลัวมิได้ กลับถูกจักรพรรดิหันมาอุดคำพูดไว้

แววพระเนตรของอีกฝ่ายดุดันยิ่ง ไม่คล้ายคนที่กำลังตกอยู่ในอาการประชวรสักนิด

“เงียบ!” จักรพรรดิเอ็ด “เราเหมือนได้ยินมีใครร้องเรียกเรา…”

ไหนเลยจะมีใครกล้าขานพระนามของจักรพรรดิ และไหนเลยจะมีใครร้องเรียกจักรพรรดิกลางดึกกลางดื่นเช่นนี้

ขันทีตกใจสะดุ้ง ไม่กล้าส่งเสียงอีก

กลับเห็นจักรพรรดิเลาะเลี้ยวซ้ายขวา ไม่ทราบเดินไกลเท่าใดแล้ว ขันทีพลันได้ยินเหมือนเสียงคนกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงหัวเลี้ยวข้างหน้า

เขาผ่อนฝีเท้าเบาลง กลั้นลมหายใจ รอกระทั่งได้ยินเนื้อหาของบทสนทนานั้นชัดเจนก็พลันอดหน้าเปลี่ยนสีมิได้

วังหลวงยามรัตติกาลเงียบสงัด อย่าว่าแต่เสียงแมลงเสียงนกกา กระทั่งเสียงฝีเท้าที่แว่วมาลิบๆ ก็น่าจะทำให้ผู้คนได้ยินมาแต่ไกลเพราะเสียงสะท้อนอันก้องกังวาน

ทว่าค่ำคืนนี้หิมะตก เหนือพสุธาทับถมด้วยหิมะขาวชั้นหนึ่ง แสงเทียนริบหรี่อาศัยเงาสะท้อนของพื้นหิมะสามารถส่องสว่างโดยรอบเป็นบริเวณที่ไม่เล็กผืนหนึ่ง รองเท้าผ้าไหมสีดำย่ำเหยียบลงไปไร้ซึ่งสรรพเสียง ลมหนาวโชยเอาเสียงพูดคุยข้างหน้าเข้าสู่พระกรรณของจักรพรรดิเป็นระลอก

“รัชทายาทดวงแข็งเหลือเกิน ได้ยินว่าตอนประสูติเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ สุดท้ายยังรอดมาได้…”

“นี่นับเป็นอันใด เจ้าไม่รู้ ปีที่เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาท พระมารดาก็สิ้น…”

“พระมารดา?”

“ก็คือจี้เฟย”

“หา! ดวงพิฆาตกระทั่งพระมารดา…หรือครานี้ฝ่าบาทจะทรงปลดรัชทายาทจริงๆ?”

“ตอนนี้ก็พูดกันมิใช่หรือว่าที่ดวงดาวเคลื่อนอย่างวิปริตหลายครั้งนั้น ความจริงล้วนเกี่ยวข้องกับรัชทายาท”

“ชู่…”

“กลัวอันใด เวลานี้ข้างนอกลือกันทั่ว มิใช่พวกเราพูดก่อน ใครๆ ก็พูดเช่นนี้กันทั้งนั้น เจ้าคิดดู ทุกวันนี้ฝ่าบาทพระวรกายอ่อนแอจะเกี่ยวกับรัชทายาทหรือไม่ เพราะดวงแข็ง พิฆาตพระมารดาแล้วยังจะ…”

สดับถึงตรงนี้ ขันทีที่ติดตามด้านหลังจักรพรรดิพลันหน้าแปรสี ทำท่าจะเข้าไปยับยั้งพวกเขามิให้กล่าววาจาสามหาวอีก

