ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 3 #นิยายวาย

ผิวหน้าของใต้เท้าถังซ่านแดง

ทุกวันภาพเหตุการณ์เช่นนี้ล้วนปรากฏขึ้นนับรอบไม่ถ้วน และสุดท้ายก็จบลงที่ถังฟั่นปราชัยทุกคราไป

แต่นี่มิอาจโทษเขา ยานี้รสขมจริงๆ หากให้สุยโจวดื่ม คะเนว่าเขาก็ไม่เต็มใจเช่นกัน ทว่าคนเขาร่างกายแข็งแกร่ง วันนั้นก็โดนฝน แต่สุขภาพยังอยู่ดี ไม่มีอาการเจ็บป่วยแม้แต่น้อย

เปรียบเทียบกันแล้วขุนนางบุ๋นมีสภาพน่าอนาถไม่อาจทนดูอยู่บ้าง โดยเฉพาะสภาขุนนาง นอกจากถังฟั่น แทบทุกคนที่วัยเลยสี่สิบ ยกเว้นรองราชเลขาธิการหลิวจี๋และสวีผู่ซึ่งยังปักหลักอยู่ในห้องทำงานของสภาขุนนาง คนอื่นที่เหลือล้วนล้มหมอนนอนเสื่อเพราะฝนตกรอบนั้น แม้แต่ราชเลขาธิการวั่นก็ไม่เว้น ฟังว่าตอนนี้เขายังลุกจากเตียงไม่ได้ด้วยซ้ำ

อาการของถังฟั่นนับว่าไม่เลวแล้ว เขาเพียงลาป่วยหนึ่งวัน หากไม่มีอะไรผิดปกติ พรุ่งนี้ก็สามารถกลับไปทำงานได้

เพราะถ้ายังไม่กลับไป หลิวจี๋และสวีผู่คงทานไม่อยู่แล้ว เรื่องที่เดิมทีควรมีคนเจ็ดคนสะสาง บัดนี้ล้วนทับถมบนตัวของสองคน ตอนเที่ยงหลิวจี๋เพิ่งส่งคนมาสอบถามว่าบ่ายนี้ถังฟั่นสามารถเข้าสภาขุนนางช่วยแบ่งเบางานหรือไม่

หากเข้าสภาขุนนางแล้วไม่ต้องดื่มยา ถังฟั่นย่อมยินดีเป็นที่สุด แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นจริง คะเนว่าคืนนี้เตรียมตัวรับการทารุณได้เลย

ดื่มยาหมดในรวดเดียว ถังฟั่นรู้สึกขมไปทั้งปาก กระทั่งใบหน้าก็ย่นยู่เป็นดอกเบญจมาศเหี่ยว

“มีลูกอมหรือไม่” เขาถามสุยโจว

“เจ้าจะเอาลูกอมอะไร”

“…ลูกอมดอกกุ้ย ลูกอมแป้งสาลี อะไรก็ได้”

คำตอบของอีกฝ่ายคือรสจูบลึกล้ำที่กดประทับลงมาและรัดเอวเขาแน่นไม่ให้ถอยหนี จวบจนถังฟั่นใกล้หายใจไม่ออกค่อยคลายมือพลางกล่าว “ข้าเพิ่งกินลูกอมแป้งสาลีมา เช่นนี้พอได้กระมัง”

“…”

ถูกเขากล่าวเช่นนี้ ถังฟั่นพลันรู้สึกเหมือนในปากตนเองมีรสลูกอมแป้งสาลีเจือจางอยู่จริงๆ

แต่วิธีเช่นนี้…

ถังฟั่นหน้าแดงอีกคำรบ

สุยโจวชื่นชมท่าทีของถังฟั่นด้วยความเพลิดเพลิน

ผิวหน้าขาวผ่องแดงเปล่งปลั่ง ดวงตาเจือจางด้วยละอองหมอกเพราะความอัดอั้นเมื่อครู่ ท่าทางคล้ายกระดากอายกลายเป็นเคืองขุ่นแต่ไม่ทราบจะต่อต้านอย่างไร

ไม่ว่ากี่ครั้งกี่หน เขายังคงสุขชื่นรื่นรมย์ไม่รู้เหนื่อย

“คราวก่อนข้าเห็นนิยายประโลมโลกที่เจ้าแต่ง การพรรณนาในนั้นออกจะโจ่งแจ้ง ไยเจ้ากลับเหนียมอายง่ายดายปานนี้ หืม?”

