everY
ทดลองอ่านนิยายวาย Glass and Steel บทที่ 7 #นิยายวาย
บทที่ 7
ควันไฟ เสียงปะทุ และหยดเลือด
ระหว่างฤดูหนาวที่ยาวนานในปีนั้น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของเมืองจิ่นโจวเลวร้ายลงเรื่อยๆ ราคาอาหารในท้องตลาดพุ่งสูงลิ่ว ภาวะอดอยากทวีความรุนแรง แม้ว่าหลังกำแพงบ้านสกุลหลี่จะยังคงมีอาหารกินครบสามมื้อ แต่เฟยหมิงรู้ดีว่าภายนอกมีผู้คนมากมายกำลังจะอดตาย
อีกสิ่งที่น่าห่วงคือการเดินขบวนต่อต้านความอดอยากซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจของสกุลหลี่ เริ่มตั้งแต่โรงถลุงเหล็กที่เสิ่นหยางซึ่งบิดาเคยออกปากว่าจะยกให้เขา ค่าแรงคนงานสูงขึ้นจนผลกำไรลดฮวบฮาบ เจ้าสกุลหลี่จึงตัดสินใจว่าควรปิดกิจการเสีย ตอนนี้พวกที่ดินและเครื่องจักรอาจจะยังพอขายได้ไม่ขาดทุนมากนัก
ขณะที่โรงทอผ้าซึ่งเป็นกิจการหลัก แรงงานส่วนหนึ่งหายไป คนที่เหลืออยู่ก็เริ่มเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม แม้ทางโรงงานจะให้อัตราที่สูงกว่าแรงงานทั่วไปแล้วก็ตาม บิดาของเฟยหมิงปรารภว่าคงต้องย้ายฐานการผลิตไปที่โรงงานใหม่ที่บุตรชายคนโตคุมกิจการอยู่ ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายนี้บุตรชายคนรองจึงรับหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย
เย็นวันนี้เฟยหมิงก็ต้องตะลีตะลานขับรถไปโรงงานซึ่งอยู่อีกฟากของเมืองเพราะผู้จัดการส่งคนมาแจ้งว่าเกิดเหตุขัดข้องกับเครื่องจักรที่จะขนย้ายออกไปขึ้นเรือใหญ่ อาหลิวกระโดดขึ้นรถมาด้วย ตอนออกจากบ้านถนนก็โล่งไม่ติดขัด แต่พออีกเพียงไม่กี่กิโลเมตรจะถึงโรงงาน พวกเขากลับติดแหง็กอยู่กลางถนนเพราะมีขบวนประท้วงผ่านมา
“คุณชาย เลี้ยวกลับเถอะครับ ดูท่าจะมีเรื่อง”
อาหลิวบอกเสียงสั่น เด็กหนุ่มเกาะหน้าต่างกระจกมองผู้คนนอกรถที่ดาหน้ากันผ่านไปพร้อมกับชูมือและส่งเสียงตะโกน หลายคนที่ผ่านไปหันกลับมามองรถยุโรปคันหรูด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
เฟยหมิงเพิ่งนึกขึ้นมาได้ตอนที่เห็นทหารในเครื่องแบบยืนคุมอยู่หลังรั้วกั้นห่างออกไปสองร้อยถึงสามร้อยเมตร เลยจากตรงนี้ไปเป็นที่ตั้งของโกดังข้าวหลักของเมือง ชายหนุ่มนึกโกรธตัวเองที่ดันใจร้อนเลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดโดยลืมนึกถึงความเสี่ยง มาตอนนี้จะเลี้ยวรถกลับก็ไม่ได้ เพราะคนบนถนนแออัดกันจนรถของเขาไม่สามารถเคลื่อนที่ไปไหน ไม่ว่าจะขยับไปข้างหน้าหรือถอยหลัง
ผู้คนที่เดินผ่านไปเริ่มส่งเสียงตะโกน ได้ยินต้นเสียงร้องปลุกใจพร้อมกับด่าว่ารัฐบาลและกองทัพ
“นายทุนหน้าเลือด! ก๊กมินตั๋งเผด็จการ!”
“กักตุนข้าวไว้ทำไม พวกเราจะอดตายกันทั้งเมืองอยู่แล้ว!”
“เปิดโกดัง! เปิดโกดัง! เอาข้าวให้ชาวบ้าน!”