แต่เขาเพิ่งถลันออกไปไม่กี่ก้าว ท่อนแขนก็ถูกรั้ง

ขันทีเหลียวหน้ามอง พบว่าจักรพรรดิทรงฉุดเขาไว้

ไม่แค่เท่านั้น พระองค์ยังใช้สายพระเนตรดุดันยับยั้งเขาไม่ให้เปล่งเสียง

ขันทีตื่นผวา ไม่รู้ว่าจักรพรรดิทรงครุ่นคิดอันใด แต่เขาตระหนักดีว่าบทสนทนาที่เขาได้ยินในคืนนี้เดิมไม่สมควรให้ตนเองได้ยิน มาตรว่าได้ยินแล้วก็ต้องลืมให้สิ้น

หากเป็นยามปกติ สองคนข้างหน้านั่นถูกจับได้ย่อมไม่พ้นโดนโบยจนตาย

ทว่าเวลานี้จักรพรรดิกลับมิได้รับสั่งอันใด เพียงยืนฟังอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ครู่หนึ่ง

จนกระทั่งสองคนนั้นเริ่มเปลี่ยนหัวข้อสนทนา พระองค์ค่อยหมุนกายสืบพระบาทกลับทางเดิม มิได้ไปสืบสาวเอาความสองคนนั้น

เขารีบตามติดด้านหลัง จังหวะก้าวของจักรพรรดิฉับไวเกินคาด แทบไม่เหมือนคนที่กำลังป่วยไข้

“ฝ่าบาท…” ขันทีอดส่งเสียงมิได้

แต่จักรพรรดิคล้ายไม่ได้ยิน ทรงสาวพระบาทเร็วขึ้นทุกที

กระทั่งเสด็จถึงเชิงบันไดของตำหนักเฉียนชิง พระองค์ค่อยหยุดลง

เหนือบันไดมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ ทอดมองพระองค์มาแต่ไกล

ขณะที่เห็นอีกฝ่าย สีพระพักตร์จักรพรรดิพลันผ่อนคลายลง ถึงขนาดเผยแววอ่อนโยนที่ไม่เคยปรากฏแม้กระทั่งในยามอยู่ต่อหน้าพระมารดาออกมา

พระองค์ทรงก้าวยาวๆ ขึ้นบันได ทำเอาขันทีด้านหลังตกใจถลันตามไปด้วยเกรงจักรพรรดิจะทรงเหยียบพลาดจนล้มกลิ้งลงมา หากก็ไม่กล้ายื่นมือประคอง

เคราะห์ดีที่เรื่องลักษณะนี้มิได้เกิดขึ้น คนที่รอรับพระองค์ยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก ยื่นสองมือมาทางจักรพรรดิ จับพระหัตถ์ของอีกฝ่ายไว้มั่น

“ไยฝ่าบาทออกมาเดินเล่นกลางดึก ทั้งยังไม่สวมฉลองพระองค์ให้มากหน่อย เกิดอาการทรุดหนักกว่าเดิมจะทำอย่างไร” คนผู้นั้นปั้นหน้าขรึม น้ำเสียงที่นางใช้กล่าวต่อจักรพรรดิติดกระด้างอยู่บ้าง แต่จักรพรรดิไม่ใส่พระทัย กลับแย้มพระสรวลเชิงอาวรณ์ออกมา

“พี่สาววั่น คืนนี้ท่านมานอนเป็นเพื่อนเราเถอะ ไม่มีท่าน กลางคืนเรานอนไม่หลับ” บุรุษวัยสี่สิบยังเจือน้ำเสียงออดอ้อน หากคำพูดเหล่านี้ออกจากพระโอษฐ์ผู้อื่นที่มิใช่จักรพรรดิจะยิ่งชวนให้ผู้คนขนลุกปานใด

ทว่าอีกฝ่ายเหมือนเคยชินกับวาจาเช่นนี้แล้วจึงมิได้มีท่าทีอ่อนลง ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ฝ่ายในมีสาวงามนับไม่ถ้วน ขอเพียงท่านยินดี ทุกค่ำคืนล้วนมีคนใหม่เคียงข้าง ไหนเลยยังต้องการยายแก่เยี่ยงหม่อมฉัน”