เขาช้อนคางของอีกฝ่ายขึ้น ก้มศีรษะลงไป พูดจนเกือบชิดริมฝีปากของใต้เท้าถัง

ระเบียงทางเดินอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกเหมย ทั้งสองอิงแอบแนบชิด สุยโจวรั้งคนเข้ามาทั้งตัว สองฝ่ายประจันหน้า สองขาของถังฟั่นถ่างออกนั่งลงบนตัวเขา

ใต้แสงแดดแผดจ้า ทั้งอยู่ตรงข้ามลานตึก ท่านั่งเช่นนี้ออกจะ…

เพียงพอให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรนำไปวิพากษ์อย่างออกรส!

ใต้เท้าถังใคร่ขัดขืน ทว่าอย่าว่าแต่ยามนี้ยังป่วยอยู่ ต่อให้เป็นยามปกติก็ไม่มีทางดิ้นหลุดจากภูผาห้านิ้วของท่านป๋อสุยไปได้

“เช่นนี้อุ่นดี ข้าช่วยบังลมให้เจ้า” ท่านป๋อสุยกล่าวหน้าตาเฉย

ถังฟั่นอดรนทนไม่ไหว “ไยพอข้าลาหยุด ท่านก็แอบอู้งานไปด้วย”

สุยโจวชี้แจงด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ข้าก็ลาหยุดเช่นกัน”

ถังฟั่นเลิกคิ้ว “ไม่สบาย?”

สุยโจวตอบ “ไม่ ดูแลภรรยาที่ล้มป่วย”

“…”

ความละอายของท่านหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า!

ทั้งสองโต้คารมกันไปมา ได้ยินเสียงตบประตูดังขึ้น “ที่นี่ใช่จวนของถังเก๋อเหล่าหรือไม่ มีคนอยู่หรือไม่”

ถังฟั่นฉวยจังหวะนี้ดิ้นหลุดจากอ้อมกอดสุยโจว เดินไปเปิดประตู

ด้านนอกมีชายวัยกลางคนยืนอยู่ ท่าทางเหมือนบ่าวไพร่คนหนึ่ง เห็นถังฟั่นออกมาจึงรีบประสานมือคารวะ “ใต้เท้า ผู้น้อยเป็นคนของจวนหลิวเก๋อเหล่า”

ถังฟั่นจำเขาได้ อีกฝ่ายเป็นบ่าวรับใช้ของหลิวเจี้ยน

“นายท่านบ้านเจ้าหาข้ามีธุระอันใด”

“ขอรับ นายท่านรออยู่ที่ปากตรอก เรียนเชิญใต้เท้าไปสนทนา”

ถังฟั่นแปลกใจเล็กน้อย วันนี้หลิวเจี้ยนลาป่วยอยู่กับบ้านเช่นกัน ไฉนวิ่งออกมาแล้ว

เขาบอกสุยโจวสองสามคำแล้วตามอีกฝ่ายออกมา เห็นหลิวเจี้ยนในเสื้อคลุมหนายืนอยู่ตรงมุมกำแพง กำลังถูมือขยี้เท้าแก้หนาว ดูท่าทางกลับไม่เหมือนล้มป่วย

“พี่หลิวเจี้ยน?” ถังฟั่นเดินเข้าไปร้องทัก “ในเมื่อมาแล้ว มิสู้เข้าไปนั่งข้างใน”