บรรยากาศยิ่งทวีความเคร่งเครียด มือเรียวที่กำพวงมาลัยชื้นเหงื่อ คนที่เดินผ่านบางคนเริ่มเอาไม้กระทุ้งด้านข้างตัวรถ ใบหน้าขาวขมวดคิ้ว หันไปบอกคนสนิท “ต้องลงเดินแล้วล่ะ อาหลิว อย่างน้อยหลบไปให้พ้นจากตรงนี้ก่อนน่าจะดี เกิดปะทะกัน เดี๋ยวเราจะโดนลูกหลง”
อีกฝ่ายกลืนน้ำลายแล้วพยักหน้าหงึก เฟยหมิงจึงดับเครื่องยนต์แล้วดึงกุญแจออก พวกเขาเปิดประตูลงมาจากรถ คนเป็นเจ้านายจับมือเล็กที่เย็นเฉียบของเด็กรับใช้ไว้แน่น
“ไม่เป็นไรน่า” เขายิ้มปลอบ แม้ว่าตัวเองก็หวั่นใจกับสถานการณ์ตรงหน้าอยู่เหมือนกัน
พวกเขาเดินย้อนสวนทางกับขบวนประท้วงไปทางท้ายถนน แต่ยังไม่ทันไปได้ถึงไหน เสียงเฮโลก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงปึงปังและเสียงกระจกแตก หัวขบวนคงเข้าปะทะกับทหารที่อยู่ตรงรั้วกั้นแล้ว คนที่เดินอยู่เปลี่ยนเป็นวิ่งดาหน้ากันเข้าไป ทหารเริ่มกระจายกำลังออกมาคุมอยู่ริมถนนไม่ให้ผู้ประท้วงที่กำลังบ้าคลั่งพุ่งเข้าไปทำลายร้านค้าและตึกรามบ้านช่องข้างทาง
เสียงต่างๆ เริ่มประดังประเด เสียงระเบิด เสียงอะไรบางอย่างแตกกระจาย เสียงของแข็งกระทบผิวเนื้อคน ควันไฟเริ่มลอยออกมาจากจุดต่างๆ จนทุกอย่างพร่ามัว ผู้คนเบียดเสียดกันอยู่บนถนนแคบ คุณชายรองสกุลหลี่นิ่วหน้าเมื่อถูกคนที่วิ่งสวนทางกระแทกเข้าที่ไหล่จนเซ
ร่างโปร่งกระชับมือคนสนิทไว้แน่น “อาหลิว ตามฉันมา อย่าปล่อยมือนะ!”
เขาหันไปบอกเด็กหนุ่ม แต่จังหวะที่หันกลับมา เสียงปืนก็ดังขึ้นจากจุดไหนสักแห่งไม่ไกลนัก กระตุ้นให้คลื่นมนุษย์ยิ่งสับสน จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นความอลหม่าน ผู้คนแตกกระจาย ทั้งผลักทั้งดันกันไปคนละทาง
สุดท้ายมือที่ชื้นเหงื่อก็เลื่อนหลุด
“อาหลิว!” เฟยหมิงพยายามคว้าแขนของเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่ร่างผอมกลับถูกเบียดเซถลา เขาได้ยินเสียงคนสนิทร้องเรียกชื่อตนดังลั่นก่อนที่จะลับหายเข้าไปในฝูงชน
“คุณชาย!”
ร่างโปร่งทำท่าจะฝ่าผู้คนเข้าไป แต่กลับถูกมือหนึ่งยึดต้นแขนเอาไว้ เขารีบหันกลับไปมองแล้วก็ต้องอุทาน “คุณ!”
คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ใส่เครื่องแบบ มีเพียงเสื้อเชิ้ตสีอ่อนกับกางเกงขายาว มองเผินๆ คล้ายกับชาวบ้านทั่วไปที่กำลังเดินชุมนุมกันอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียด นายทหารหนุ่มขมวดคิ้วสั่งสั้นๆ “ไปกับผม!”
เฟยหมิงส่ายหน้าเร็วๆ “ไม่ได้! ผมต้องไปตามอาหลิว”
“ไม่จำเป็น! รีบไปก่อน คนในขบวนประท้วงมีอาวุธ ทหารข้างหน้าจะส่งสัญญาณเริ่มยิงแล้ว”
อีกฝ่ายบอกแล้วพยายามลากแขนเขาออกมา แต่ร่างโปร่งขืนตัวไว้ พูดรัวเร็วด้วยสีหน้าจริงจัง “สำหรับคุณ การช่วยเด็กรับใช้คนหนึ่งอาจไม่จำเป็น แต่สำหรับผม ชีวิตเด็กคนนั้นมีค่าเกินกว่าจะทิ้งเขาไว้!”