จักรพรรดิแย้มพระสรวล “พี่สาววั่นไม่แก่ ในใจเรา พี่สาววั่นไม่มีวันแก่ตลอดกาล”

ทั้งสองจูงมือกัน เดินคลอเคลียเข้าสู่ตำหนักบรรทมซึ่งอยู่หลังตำหนักเฉียนชิง

ขันทีแอบปาดเหงื่ออยู่ด้านหลังเงียบๆ เพ่งมองสตรีร่างสูงใหญ่ที่จูงพระหัตถ์จักรพรรดิ ในใจรู้สึกยำเกรงอย่างประหลาด

สตรีนางนี้ไม่นับว่าสะสวย ยามคลุกคลีกับจักรพรรดิไม่จำเป็นต้องออเซาะอย่างระมัดระวังเฉกเช่นสนมนางในคนอื่นๆ แต่ใคร่ยิ้มก็ยิ้ม ใคร่โกรธก็โกรธ ยามมีโทสะขึ้นมาถึงกับแผดด่าไม่ยั้ง ทั้งไม่ไว้หน้าจักรพรรดิแม้แต่น้อย

ทว่าจักรพรรดิกลับชมชอบนาง แม้จะประสูติพระโอรสพระธิดาติดต่อกันหลายองค์ ฝ่ายในยังคงไม่มีผู้ใดสามารถช่วงชิงตำแหน่งของนางได้

เพราะสตรีนางนี้ยังแก่กว่าพระพันปีหนึ่งปี ส่งผลให้พระพันปีเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมให้นางขึ้นเป็นพระอัครมเหสีเด็ดขาด แต่นอกจากฐานะนี้แล้ว ทุกสิ่งในชีวิตนางล้วนล้ำเลิศกว่าพระอัครมเหสีองค์ปัจจุบัน ภายใต้การสนับสนุนของจักรพรรดิ ในวังนอกวังหามีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้

แม้ไม่สวยสะคราญอ่อนเยาว์ ทว่าในพระทัยจักรพรรดิแล้วนางยังคงครองความเป็นหนึ่งไม่มีสองตลอดกาล

คิดโยงไปถึงภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ที่จักรพรรดิทรงสดับฟังคำพูดเหลวไหลโดยไม่มีท่าทีใดๆ ขันทีพลันสะดุดกึกในใจ อดครุ่นคิดมิได้ว่าหรือครานี้รัชทายาทจะโดนปลดแน่แล้ว

คนโดยมากหาทราบไม่ว่าคืนนั้นในวังเกิดอันใดขึ้น ยิ่งไม่ทราบว่าจักรพรรดิทรงได้ยินอันใด และบังเกิดความคิดเช่นใด

รัชศกเฉิงฮว่าปีที่ยี่สิบสอง ปลายเดือนสิบสอง นี่เป็นเดือนและปีที่ถูกลิขิตให้ปราศจากความผาสุก

แต่ไม่ว่าสถานการณ์ภายในตึงเครียดภายนอกผ่อนคลายปานใด ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป

เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนรัชทายาท ไม่ต้องพูดถึงว่าสำหรับชาวบ้านไม่มีอันใดแตกต่าง ต่อให้เป็นขุนนาง อันที่จริงก็ไม่ส่งผลกระทบอันใดเช่นกัน

เผิงอี้ชุนเพิ่งได้เลื่อนเป็นเสนาบดีกรมอาญาไม่นาน ตามธรรมเนียมแล้วต่อให้เป็นคนเรียบง่ายไม่คิดจัดงานเลี้ยงเอิกเกริก ทว่าการเชิญสหายร่วมงานและผู้ใต้บัญชาในกรมมาร่วมกินข้าวสักมื้อยังคงต้องมี ทุกคนทำงานรับใช้เจ้านายด้วยความยากลำบาก ภายหน้ายังต้องคลุกคลีเช้าค่ำ ในฐานะผู้บังคับบัญชาย่อมไม่อาจไม่แสดงน้ำใจอันใดบ้าง