“ไม่ต้อง” หลิวเจี้ยนฉุดถังฟั่นมาใกล้ กระซิบว่า “ถ้าตอนนี้เจ้าไม่เป็นไรมาก มิสู้เข้าวังไปเข้าเฝ้ารัชทายาทพร้อมข้าเที่ยวหนึ่ง”

ถังฟั่นเห็นเขาทำท่าลึกลับ อดถามมิได้ “รัชทายาทเป็นอะไรไป”

หลิวเจี้ยนตอบ “รัชทายาทประชวรหลังกลับมา เจ้ารู้กระมัง”

ถังฟั่นพยักหน้า เรื่องนี้เขาทราบดี เพราะฝนตกรอบนั้น หลายคนล้วนจับไข้ล้มป่วย รัชทายาทก็เป็นหนึ่งในนั้น

ขณะเดินทางกลับ แม้รัชทายาทจะมีราชรถให้ประทับ ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ต้องตากฝนตลอดทาง ทว่าระหว่างตัวตำหนักออกมาถึงราชรถมีบันไดหยกที่สูงลิ่วช่วงหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องเดินเท้าลงมา

ถึงแม้วังจื๋อปลดเสื้อคลุมลงมาคลุมพระเศียรให้รัชทายาท ทว่าพระเกศาและฉลองพระองค์ยังคงเปียกฝนอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลังกลับถึงวังจึงประชวรเพราะโดนพิษไอเย็นเฉกเช่นคนอื่นๆ

ทว่าตอนนั้นฝนตกไม่หนัก ดังนั้นพวกที่ขี่ม้าตากฝนตลอดทางเหมือนถังฟั่นอย่างมากก็ดื่มยาขมสองชาม บวกกับตอนนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนถอดเสื้อคลุมมาคลุมศีรษะ ถึงจะไม่สบายแต่อาการก็ไม่ร้ายแรง

และครั้งนี้ก็ไม่มีใครสามารถป้ายความผิดไปที่กลุ่มอำนาจวั่นได้

เพราะถึงกลุ่มอำนาจวั่นอยากปลดรัชทายาทปานใดก็มิอาจคาดการณ์ได้ว่าวันนั้นฝนจะตก หรือต่อให้พยากรณ์ได้ว่าวันนั้นมีฝนก็ใช่จะคาดคิดได้ว่ารัชทายาทต้องเปียกฝนจนประชวร หากกล่าวว่าพวกเขาใคร่ใช้วิธีนี้มากำจัดรัชทายาท เช่นนั้นก็ออกจะน่าขันเกินไป

รัชทายาทประชวรได้สองวันแล้ว เมื่อวานถังฟั่นสืบถามได้ความว่าอาการไม่สาหัสรุนแรง หมอหลวงเพียงให้บรรทมพักผ่อนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ฟังหลิวเจี้ยนกล่าว พลันสะดุดใจวูบ บังเกิดลางสังหรณ์ไม่สู้ดีขึ้นมา

“รัชทายาทคงมิใช่…”

หลิวเจี้ยนเห็นอีกฝ่ายเข้าใจผิด “ไม่ใช่ เพียงแต่ข้าได้ยินว่ารัชทายาทประชวรแล้ว อยากเข้าไปดูกับตาว่าพระองค์ไม่เป็นอะไรค่อยสบายใจได้ ดังนั้นวันนี้จึงตั้งใจขอลาหยุด ได้ยินว่าเจ้าก็อยู่บ้านจึงแวะมาชวนเจ้าก่อน”

ก่อนเข้าสภาขุนนางหลิวเจี้ยนเคยดำรงตำแหน่งขุนนางอรรถาธิบายของตำหนักบูรพาอยู่หลายปี ความผูกพันกับรัชทายาทมิใช่ตื้นเขิน ดังนั้นห่วงใยในสุขภาพของรัชทายาทมากกว่าคนอื่นก็มิใช่เรื่องแปลก