คุณชายสกุลหลี่พยายามจะดึงแขนออกจากการยื้อยุด แต่มือเรียวยาวนั้นก็ยึดข้อมือเขาไว้แน่นราวกับคีมเหล็ก
“ปล่อย!”
ใบหน้าขาวกระชากเสียงใส่ อีกฝ่ายกำลังจะอ้าปากพูดอะไรสักอย่าง แต่ฉับพลันนั้นเสียงปืนก็รัวขึ้นก่อนจะเริ่มมีเสียงยิงตอบโต้ ลูกกระสุนปลิวไปในอากาศ ผู้คนเริ่มกรีดร้องและวิ่งหนีตาย เฟยหมิงหมุนตัวกลับเมื่อได้ยินเสียงปืนดังขึ้นใกล้ๆ แต่แล้วร่างโปร่งก็ถูกกระชากจนเซถลา พร้อมกับคนที่จับแขนเขาไว้หมุนตัวมาบัง กดศีรษะเขาแนบกับแผ่นอกของตน
ปัง!!
“อึก!” ร่างของนายทหารหนุ่มผงะแล้วทิ้งตัวมาด้านหน้า เฟยหมิงที่ก้มตัวอยู่รีบรับร่างนั้นไว้ก่อนจะล้มกระแทกพื้น เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดังลั่น
“เหวินอี้!”
.................................................................
เฟยหมิงก้มลงดูเลือดที่ซึมออกมาจากแผ่นหลัง แต่เจ้าของชื่อกลับกัดฟัน ยืดตัวขึ้นยืน เค้นเสียงบอกว่า “ไม่เป็นไร กระสุนน่าจะเข้าที่ไหล่ คุณรีบหลบไปก่อน”
“จะไปได้ยังไงเล่า!”
คุณชายรองสกุลหลี่ตอบกลับเสียงดัง เขาดูไม่ออกว่าอาการของอีกฝ่ายหนักหนาแค่ไหน มองเห็นแค่เลือดทะลักออกมากจนเสื้อเชิ้ตสีอ่อนเปียกชุ่มอย่างรวดเร็ว ร่างโปร่งคว้าแขนข้างที่ไม่ได้บาดเจ็บของคนตรงหน้ามาพาดไหล่ รีบวิ่งฝ่าฝูงชนออกไป อย่างน้อยก็ต้องหลบให้พ้นวิถีกระสุนก่อน
วิ่งห่างออกมาได้นิดหนึ่ง ดวงตากลมโตเหลือบเห็นลังไม้และตะกร้าที่วางสุมๆ กันอยู่ผิดที่ผิดทาง พอลองเข้าไปดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามีคนเอาลังไม้มาตั้งบังตรอกเล็กๆ ซึ่งกว้างแค่พอคนเดินสวนกันได้ น่าจะเป็นคนในตรอกที่เอามาตั้งบังสายตาผู้มาร่วมประท้วงไม่ให้สังเกตเห็นแล้วเดินเข้าไปภายใน มือเรียวข้างที่ว่างอยู่ดึงตะกร้าที่สุมอยู่ออก พอมีช่องว่างให้แทรกตัวเข้าไปได้ เขาจึงค่อยพยุงอีกฝ่ายเดินเข้าไป
ตรอกนี้ค่อนข้างเล็ก น่าจะเป็นช่องว่างระหว่างบ้านพักอาศัยที่คนด้านในใช้เป็นทางลัดจะได้ไม่ต้องเดินอ้อมผ่านถนนด้านหน้า เกือบตลอดทางเป็นกำแพงสูง มีประตูไม้อยู่สี่ห้าบาน ทุกบานปิดสนิท ค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับเสียงเอะอะภายนอก
เฟยหมิงพยุงคนเจ็บเดินไปเรื่อยๆ จนเห็นพื้นว่างที่ดูสะอาดพอใช้ จึงค่อยวางร่างของอีกฝ่ายให้นั่งพิงกำแพง เสียงปะทะกันยังดังแว่วมาจากด้านหน้าตรอก ร่างโปร่งชั่งใจอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะบอกเสียงสั่น
