LOVE
ทดลองอ่านนิยาย ตราบแผ่นดิน… สิ้นกาลเวลา เล่ม 1 บทที่ 9 – บทที่ 10
บทที่ 9 กลับคืนที่เดิม
ร่างเพรียวยืนสงบอยู่ที่ศาลาท่าน้ำไม่ไหวติง หลวงเสนาสรศักดิ์มองขึ้นไปบนเรือนเป็นระยะด้วยสายตาที่เป็นกังวล ผ่านมาหลายวันแล้วน้องสาวของเขายังคงนอนนิ่งไม่รับข้าวรับน้ำใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ยังพอบ่งบอกถึงสัญญาณชีวิตมีเพียงลมหายใจรวยรินเหมือนดังครั้งก่อน หากแผ่วเบามากกว่าคราวนั้น ราวกับเจ้าตัวไม่ปรารถนาที่จะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
สายใยชีวิตที่พร้อมจะขาดอยู่ทุกเมื่อนั้ นำพาความเศร้าโศกมาให้กับทุกคน
“พ่อดวง…แม่จำได้ ก่อนที่แม่จะท้องแม่ไพลิน แม่ฝันประหลาดนัก หลวงตาของเจ้าพาเด็กผู้หญิงมาให้แม่สองคน หน้าตาน่าชังทั้งคู่ คนหนึ่งนุ่งโจงผูกจุกงดงาม อีกคนกลับแต่งกายประหลาดนักคล้ายพวกฝรั่งที่มากับเรือสำปั้น แม่รู้ทันทีว่าต้องเป็นลูก อยากได้ทั้งสอง แต่หลวงตาของเจ้ากลับส่งแต่เด็กผมจุกมาให้บอกว่าฝากไว้ก่อน ส่วนอีกคนท่านว่าคนนี้จะมาส่งให้ทีหลัง พ่อดวง…แม่นี้หัวใจแทบสลาย อยากได้นักทั้งสองคน ร้องขออ้อนวอนหลวงตาแต่ท่านว่าอีกคนยังไม่ถึงเวลา แล้วนี่แม่ต้องเสียลูกสาวไปทั้งหมดหรือนี่”
มารดาของเขาเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ยังพอเคยจำได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่มารดาบอกว่าเขาจะมีน้องสองคน
“แม่เคยถามหลวงตา ท่านก็ยิ้มเฉย บอกว่าถึงเวลาก็จะมาเอง” แต่จนแล้วจนเล่า น้องที่จะมีต่อจากแม่หญิงไพลินก็ไม่เห็นเกิดมาสักทีจนลืมเลือนไป
‘ฉันไม่ใช่น้องสาวของพี่หรอกนะ’ วาจาสะบัดแง่งอนไม่นึกเลยว่าจะเลยเถิดไปถึงพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้า
‘อิฉันเป็นเพียงสัมภเวสี และไม่ทราบจริงๆ ว่าแม่หญิงไพลินลูกสาวแท้ๆ ของท่านไปอยู่ที่ใด’
‘อิฉันไม่ใช่แม่หญิงไพลิน!’
หลวงเสนาสรศักดิ์ถอนใจยาว… สัมภเวสีตนใดเล่าที่ล่องลอยอยู่ในภพภูมิอื่นเข้ามาอยู่ในร่างของน้องสาวแล้วทำให้ครอบครัวมีความสุขได้อีกครั้งเช่นที่ผ่านมา
แต่…อีกนั่นแหละ คุณหญิงผู้เป็นมารดาเศร้าโศกร่ำร้องทั้งน้ำตา ไม่เป็นอันกินอันนอนอยู่ข้างร่างบางที่นอนนิ่ง ทำให้คนรอบข้างพลอยหดหู่ไปด้วย
“อิฉันผิดเองเจ้าค่ะ ไปพูดกับลูกอย่างนั้น อิฉันแค่น้อยใจ เจ็บใจที่ลูกดื้อดึง แต่ไม่นึกว่าลูกจะ…ต่อไปดิฉันจะต้องทำอย่างไรดี…”
“อย่าโทษตัวเองเลยคุณหญิง… ลูกร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว นังอ่อนมันก็เพิ่งมาบอกว่าแม่ไพลินเป็นเช่นนี้มาสักพักแล้ว”
บ่าวคนสนิทของลูกสาวสารภาพทีหลังถึงอาการของแม่หญิงไพลินด้วยน้ำตานองหน้า