ถังฟั่นกล่าวว่า “ข้าย่อมยินดีไปเป็นเพื่อนท่านเที่ยวหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่สบาย หากเสียมารยาทต่อหน้ารัชทายาทหรือแพร่อาการป่วยใส่รัชทายาทกลับไม่ดีแล้ว”

หลิวเจี้ยนครุ่นคิดแล้วกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไปคนเดียวแล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราไปสภาขุนนางค่อยสนทนา”

เขานิสัยทำอะไรปุบปับ พูดจบก็เอ่ยลาต่อถังฟั่นแล้วผลุนผลันจากไป

เนื่องเพราะมารยาท ถังฟั่นจึงยืนส่งรถม้าของอีกฝ่ายจนลับตาไป ลมหนาวโชยมา ชายเสื้อพัดพลิ้ว ร่างสูงเพรียวสง่างามเหนือบรรยาย

เสียดาย…

ใต้เท้าถังยังไม่หายไข้ ดังนั้นเขาจึงสูดจมูกอย่างห้ามไม่อยู่ ได้แต่สูดเอาน้ำมูกที่กำลังย้อยลงมากลับเข้าไป

จากนั้นหมุนกาย

“…”

“…”

ถูกพบเข้าแล้ว! ความสุภาพอ่อนโยนของข้า ลาลับไม่หวนคืน!

เห็นสุยโจวที่ไม่รู้มายืนมองตนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด ใต้เท้าถังครวญครางในใจ พลันเกิดความพลุ่งพล่านใคร่หลั่งน้ำตา

สุยโจวกลั้นหัวเราะ “กลับไปกันเถอะ ข้างนอกหนาว”

ถังฟั่นไอเบาๆ “เมื่อครู่ตอนออกมาข้าไม่ได้พกผ้าเช็ดหน้า”

สุยโจวกล่าว “ดังนั้นเจ้ายิ่งสมควรกลับไปดื่มยา ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เสียมารยาทต่อหน้าสหายร่วมงานในสภาขุนนาง เช่นนั้นมิเสียหน้าแย่แล้วหรือ”

เขาไม่พูดยังพอทำเนา พอกล่าวถังฟั่นก็นึกภาพขึ้นมาทันที หากพรุ่งนี้เกิดการโต้เถียงด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับกลุ่มอำนาจวั่น ตนซึ่งเดิมทีคารมคมคายวาจาฉาดฉานจู่ๆ น้ำมูกไหลย้อยจนต้องสูดจมูกอย่างห้ามไม่อยู่…

ความสง่าทั้งมวลล้วนสูญสลายไปกับสายน้ำ!

“…”

พินิจสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวของอีกฝ่าย สุยโจวพิศวงอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดในใจ คำพูดของตนไม่น่ามีปัญหาอันใดนี่นา

ไม่ทันรอเขาขบคิดกระจ่างก็ได้ยินถังฟั่นกล่าวอย่างระกำใจ “พรุ่งนี้ข้าจะลาหยุดอีกหนึ่งวัน”

ความปรารถนาประการนี้ย่อมไม่มีทางเป็นจริงได้ หลิวจี๋กับสวีผู่ก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ในสภาขุนนางหนึ่งวันจวนเจียนเป็นบ้าแล้ว สุดท้ายกระทั่งอาหารค่ำยังต้องกินในสภาขุนนาง จวบจนดึกดื่นปลอดคนค่อยได้กลับ หากวันถัดไปถังฟั่นยังลาต่อ คะเนว่าพวกเขาคงส่งคนมาตามถึงประตูบ้านเป็นแน่

ถังฟั่นได้แต่ลากสังขารที่ยังไม่หายดีไปเข้างานที่สภาขุนนาง ในอกเสื้อสอดผ้าเช็ดหน้าใหม่เอี่ยมไว้สามผืน เผื่อใช้ในยามจำเป็น