“คุณรออยู่ที่นี่ก่อนนะ ผมจะไปตามพวกทหารมาช่วย แล้วผมจะไปตามหาอาหลิว”
เขาว่าแล้วทำท่าจะลุกผละไป แต่คนที่นั่งอยู่กลับยึดข้อมือไว้ บอกเสียงปนหอบ
“ออกไปไม่ได้ คำสั่งที่ลงมาวันนี้...ถ้าสถานการณ์รุนแรงจนคุมไม่ได้ให้กราดยิงได้เลย” ใบหน้าคมกัดฟันแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ “ไม่ต้องห่วงเด็กคนนั้น ผมสั่งให้ทหารนอกเครื่องแบบไปช่วยตั้งแต่ก่อนจะเข้าไปหาคุณแล้ว”
คนฟังอึ้งไปชั่วอึดใจที่เมื่อครู่เข้าใจอีกฝ่ายผิด “แล้วคุณ...เป็นไงบ้าง” เขาทรุดนั่งคุกเข่า ลองสำรวจบาดแผล ใบหน้าขาวซีดเผือดลงเมื่อเห็นว่าหัวไหล่ด้านขวาของผู้กองหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
“เลือดไหลไม่หยุดเลย รออยู่ตรงนี้ไม่ได้หรอก กว่าข้างนอกจะสงบ คุณเสียเลือดหมดตัวแน่”
ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนแล้วพยุงคนเจ็บออกเดินอีกครั้ง
ตรอกเล็กนั้นทอดยาวไปมากกว่าที่คิด เฟยหมิงฝืนออกแรงก้าวไปเรื่อยๆ ไม่หยุด เลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลของอีกฝ่ายเป็นตัวกระตุ้นไม่ให้ชะลอฝีเท้า เมื่อครู่เขามัวแต่ตกใจจนลืมทุกอย่าง แต่พอหยุดแล้วต้องออกเดินอีกครั้ง ขาทั้งสองข้างก็เริ่มสั่น คุณชายรองรู้ดีว่าตัวเขาเองแม้ไม่ได้บาดเจ็บ แต่ก็คงลากผู้ชายตัวเท่าๆ กันเดินไปจนถึงเขตปลอดภัยไม่ได้แน่
มือที่คาดนาฬิกาประคองคนเจ็บอยู่ เฟยหมิงจึงไม่รู้เลยว่าตนประคองอีกฝ่ายเดินมานานแค่ไหน แต่สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงท้ายตรอก เขาหลุดเสียงสบถออกมาเมื่อพบว่าตรอกนี้เป็นทางตัน
“บ้าเอ๊ย” ใบหน้าขาวหอบหายใจ คิดว่าสุดท้ายคงต้องหันหลังเดินกลับ แต่โชคดีที่เขาตาไว เหลือบไปเห็นป้ายไม้เล็กๆ ซึ่งวางอยู่บนพื้นข้างๆ ประตูบานหนึ่งเข้าเสียก่อน
'หมอฉิน แพทย์แผนโบราณ รับรักษาโรคทุกชนิด'
หมอ! โชคดีชะมัด! ร่างโปร่งรีบประคองคนเจ็บไปที่ประตู ใบหน้าของหยางเหวินอี้ตอนนี้ขาวซีดแทบไม่มีสีเลือด ตาปรือเหมือนจะหมดสติอยู่รอมร่อ “คุณ! อย่าเพิ่งหลับนะ ตรงนี้มีร้านหมอ อดทนหน่อย” เขาขยับแขนจับตัวอีกฝ่ายให้มั่นคง แล้วเคาะประตูเรียกเสียงดัง
“ท่านหมอ! ช่วยด้วยครับ มีคนบาดเจ็บ!”