“แล้วอิฉันจะอยู่อย่างไรเจ้าคะ อิฉันคงตายเสียก่อนเป็นแน่ ดูสิเจ้าคะ แม้กระทั่งลมหายใจ บางเบาเหลือเกิน ไม่อาจแม้แต่จะทำให้เปลวเทียนขยับ” มารดาคร่ำครวญทุกคราวที่เข้าไปปลอบ ทุกคนต่างพากันนั่งเฝ้าอยู่ไม่ไกลจากร่างที่นอนนิ่ง ด้วยเกรงว่าเจ้าหล่อนจะจากไปโดยไม่ทันได้ล่ำลา
ชายหนุ่มนึกถึงมารดาด้วยความกลัดกลุ้ม เรื่องของผู้หญิงมีชาติสกุลมาฝึกดาบเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ถึงทำให้พ่อแม่โกรธเกรี้ยวได้ แต่ก็ไม่น่าจะเลยเถิดเป็นอย่างนี้ไปได้
เสียงเดินทำให้เขาหันไปมอง ร่างสูงหนาบึกบึนของผู้มาใหม่เดินมาตามปกติ
หลวงเสนาสรศักดิ์รับความเคารพจากขุนอรรถ
“ยังไม่ดีขึ้นอีกหรือขอรับ” ผู้อ่อนวัยกว่ามีน้ำใจถามไถ่ทุกครั้ง
“อืม ยังเลยพ่ออรรถ ทั้งคุณแม่ ทั้งแม่ไพลิน พากันผ่ายผอมไป ข้าวปลาไม่มีใครกินลง”
“เมื่อครู่กระผมแวะไปที่วัด แต่หลวงตายังไม่กลับจากธุดงค์ ไม่รู้คราวนี้จะไปนานเท่าไหร่” ขุนอรรถรายงาน
ความหวังเดียวของพวกเขาคือหลวงตาน้อย เพราะไม่ว่าจะใช้ศาสตร์ใดหรืออาราธนาพระที่ห้อยคอทั้งหมดก็ไม่อาจเรียกสติของน้องสาวคืนกลับมาได้
“ขอบใจนะพ่ออรรถที่แวะไปดูให้ ท่านคงไปนานเหมือนทุกที…บางทีคราวนี้แม่หญิงไพลินน้องของพี่อาจจะ…ต้องไปจริงๆ เสียแล้ว” ผู้เป็นพี่จำต้องยอมกล่าวเช่นนั้นเพราะจนหนทางจริงๆ
แปลกที่เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว ขุนอรรถรู้สึกอึดอัดในอก เขาไม่อยากยอมรับให้เกิดเรื่องเช่นนั้น
“อย่าเพิ่งท้อสิพี่ดวง แม่หญิงไพลินออกจะเป็นคนดวงแข็ง รอดตายมาได้ไม่รู้กี่ครั้ง แม้กระทั่งดาบของกระผมก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้” เขาให้กำลังใจหลวงเสนา ในใจรู้สึกเป็นห่วงเช่นกัน เหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เมื่อไม่เห็นคนตัวบางคอยวนเวียนอยู่ใกล้พี่ชาย หรือคอยพูดจาสร้างความรำคาญให้กับเขา
“ว่าแต่พ่ออรรถ วันนี้พี่คงไม่ไปทิมดาบนะ จะรอดูอาการแม่ไพลินก่อน อีกอย่าง วันนี้คุณพ่อเข้าวัง พี่ไม่อยากทิ้งคุณแม่ไว้เพียงลำพัง”
“ขอรับ กระผมจะเรียนท่านเจ้าคุณให้ เอ้อ… ถ้าพี่ดวงไม่ว่าอะไร กระผมอยากขออนุญาตขึ้นไปเยี่ยมดูแม่หญิงไพลินสักหน่อย” คราวที่ป่วยคราวนั้นเขาได้แต่รอฟังข่าวเพราะเป็นคนไม่ถูกกันอย่างที่สุด แต่หากคราวนี้คงเป็นเพราะพอมีน้ำใจต่อกันอยู่บ้าง ถึงได้อยากเข้าไปเยี่ยมเยียนตามประสาคนคุ้นเคย
ที่พอรู้เพราะแม่อ่อนมักมารายงานเสมอว่าเจ้าหล่อนยอมใช้ยาขี้ผึ้งประจำตระกูลของเขาโดยไม่เกี่ยงงอน หนำซ้ำยังชมไม่ขาดปากถึงขั้นจะเอาไปทำมาค้าขายเลยทีเดียว ตอนได้ฟังยังนึกขำแกมประหลาดใจยิ่งนัก
“เอาสิ! เดี๋ยวจะพาขึ้นไป” หลวงเสนาพยักหน้า เดินนำหน้าชายหนุ่มรุ่นน้องขึ้นไปบนบ้าน
ชายหนุ่มผู้พี่เข้าไปหามารดาในห้องของน้องสาวเพื่อขออนุญาตก่อนที่จะให้ชายหนุ่มเข้าไป ขุนอรรถกราบท่านผู้ใหญ่