งานเลี้ยงจัดขึ้นที่โรงเตี๊ยมเซียนเค่อ เผิงอี้ชุนเชิญถังฟั่นด้วย นี่ไม่เพียงเป็นเพราะเวลานี้งานที่ถังฟั่นดูแลอยู่ในสภาขุนนางก็คือกรมอาญา ยิ่งเป็นเพราะหากไม่มีการเสนอแนะจากถังฟั่น เผิงอี้ชุนก็ไม่มีทางได้ตำแหน่งเสนาบดีนี้ แม้ว่าเขาจะมีประสบการณ์ในกรมอาญายาวนาน แต่ที่ผ่านมาเหนือศีรษะล้วนมีคนกดข่มอยู่ ก่อนนี้คือเหลียงเหวินหวา ต่อมาก็เป็นคนอื่น ถังฟั่นเดิมทีก็ควบตำแหน่งเสนาบดีกรมอาญา หากมิใช่เขาเป็นฝ่ายยอมรั้งตำแหน่งให้ จะอย่างไรตำแหน่งเสนาบดีนี้ก็เวียนมาไม่ถึงเผิงอี้ชุน

ด้วยเผิงอี้ชุนเป็นคนรู้คุณคน ในใจย่อมตื้นตันต่อถังฟั่นอย่างลึกซึ้ง ในการปฏิบัติงานประจำวันก็มิได้ทำอย่างขอไปทีเช่นอดีต แต่พยายามประสานไปกับจังหวะก้าวเดินของถังฟั่น

เบื้องบนทำเช่นไรเบื้องล่างทำเช่นนั้น ใต้เท้าเสนาบดีกับสภาขุนนางความสัมพันธ์กลมเกลียว ทุกคนไม่จำเป็นต้องเปลืองเวลาและความคิดไปกับการประจบสอพลอและงานเลี้ยงที่ไม่มีหยุดหย่อน ประสิทธิภาพการทำงานย่อมยกระดับสูงขึ้นเป็นธรรมดา

ในบรรดาการจับคู่รวมกลุ่มของสภาขุนนางกับหกกรม คู่ของถังฟั่นและเผิงอี้ชุนนับว่าผสมผสานกันได้อย่างรู้ใจที่สุดแล้ว

ในกรมอาญามีขุนนางชั้นผู้น้อยจำนวนมาก ทว่าที่ได้รับเชิญครานี้มีเพียงขุนนางขั้นหกขึ้นไป คนเหล่านี้นั่งเต็มสองโต๊ะก็เพียงพอแล้ว

เผิงอี้ชุนจองห้องส่วนตัวในโรงเตี๊ยมเซียนเค่อไว้ล่วงหน้า ซึ่งจัดวางได้สองโต๊ะพอดี

วันนี้หลังเลิกงาน ขุนนางกรมอาญาระดับล่างๆ ต่างทยอยกันรุดมาร่วมงานเลี้ยง

แต่ไรมาในแวดวงขุนนางมีธรรมเนียมซึ่งเป็นอันรู้กันอยู่ข้อหนึ่ง ยิ่งมีตำแหน่งสูงยิ่งมาสาย ดังนั้นรอจนพวกระดับผู้ช่วยนั่งประจำที่แล้ว รองเสนาบดีและเสนาบดีขุนนางชั้นสูงยังมาไม่ถึงเลย

ถังฟั่นมิได้เจตนามาสาย เพียงแต่ตอนนี้เขายังติดประชุมอยู่ในสภาขุนนาง

คนที่ถึงก่อนไม่มีอะไรทำจึงสนทนาดินฟ้าอากาศ คุยไปคุยมาก็ไม่รู้ว่าวนมาถึงตัวถังฟั่นได้อย่างไร