คนอื่นๆ ล้วนมาแล้ว รวมทั้งราชเลขาธิการวั่นอัน

วันนี้ไม่มีประชุม ทุกคนไม่จำเป็นต้องเจอหน้า หลังจากลงชื่อรายงานตัวก็แยกย้ายกลับห้องทำงาน

ถังฟั่นนั่งห้องเดียวกับหลิวเจี้ยนจึงถือโอกาสสอบถามเรื่องเมื่อวาน “เป็นอย่างไร ท่านได้เข้าเฝ้าองค์รัชทายาทหรือไม่”

หลิวเจี้ยนขมวดคิ้ว ใคร่กล่าวแต่ยั้งไว้

“หรือรัชทายาทไม่ยอมให้ท่านเข้าเฝ้า?”

หลิวเจี้ยนตอบ “ไม่ใช่เช่นนั้น แต่รัชทายาทคล้ายประชวรไม่เบา ได้ยินว่าเดิมทีบรรทมบนเตียง ครั้นรู้ว่าข้ามาค่อยทรงลุกขึ้น”

ถังฟั่นตกใจ “อาการสาหัส?”

“ไม่ถึงกับสาหัส หมอหลวงอยู่ตรงนั้นพอดี บอกว่าพิษไอเย็นมิใช่เรื่องล้อเล่น ให้รัชทายาทพักผ่อนให้มาก อย่าได้นิ่งนอนใจ”

ถังฟั่นพยักหน้า “เป็นเช่นนั้นจริง”

ครานี้หลิวเจี้ยนค่อยระบายความไม่พอใจออกมา “แต่ข้าได้ยินว่าหลังจากรัชทายาทประชวร ฝ่าบาทไม่เคยเสด็จมาเยี่ยมเลย”

เมื่อใดที่นึกถึงสีหน้าหม่นหมองซึมเซาของรัชทายาท หลิวเจี้ยนก็อดเศร้าใจแทนอีกฝ่ายมิได้

ถังฟั่นพลอยถอนใจไปด้วย เรื่องทำนองนี้คนนอกยากจะตัดสิน พวกเขาเป็นข้าราชบริพารยิ่งมิอาจจาบจ้วงวิพากษ์วิจารณ์

มองจากมุมของคนนอก รัชทายาทอาจดูน่าเวทนามาก

แต่จักรพรรดิอาจทรงรู้สึกว่าพระองค์ได้มอบสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้รัชทายาทแล้ว…ก็คือตำแหน่งว่าที่จักรพรรดิ ดังนั้นรัชทายาทได้รับความน้อยใจบ้างจะเป็นไรไป ยิ่งไปกว่านั้นบุตรพึงเชื่อฟังบิดา ขุนนางพึงเชื่อฟังเจ้าแผ่นดิน พวกเขาทั้งเป็นเจ้าแผ่นดินกับขุนนาง ทั้งเป็นบิดากับบุตร ไหนเลยมีเหตุผลให้บุตรตัดพ้อบิดาเมื่อบิดาละเลยเย็นชาต่อบุตรเล่า

ดังนั้นนี่ถูกกำหนดให้เป็นบัญชีที่สะสางไม่ได้รายหนึ่ง อีนุงตุงนัง ซับซ้อนยุ่งเหยิง

แม้กระทั่งวั่นกุ้ยเฟยไม่แน่ก็อาจรู้สึกตนเองน่าเวทนามาก นางต่างหากที่เป็นสตรีที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญที่สุด ถึงเวลากลับไม่มีบุตรชายให้สืบทอดราชบัลลังก์ ปล่อยให้บุตรของนางข้าหลวงชุบมือเปิบ