เฟยหมิงเคาะประตูรัวๆ ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากด้านในก่อนที่ประตูไม้บานหนาจะค่อยๆ แง้มออกมาเพียงนิดเดียว หญิงวัยกลางคนโผล่หน้าออกมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่เป็นชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งเสื้อเปื้อนเลือดจนแดงฉาน เธอก็ทำท่าจะงับประตูปิดด้วยความหวาดกลัว แต่คุณชายสกุลหลี่รีบขวางไว้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ขอร้องล่ะครับ ท่านป้า เราไม่ได้ไปชุมนุม แค่บังเอิญผ่านมาแล้วโดนลูกหลง น้องชายผม...ถูกยิง”
เฟยหมิงรีบบอกกล่าวไว้ก่อน เพราะคนในบ้านคงไม่อยากเปิดประตูรับพวกผู้ชุมนุมให้ถูกเพ่งเล็งภายหลัง โชคดีที่หยางเหวินอี้ไม่ได้ใส่เครื่องแบบ เขาจึงตัดสินใจปิดบังตำแหน่งของคนเจ็บด้วย
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่คุณชายรองสกุลหลี่สวมใส่อยู่พอจะช่วยรับรองสถานะของเขาได้บ้าง หญิงผู้นั้นเห็นว่าพวกเขาไม่น่าจะเป็นพวกนักเลงหัวไม้แน่ๆ จึงเปิดประตู โบกมือให้เขารีบพาคนเจ็บเข้าไปภายใน
ห้องตรวจคนไข้เป็นห้องหน้าสุดของบ้านหลังนั้น หมอชาวแมนจูที่ใส่เสื้อคลุมยาวจรดพื้นแบบโบราณรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ ตัวหมอเองน่าจะสูงอายุแล้วเพราะเส้นผมและหนวดเคราที่อยู่เหนือริมฝีปากนั้นหงอกขาวไปหมด พอเห็นคนเจ็บ มือเหี่ยวย่นก็รีบชี้ไปทางตั่งไม้ด้านข้างผนังซึ่งมีที่นอนบางๆ วางอยู่ “ให้เขานอนตรงนี้”
หมอชราบอกแล้วหันไปสั่งหญิงวัยกลางคนที่เดินตามมาให้เข้าไปจุดไฟต้มน้ำในครัว
เฟยหมิงรีบประคองอีกฝ่ายลงนอน ใบหน้าคมตอนนี้เผือดซีดจนแทบไม่มีสีเลือด หมอชราซึ่งน่าจะชื่อว่าหมอฉินใช้กรรไกรตัดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นรอยกระสุนที่ไหล่ขวา ด้านหลังเป็นรูกลมเล็ก ส่วนด้านหน้าที่เป็นรูขนาดใหญ่กว่ามีเลือดทะลักออกมาไม่หยุด
หมอฉินมองดูบาดแผลแล้วพึมพำว่า “โชคดีที่กระสุนทะลุออกไป ไม่ฝังอยู่ในตัว”
หญิงวัยกลางคนเดินกลับมาพร้อมอ่างน้ำร้อน ท่านหมอยื่นผ้าสะอาดผืนหนึ่งให้เฟยหมิงสั่งว่า
“คุณใช้นี่กดแผลห้ามเลือดให้เขาก่อน”
มือเรียวรับผ้าผืนนั้นมา กดลงบนบาดแผล คนเจ็บสูดลมหายใจเฮือก แต่ไม่ได้ส่งเสียงร้องหรือมีท่าทางเจ็บปวด คนห้ามเลือดเสียอีกที่เป็นฝ่ายมือสั่น ถามเสียงแผ่วว่า “เจ็บมากไหม” ผ้าในมือเขาซับเลือดจนชุ่มอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดที่มองลงมา เหวินอี้ก็ฝืนยิ้มออกมานิดหนึ่ง ส่ายหน้า ตอบเสียงพร่าว่า “ไม่เป็นไร”
ท่านหมอกลับมาพร้อมขวดยาในมือ เขาบอกให้เฟยหมิงยกผ้าออก แล้วประคองยกตัวคนเจ็บขึ้นนิดหนึ่ง เตือนคนที่นอนอยู่ล่วงหน้า “ยาสมุนไพรช่วยห้ามเลือด ได้ผลชะงัด แต่เจ็บหน่อยนะ”
นายทหารหนุ่มพยักหน้า มือเหี่ยวย่นจึงโรยผงยาสีขาวลงไปบนปากแผลด้านหน้า เฟยหมิงได้ยินเสียงฟู่เบาๆ พร้อมกับที่ร่างของเหวินอี้เกร็งตัวขึ้น “ฮึก...” ใบหน้าคมกัดฟันกรอด มือที่วางอยู่บนตั่งสั่นระริกจนต้องกำหมัดแน่นสะกดความเจ็บปวดของตน
คุณชายรองสกุลหลี่เอื้อมมือของตนไปกุมมือนั้น “เหวินอี้...อดทนหน่อยนะ”
ชื่อเรียกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากทำให้คนเจ็บปรือตาขึ้น ร่างโปร่งที่วางศีรษะเขาหนุนตักตนเองนั้นก้มลงมอง ใบหน้าขาวเผือดซีด ริมฝีปากสั่นระริก มือที่วางลงบนมือของเขาเย็นเฉียบ