แม้จะเป็นสมาชิกที่อ่อนประสบการณ์ที่สุดของสภาขุนนาง หากถังฟั่นกลับเป็นที่อิจฉาและเลื่อมใสของคนจำนวนมาก

อย่าว่าแต่เข้าสภาขุนนาง ทอดสายตาดูขุนนางระดับสามขึ้นไป ไม่แน่จะมีใครที่หนุ่มแน่นเฉกเช่นเขา

ในงานเลี้ยงมีอยู่หลายคนที่เคยสมาคมกับถังฟั่นเมื่อครั้งที่ทำงานในกรมอาญา ใครก็คิดไม่ถึงว่าขุนนางจัดการขั้นห้าเล็กๆ คนนั้นจะก้าวหน้าพรวดพราดในเวลาไม่กี่ปี มองผู้อื่นแล้วมองตนเอง ให้บังเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนระคนน้อยใจขึ้นมาหลายส่วน

คิดถึงครานั้นขณะถังฟั่นล่วงเกินเหลียงเหวินหวา ทุกคนต่างคิดว่าอนาคตของเขาต้องดับวูบแน่แล้ว หรืออย่างดีก็ถูกย้ายไปเป็นเสมียนเล็กๆ ในเมืองอื่น หากไม่ประสบวาสนาและโอกาสอันดีคงยากกลับสู่เมืองหลวงอีกครั้ง ปรากฏว่าเพียงพริบตาคนผู้นั้นก็ไปอยู่สำนักตรวจการนครหลวง ต่อมายังกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของตน ครานี้ทุกคนอย่าว่าแต่ทำได้เพียงแหงนคอมองถังฟั่นเลย ในบรรดาพวกเขาส่วนใหญ่ ชั่วชีวิตนี้ยังไม่มีทางบรรลุถึงระดับนั้นอย่างถังฟั่นได้ด้วยซ้ำ

ถึงแม้ทุกคนล้วนกล่าวว่าการเป็นขุนนางนั้นลำบาก และการสั่งสมประสบการณ์ในสภาขุนนางยิ่งยากลำบากกว่า ทว่าหากเปลี่ยนกันได้ คะเนว่าตอนนี้ทุกคนต่างยินดีไปสั่งสมประสบการณ์ในสภาขุนนาง

“จวินชี่ เกี่ยวกับเรื่องการโคจรของดวงดาวหลายครั้งในระยะนี้ ถังเก๋อเหล่าได้เคยพูดอันใดกับท่านบ้างหรือไม่” เฮ่อเซวียนเพิ่งนั่งลงก็ได้ยินมีคนถามเขาเช่นนี้

ฐานะที่เป็นน้องชายของพี่เขยถังฟั่น เมื่อแรกเข้ากรมอาญาเฮ่อเซวียนจึงเป็นที่อิจฉาตาร้อนของผู้คนไม่น้อยจริงๆ ทว่านานวันเข้าทุกคนล้วนทราบเรื่องการหย่าของถังซื่อกับพี่ชายของเฮ่อเซวียน สายตาที่มองดูเขาพลันเปลี่ยนไป รู้สึกสกุลเฮ่อมีตาแต่ไร้แวว ไม่ดูแลสายสัมพันธ์นี้ให้ดี ถึงกับหย่าโดยสมัครใจกับถังซื่อ ลับหลังยังแอบเสียดสีว่าพี่สาวของถังฟั่นไม่ทราบเป็นสะใภ้ดุห้าวหรืออย่างไร ถึงทำให้พี่ชายของเฮ่อเซวียนยินดีละทิ้งอนาคตก็จะหย่ากับสตรีนางนี้ให้ได้