หากหลังจากรัชทายาทขึ้นครองราชย์สามารถรักษาจิตดั้งเดิม ไม่ถูกบุญคุณความแค้นพัวพันจนหลงลืมหน้าที่บริหารบ้านเมือง เช่นนั้นก็นับว่าค่อนข้างปรีชาสามารถทีเดียว และไม่เสียแรงที่ขณะเขาตกอับ คนจำนวนมากได้หยิบยื่นความเกื้อกูล ถึงขนาดปกป้องด้วยชีวิต

หลิวเจี้ยนตระหนักในจุดนี้ ดังนั้นเพียงแอบตัดพ้อกับถังฟั่นแล้วโยนทิ้งไม่เอ่ยถึงอีก ทั้งคู่ไม่ได้มาหนึ่งวัน ทางกองอุทธรณ์ฎีกาและกรมทั้งหกมีการงานรอคอยพวกเขาเป็นพะเนิน ทั้งสองหมกมุ่นกับงานจนหน้ามืดตาลาย จวบจนพลบค่ำค่อยนับว่าจัดการไปได้ครึ่งหนึ่ง

“ภายหน้าต่อให้ข้าต้องตายในหน้าที่ก็ไม่ขอลาหยุดอีกแล้ว” หลิวเจี้ยนส่ายศีรษะไปมา พูดล้อเล่นว่า “ลาหยุดกลับมายังต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดยิ่งกว่าวันปกติเสียอีก”

ถังฟั่นอดขำพรืดมิได้ หากก็ต้องกำสรดเมื่อพบว่าน้ำมูกใกล้ยืดลงมาอยู่รอมร่อ รีบควักผ้าเช็ดหน้าอุดไว้ ทำให้เสียงเขาฟังดูอู้อี้ “พี่หลิวเจี้ยนอย่าพูดตลกให้ข้าหัวเราะอีกเลย…”

หลิวเจี้ยนเห็นสภาพทุลักทุเลของเขาเช่นกันจึงหัวเราะฮาๆ อย่างไม่เห็นใจสักนิด

ไม่ง่ายเลยกว่าจะจัดการงานเร่งด่วนเสร็จ ถังฟั่นรีบออกจากวังมุ่งหน้ากลับบ้านทันที

ก่อนร่างกายจะหายเป็นปกติ เขาเตรียมปฏิเสธงานเลี้ยงทุกชนิด ใครมาตามล้วนไม่ไป เลี่ยงมิให้ปรากฏเหตุการณ์ชวนอับอายต่อหน้าผู้อื่น

เพียงเสียดาย คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ระหว่างทางเขาถูกคนผู้หนึ่งสกัดไว้

คนที่หยุดยั้งถังฟั่นไว้คือโจวจิ่ง คนผู้นี้หาใช่ชนชั้นนิรนามอันใด

อีกฝ่ายคือพระสวามีขององค์หญิงฉงชิ่ง ทุกวันนี้รับผิดชอบดูแลสำนักการพระราชวงศ์ นับเป็นพระญาติสายนอกที่บารมีสูงสุด

องค์หญิงราชวงศ์หมิงคล้ายกับยุคก่อนราชวงศ์ซ่ง แทบไม่มีบทบาทอันใด ส่วนใหญ่มักออกเรือนอย่างเงียบเชียบ สามีภรรยาผิดพ้องหมองใจ สุดท้ายจากโลกไปอย่างทุกข์ระทม ทว่าองค์หญิงฉงชิ่งนี้กลับเป็นข้อยกเว้น เพราะนางเป็นพระธิดาของพระพันปีโจว เป็นพระขนิษฐาร่วมอุทรของโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เพียงศักดิ์นี้ก็เพียงพอให้ผู้คนมิอาจมองข้ามแล้ว