...มือเรียวยาวที่กำแน่นอยู่จึงคลายออก เปลี่ยนเป็นบีบกระชับมือบางไว้
หมอฉินใส่ยาที่แผลด้านหลัง ร่างของนายทหารหนุ่มเกร็งตัวอีกครั้งเมื่อความแสบร้อนสาดลงบนแผล
พักใหญ่เลือดที่ทะลักออกจากบาดแผลทั้งสองก็หยุดลง เหวินอี้หลับไปในระหว่างนั้น หมอชราใส่ยาสมุนไพรอีกชนิดลงบนปากแผลก่อนจะปิดแผลด้วยผ้าสะอาดและพันผ้าทับ แล้วหันมาบอกชายหนุ่มอีกคนด้วยสีหน้ากังวล
“น้องชายของคุณน่าจะปลอดภัยแล้ว แต่เมื่อครู่เมียผมแง้มประตูออกไปฟังเสียงข้างนอก ดูเหมือนจะยังมีการปะทะกันอยู่ ยังออกไปไม่ได้ คืนนี้พวกคุณคงต้องพักในห้องตรวจนี่ก่อน แผลอาจจะอักเสบและคนเจ็บอาจมีไข้ ผมจะต้มยาสมุนไพรไว้ แต่คุณต้องคอยเช็ดตัวเขาเรื่อยๆ”
หมอชราเอ่ยอย่างเกรงใจ ดูแวบเดียวก็รู้ว่าทั้งคนตรงหน้าและคนเจ็บเป็นคุณชายตระกูลสูงทั้งคู่ แต่ร้านของเขาไม่มีใครอยู่นอกจากตัวหมอและภรรยา ลูกมือที่เคยเฝ้าร้านประจำก็หนีไปอยู่นอกเมืองเสียแล้ว จึงไม่สามารถรับรองแขกได้ หากคุณชายรองสกุลหลี่กลับพยักหน้ารับง่ายๆ
“แค่ท่านหมอเมตตาช่วยพวกผมก็ดีมากแล้วครับ เดี๋ยวผมจะดูแลเขาเอง”
เหวินอี้ยังหลับอยู่ เฟยหมิงจึงถือโอกาสเดินออกไปล้างมือล้างหน้าในห้องน้ำด้านหลัง ร่างโปร่งถอดเสื้อสูทเปื้อนเลือดกับเสื้อกั๊กออก เหลือเพียงเสื้อเชิ้ตตัวใน ก่อนจะกลับเข้ามาในห้อง
ฟ้ามืดแล้ว หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นภรรยาของหมอฉินแบ่งข้าวสวยกับผักดองมาให้เป็นอาหารเย็น ชายหนุ่มยิ้มขอบคุณแล้วรับมา นึกในใจว่าพรุ่งนี้จะต้องจ่ายเงินค่ารักษามากหน่อยให้สมกับน้ำใจของเจ้าของบ้าน
เขากินข้าวหมดไปสักพัก หมอชราก็นำยาจีนที่เคี่ยวจนข้นเข้ามา บอกว่าเป็นยาลดอาการอักเสบและแก้ไข้
เฟยหมิงจึงปลุกคนที่นอนอยู่ “ผู้กอ...เหวินอี้ ลุกมากินยาก่อนนะ” เขาเกือบจะเรียกชื่อยศ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าตนอ้างว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชาย ต่อหน้าคนในร้านหมอจึงต้องเรียกชื่อนั้นอีก
นายทหารหนุ่มปรือตาขึ้น แต่ดูง่วงงุนจนไม่พูดจา เพียงแค่นิ่วหน้าเมื่อถูกร่างโปร่งประคองให้ลุกขึ้นนั่ง ยกถ้วยยาร้อนที่ขมจัดนั้นแตะริมฝีปาก แต่ก็ยอมกลืนลงคอจนหมด จากนั้นก็หลับต่อ
หมอฉินเห็นว่าคนเจ็บน่าจะไม่เป็นอะไรมากแล้ว จึงบอกให้ภรรยาเตรียมน้ำและผ้าสำหรับเช็ดตัวมาเตรียมไว้ให้ ก่อนที่ทั้งสองจะขอตัวไปเข้านอน บอกว่าหากตกดึกมีอาการผิดปกติใดๆ ให้เขาไปเคาะเรียกได้ทันที
เฟยหมิงนั่งเก้าอี้มีพนักพิงข้างเตียง มองดูใบหน้าคมที่นอนหลับสนิทแล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ
ร่างโปร่งสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงครางจากคนที่นอนอยู่ มือเรียวหยิบนาฬิกาข้อมือที่ถอดวางไว้บนโต๊ะมาดู เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว เขาเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ดวงตากลมโตก้มลงมองคนเจ็บซึ่งตอนนี้นอนขมวดคิ้วหอบหายใจน้อยๆ เหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้า มือเรียวเอื้อมไปแตะต้นแขน แล้วก็พบว่าผิวของอีกฝ่ายร้อนจัด
“อือ...”