ต่อมาเส้นทางรับราชการของถังฟั่นระหกระเหิน เดี๋ยวรุ่งเดี๋ยวร่วง ทุกคนก็กลับรู้สึกว่าสกุลเฮ่อช่างมีสายตาแหลมคม ล่วงรู้ว่าอนาคตของถังฟั่นเต็มไปด้วยอุปสรรคจึงรีบชิงตัดสัมพันธ์แต่เนิ่นๆ เลี่ยงมิให้ถึงเวลานั้นก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย

มิคาด เพียงพริบตาถังฟั่นเข้าสภาขุนนาง ความเปลี่ยนแปลงที่ฉับไวทำให้ผู้คนตะลึงตาค้าง พากันตั้งตัวไม่ทัน

ยามนี้จึงมีบางคนคิดว่าความสัมพันธ์ของสกุลเฮ่อและสกุลถังเสมือนน้ำกับไฟ คิดฉวยโอกาสที่ถังฟั่นแวะเวียนมาที่กรมอาญาเป็นครั้งคราว หาทางขัดขาเฮ่อเซวียนต่อหน้าธารกำนัล หมายใช้วิธีนี้ประจบเอาใจถังเก๋อเหล่า แต่ถังฟั่นไม่เพียงไม่รับน้ำใจ กลับแสดงความสนิทสนมกับเฮ่อเซวียนท่ามกลางสายตาผู้คน ทั้งยังสอบถามเขาเกี่ยวกับงานของกรมอาญา ท่าทางไม่คล้ายสองตระกูลมีความแค้นเคืองกันสักนิด

ครานี้ทุกคนต่างมองไม่ออกแล้ว แต่พวกเขากลับกระจ่างในเหตุผลประการหนึ่ง อยู่ดีๆ อย่าเที่ยวเคาะก้นม้าเปะปะ เพราะท่านไม่ทราบว่าเมื่อใดจะเผลอเคาะโดนขาม้าเข้า และถังเก๋อเหล่าก็มิใช่บุคคลประเภทอาศัยงานส่วนรวมชำระแค้นส่วนตัว ยิ่งไม่นำความแค้นส่วนตัวมาเกี่ยวข้องกับงานหลวง ใครก็ตามที่คิดหยิบยืมเฮ่อเซวียนมาประจบหรือโจมตีถังฟั่นล้วนไม่มีทางบรรลุผลแน่นอน

ระยะนี้เกิดปรากฏการณ์บนท้องฟ้าติดต่อกัน ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนงัดข้อกับวั่นทงกลางที่ประชุมสภาขุนนาง เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันทั่ว โดยเฉพาะเรื่องหลิวจี๋ฉีกฎีการ่วมลงนามยิ่งกลายเป็นที่ขบขัน เรื่องใหญ่ระดับนี้ ต่อให้มิได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพวกเขา แต่การปลดหรือแต่งตั้งรัชทายาทเกี่ยวพันถึงกิจการบ้านเมือง สภาขุนนางยังวุ่นวายปานนี้ แม้แต่ไหวเอินก็กระเด็นไปอยู่หนานจิง ทว่าท่าทีของจักรพรรดิกลับคลุมเครือ ทุกคนแม้ไม่ปริปาก หากในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข หวังแต่ว่าจะล่วงรู้ข่าววงในได้เร็วขึ้น เลี่ยงมิให้วันที่ความเปลี่ยนแปลงมาเยือน ตนยังตกอยู่ในความพิศวงงงงวย

ดังนั้นพอสดับคำถามนี้ ทุกคนล้วนหันมองเฮ่อเซวียน

เฮ่อเซวียนกลับยิ้มส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่ได้เจอถังเก๋อเหล่ามาหลายวันแล้ว อีกอย่างเรื่องราวสำคัญใหญ่หลวง ต่อให้พบเจอ เขาจะบอกข้าได้อย่างไร”