ชะตาชีวิตองค์หญิงท่านนี้นับว่าไม่เลว พระสวามีเป็นคนอุปนิสัยดี ใฝ่หาความรู้ไม่ด้อยไปกว่าผู้คงแก่เรียนทั่วไป สมัยยังหนุ่มเป็นคุณชายเจ้าสำอาง ค่อนข้างเป็นที่ต้องพระเนตรของจักรพรรดิองค์ก่อน ความสัมพันธ์ขององค์หญิงและราชบุตรเขยจัดว่าดีมาก แต่งงานมายี่สิบกว่าปีรักใคร่กลมเกลียว เป็นคู่สร้างคู่สมที่ทุกคนในหมู่ราชนิกุลล้วนอิจฉา

“ราชบุตรเขยโจวสบายดีหรือ ตั้งแต่พระราชพิธีขึ้นปีใหม่คราวก่อนดูท่านสดชื่นแจ่มใส คิดว่าชีวิตคงรื่นรมย์ดีกระมัง”

โจวจิ่งย่อมไม่เหมือนกับพระญาติสายนอกจอมโลภอย่างวั่นทง แม้แต่ถังฟั่นเห็นเขาก็ยังไม่กล้าเสียมารยาท รีบลงเกี้ยวมาทักทาย

ทว่าเขาแปลกใจมาก เพราะถึงทั้งสองรู้จักกันแต่กลับมิได้ไปมาหาสู่สักเท่าใด โจวจิ่งเป็นคนสำรวมกิริยาวาจา วันนี้จู่ๆ มาขวางคนกลางถนน ออกจะหลุดกรอบอยู่บ้าง

“สดชื่นแจ่มใสอันใดกัน” โจวจิ่งยิ้มหม่น ฉุดถังฟั่นมาทางหนึ่ง “ถังเก๋อเหล่า ข้ามาเพื่อขอความช่วยจากท่าน”

ถังฟั่นพอฟังยิ่งอัศจรรย์ใจ “ราชบุตรเขยโจวกล่าวหนักแล้ว”

โจวจิ่งถอนใจ “พวกเราผู้ผ่าเผยไม่กล่าววาจาอ้อมค้อม สถานการณ์คับขัน ข้าขอกล่าวตามสัตย์ ที่บ้านข้าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว”

“วังองค์หญิง?”

โจวจิ่งตอบ “ใช่ ข้าน่ะ…เฮ้อ เรื่องนี้ทำให้ข้ามีปากเสียงรุนแรงกับองค์หญิงมาสองวันแล้ว ได้ยินว่าถังเก๋อเหล่าวินิจฉัยคดีดุจเทพ จึงใคร่พาท่านไปช่วยตัดสินให้พวกเรา องค์หญิงจะได้ไม่เข้าใจข้าผิดอีก”

องค์หญิงฉงชิ่งแม้เป็นที่โปรดปราน ทว่านับแต่แต่งเข้าบ้านสกุลโจวก็ปฏิบัติต่อญาติฝ่ายสามีอย่างดี ไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ เป็นที่สรรเสริญของผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีปากเสียงรุนแรงกับสามี หากกล่าวว่าเวลานี้ทะเลาะกันถึงขั้นโจวจิ่งต้องวิ่งมาหาตน นี่ออกจะแปลกพิลึกจริงๆ

แม้ถังฟั่นจะชื่นชอบการสืบค้นข้อเท็จจริง แต่กลับไม่คิดแทรกสอดเรื่องระหว่างสามีภรรยาเด็ดขาด โบราณว่าขุนนางสุจริตยากตัดสินคดีครอบครัว รอเมื่อสามีภรรยาเลิกทะเลาะกลับมาหวานชื่น คนรับเคราะห์มิใช่ตนเองซึ่งเป็นคนกลางหรือ ดังนั้นพอฟังเขาจึงยิ้มแหย “เรื่องนี้ข้ากลับช่วยท่านไม่ได้ ท่านเชิญผู้ทรงภูมิท่านอื่นเถิด”

จบคำก็สลัดแขนเสื้อจากมือโจวจิ่ง หมุนกายเตรียมเผ่นหนี

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com