ใบหน้าคมพลิกกระสับกระส่ายด้วยพิษไข้ เฟยหมิงพับแขนเสื้อเชิ้ต รีบเอาผ้าที่ภรรยาหมอเตรียมไว้ให้ไปชุบน้ำ ก่อนจะมาถูลงบนแขนและลำตัวของอีกฝ่ายแรงๆ เลี่ยงบริเวณบาดแผล พยายามให้ความร้อนลดลงเร็วที่สุด
ร่างโปร่งนั่งลงบนตั่ง พลิกตัวคนเจ็บให้นอนตะแคงเพื่อเช็ดด้านหลัง แต่ตั่งแคบนั้นไม่มีที่พอจะให้ขยับได้มากนัก สุดท้ายเขาจึงต้องประคองอีกฝ่ายลุกขึ้นนั่งเอน วางศีรษะของคนที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นให้พิงไหล่ของตน แล้วรีบใช้ผ้าชุบน้ำถูแผ่นหลังให้ พยายามไม่สนใจริมฝีปากและลมหายใจร้อนผ่าวซึ่งเป่ารดอยู่ตรงต้นคอ
พักใหญ่กว่าที่อุณหภูมิร่างกายของคนเจ็บจะเย็นลง ร่างโปร่งเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผากและซอกคอให้ ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้
คืนนี้คงเป็นคืนที่ยาวนาน...
...................................................................
ดวงตาคมปรือขึ้นเมื่อแสงแรกของวันส่องผ่านหน้าต่างด้านบนลงมา เขากวาดตามองรอบๆ เรียบเรียงสติที่ขาดหายเมื่อคืนให้เป็นระเบียบอีกครั้ง นายทหารหนุ่มพลิกตัวตะแคง นิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่อกล้ามเนื้อที่ไหล่ขวาตึงจนถึงบาดแผล
ใบหน้าหล่อเหลามองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ร่างโปร่งฟุบหลับอยู่บนที่นอนข้างตัวเขา เสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ยับย่น ผมสีอ่อนที่เคยจัดเป็นทรงนั้นลุ่ยตกลงมาระดวงตา ผิวแก้มซีดเผือด ใต้ดวงตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ดูเหมือนจะอดนอนมาทั้งคืนจนเผลอหลับไป
รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปาก พร้อมกับประกายอ่อนโยนในดวงตาของนายทหารหนุ่ม
คนคนนี้...ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังใจดีคอยห่วงใยผู้อื่นเหมือนเดิม แม้จะเป็นคนที่เคยทำร้ายเจ้าตัว...อย่างเขา
“พี่เฟยหมิง ผมขอโทษ”
เสียงพึมพำนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน มือเรียวยาวเอื้อมไปยังใบหน้าที่หลับฟุบอยู่ แต่ก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะสัมผัสแก้มเนียน มือนั้นก็ตกลงบนที่นอน
'แต่กับคุณ ผมรังเกียจ' ดวงตากลมโตที่มองสบตาเขาในตอนนั้นเปล่งประกายกล้า บอกความในใจของตนชัดเจน
เหวินอี้หลับตาลงพลางถอนใจยาวอย่างเหนื่อยล้า
ความเจ็บหนึบในหัวใจดูเหมือนจะหนักหนากว่าบาดแผลที่อยู่บนหัวไหล่ และเขาก็โชคร้าย...ที่คงไม่มียาใดรักษาความเจ็บปวดนี้ได้