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็รู้สึกว่ามีเหตุผล เรื่องทำนองนี้ไหนเลยป่าวประกาศไปทั่วได้ ทว่าท่าทีของถังฟั่นกลับชัดเจนยิ่ง พิจารณาจากเหตุการณ์ที่เขาปะทะกับวั่นทง ถังเก๋อเหล่ามีแนวโน้มอยู่ฝั่งรัชทายาทค่อนข้างมาก ส่วนหลิวเจี้ยนและสวีผู่ก็คงเฉกเช่นกัน

ทุกคนล้วนโตมากับการท่องอ่านตำราปรัชญาเมธี และรัชทายาทก็เป็นทายาทองค์โตโดยชอบธรรม สอดคล้องกับหลักการเป็นผู้สืบสันตติวงศ์ทุกประการ ถึงแม้กริ่งเกรงอำนาจของกลุ่มอำนาจวั่น คนโดยมากล้วนไม่กล้ากล่าวชัด หากในใจยังคงโอนเอียงมาทางรัชทายาทอย่างไร้ข้อกังขา

เมื่อเรื่องที่ถังฟั่นออกหน้าผดุงธรรม กดข่มอิทธิพลกลุ่มอำนาจวั่นขจรขจายออกไป พลันทำให้หลายคนตบโต๊ะอุทานชื่นชม เพราะถังฟั่นได้พูดในสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าพูด ทำในสิ่งที่พวกเขาไม่กล้าทำ มิต้องอื่นไกล เฉพาะความเด็ดขาดและอาจหาญนี้ก็เพียงพอจะสร้างความยอมรับนับถือแก่ผู้คนไม่น้อยแล้ว

ทว่าเฮ่อเซวียนเพิ่งพูดจบ ด้านข้างกลับมีคนแค่นเสียงเฮอะ “คนที่แสวงหาลาภยศสักการเยี่ยงถังฟั่นไม่มีทางกล้าวิพากษ์เรื่องการโคจรของดวงดาวเป็นแน่”

เป็นผู้ใดช่างไม่รู้จักกาลเทศะ รู้ทั้งรู้ว่าถังฟั่นจะรุดมา ยังกล่าววาจาไร้มารยาทเช่นนี้?

ทุกคนหันมองต้นเสียงก็แจ่มแจ้งในบัดดล

ที่แท้เป็นสวี่ปัง หัวหน้ากองพลาธิการเจ้อเจียง คนผู้นี้สวามิภักดิ์กลุ่มอำนาจวั่น ย่อมไม่ชอบหน้าถังฟั่นเป็นธรรมดา

คนอื่นๆ ไม่อยากตอแยเขา เฮ่อเซวียนกลับไม่อาจทนเฉยได้ เขาเชิดหน้ากล่าวว่า “อะไรคือแสวงหาลาภยศสักการ รบกวนหัวหน้าสวี่แถลงไข!”

สวี่ปังเหล่มองเขา “เรื่องที่เกิดขึ้นในสภาขุนนางวันนั้นแพร่สะพัดออกมานานแล้ว มีผู้ใดไม่ทราบ หากเขาถือมั่นคุณธรรมจริงไยไม่ลุกขึ้นพูดจาแทนรัชทายาทอย่างเปิดเผย กลับกัดไม่ปล่อยด้วยเรื่องคนนอกล่วงล้ำหอเหวินยวนโดยพลการ นี่มิใช่แสวงหาลาภยศสักการแล้วจะเป็นอันใด!”

ซึ่งความจริงนี่แสดงถึงปฏิภาณของถังฟั่น ภายใต้สภาวการณ์ในขณะนั้น วั่นทงมิได้เอ่ยถึงปัญหาเรื่องจะปลดหรือไม่ปลดรัชทายาทสักคำ หากถังฟั่นพาดพิงถึงรัชทายาทกลับจะก่อให้เกิดวิวาทะที่ไร้ความหมาย และกลายเป็นจุดอ่อนให้ผู้อื่นโจมตีโดยง่าย

สุดท้ายเมื่อหลุดจากปากสวี่ปัง ถังฟั่นกลับกลายเป็นชนชั้นต่ำช้าที่แสวงหาลาภยศสักการไปแล้ว

เฮ่อเซวียนหัวเราะเย็นชา “ในเมื่อหัวหน้าสวี่ถือมั่นคุณธรรมปานนี้ คราวหน้าหากมีผู้ใดประสงค์ร้ายต่อรัชทายาท ขอเชิญท่านออกหน้าผดุงธรรมก็แล้วกัน”

สวี่ปังไม่ยอมอ่อนข้อ “ฐานะที่เป็นขุนนางต้าหมิง สมควรจงรักภักดีต่อฝ่าบาทจึงถูกต้อง มาตรว่าเวลานี้รัชทายาทดำรงตำแหน่งทายาทผู้ครองบัลลังก์ หากก็ยังมีคำว่า ‘ทายาท’ นำหน้าอยู่”

เฮ่อเซวียนกล่าว “แล้วถังเก๋อเหล่ากล่าวเช่นนั้นมีอันใดไม่ถูกไม่ควร เขาโต้แย้งกับผู้บัญชาการวั่นล้วนเพื่อรักษากฎระเบียบแห่งราชสำนัก เคยโต้แย้งเพื่อรัชทายาทเมื่อไรกัน”

เขาเอาอย่างท่าทางของพี่ชายขณะยั่วโทสะท่านพ่อ เผยสีหน้าปรามาสแบบ ‘เจ้างั่งที่ไม่ควรค่าแก่การเสวนา’ ทำเอาสวี่ปังโมโหแทบกระอัก

ทว่าไม่ทันรอสวี่ปังคิดคำโต้ตอบออกมา ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกผลักเปิด เสนาบดีเผิงอี้ชุนและรองเสนาบดีหลายคนเดินห้อมล้อมถังฟั่นเข้ามา

ทุกคนทยอยลุกขึ้นคำนับ การปะทะคารมของเฮ่อเซวียนกับสวี่ปังจึงยุติลงโดยปริยาย

อันที่จริงสวี่ปังเพียงกล้านินทาลับหลัง ยามเผชิญหน้าถังฟั่น เขายังคงต้องทำความเคารพตามระเบียบเฉกเช่นคนอื่นๆ

พวกถังฟั่นล้วนไม่ทราบว่าก่อนตนเองมาถึง ในห้องส่วนตัวนี้เพิ่งเปิดแสดงละครฉากวิวาทะไปหมาดๆ ครั้นเห็นบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ยังเข้าใจว่าการมาถึงของพวกเขาทำให้ทุกคนรู้สึกเกร็ง จึงหยอกล้อว่า “วันนี้ใต้เท้าเผิงเป็นเจ้ามือ ทุกท่านอย่าได้เกรงใจ ใคร่กินดื่มสุราอาหารโอชะใดเชิญสั่งเต็มที่ ไม่อย่างนั้นพวกท่านอาจเสียใจภายหลังได้”

ทุกคนพอฟัง ต่างพากันหัวเราะให้เกียรติ

เผิงอี้ชุนก็ล้อว่า “ใต้เท้ากรุณาให้ข้าเหลือเงินติดก้นถุงสักนิด ไม่อย่างนั้นเดือนนี้ได้ดื่มลมพายัพ* แน่แล้ว”

ถังฟั่นหัวเราะร่า “กลัวอันใด ยามนี้ลมหนาวกำลังจากไป อย่างไรต้องให้ท่านดื่มลมวสันต์สักนิดถึงจะถูก”

 

* ดื่มลมพายัพ เป็นสำนวนอุปมาว่าอดอยากไม่มีอะไรกิน

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 7.1

บทที่ 7.1 วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุด ยามที่ซูโม่อี้ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะเที่ยงวันแล้ว ผลที่ตามมาของอาการเมาค้างก็คือปากแห้งและ...

community.jamsai.com