“ขอบใจนะพ่ออรรถ อุตส่าห์มีน้ำใจมาเยี่ยม” คุณหญิงซับน้ำตา ดูผ่ายผอมทั้งคนเฝ้าและคนป่วย แม้กระทั่งอ่อนซึ่งเป็นพี่เลี้ยงยังดูทุกข์โศกไม่น้อย
“กระผมเอายามาฝากขอรับ อาจจะพอช่วยได้บ้าง” ดูจากสภาพแล้ว หากเป็นเช่นนี้อีกพักใหญ่ก็คง…
เห็นแล้วว่าร่างบางมีเพียงผ้าแพรเพลาะผืนหนึ่งคลุมไว้ ใบหน้าเรียวนั้นสงบนิ่งอยู่ท่าเดิม เขาแทบสังเกตไม่เห็นถึงการมีชีวิตของร่างนั้น
“ไม่กินอะไรเลย ไม่…แม้แต่จะขยับ แม่ก็เอาผ้าชุบน้ำบิดใส่ปากแม่ไพลินตลอด ไม่อยากให้ต้องหิว” คุณหญิงเอ่ยเสียงเครือ
ขุนอรรถพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อธิษฐานในใจขอให้เจ้าหล่อนฟื้นคืนกลับมา
“แม่หญิงไพลิน หากเจ้าฟื้นคืนกลับมาคราวนี้ เราจะเอาใจเจ้ามากกว่าเดิม รวมไปถึงจะช่วยสอนฟันดาบด้วยก็แล้วกัน” จิตของเขาเกิดความเวทนาอย่างไม่มีสาเหตุ อาจเป็นเพราะแต่เดิมไม่เข้ากันราวขมิ้นกับปูน หากนับตั้งแต่ฟื้นคืนกลับมาคราวนั้น เวลาเจอหน้ากันความรู้สึกกลับไม่ใช่คนเกลียดกันดังเช่นที่ผ่านมา
แค่เจ้าหล่อนอยากแหย่เขาเล่นเท่านั้น หาใช่เกิดจากความเกลียดชังเหยียดหยามอย่างที่เคยไม่ บางครั้งยังคล้ายทำทีจะผูกมิตรเสียด้วยซ้ำ ซึ่งขุนอรรถเองก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ว่าการแสร้งทำเป็นรำคาญแม่หญิงไพลินคนใหม่นั้นสร้างความรื่นรมย์ให้แก่เขาเช่นกัน
ขุนอรรถกลับเข้าบ้านพบกับบิดา คุณพระไกรสีห์และน้องชายตัวน้อยของเขากำลังนั่งเล่นอยู่ที่ท่าน้ำประจำบ้าน ส่วนแม่เลี้ยงคงไปเตรียมเรื่องข้าวปลาอาหาร ชายหนุ่มเข้าไปนั่งใกล้ๆ ทำความเคารพพลางรับเด็กชายตัวน้อยที่คลานเข้ามาหาอย่างคุ้นเคย
ที่จริงเขามีเรือนของตัวเองต่างหาก ปลูกเอาไว้อยู่ในอาณาเขตรั้วเดียวกัน ว่างๆ ถึงแวะมาเล่นกับน้องชายบ้างตามประสา หลวงอรรถไม่ได้รังเกียจหรือห่างเหินน้องถึงแม้จะต่างมารดากัน หากอายุห่างกันมากเกินยังพูดจากันไม่ได้เสียมากกว่า
ตอนนี้ที่มีความกังวลอยู่คงเป็นเรื่องของแม่หญิงไพลิน คนเคยๆ คุ้นกัน ถึงจะทะเลาะกันบ้าง แต่เขากลับรู้สึกว่าเจ้าตัวไม่ได้ตั้งแง่อะไรกับเขานักเช่นแต่ก่อนที่เรียกว่าเกลียดกันเข้ากระดูกดำ
ขุนอรรถเป็นคนเดียวที่ไม่ยอมลงให้เจ้าหล่อน ยามพบปะหน้าต้องมีปะทะวาจาแสบร้อนเสมอกัน เพราะเขาเองมีคติว่าถึงงามปานใดก็ไม่สำคัญเท่างามกันด้วยใจ แม่หญิงไพลินนั้นเดิมเห็นว่าใจคอคับแคบ ทะนงตน ไม่มีเมตตานัก เขาจึงไม่ใช่ชายหนุ่มที่จะแวะเวียนไปบ้านหลวงเสนาเพราะมีน้องสาวงาม เป็นถึงนางในวังอย่างเด็ดขาด
มาระยะหลังที่แม่หญิงไพลินเองไม่ได้มีกิริยาก้าวร้าว บางครายังคล้ายจะผูกมิตรตามประสาผู้อ่อนวัยกว่าด้วยซ้ำ แต่มักแสดงออกโดยการเย้าแหย่ตามประสา นั่นทำให้เขารู้สึกเบิกบานอยู่บ้างที่ได้ปะทะคารมกับเจ้าหล่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกเศร้าใจหากต้องจากกันแบบนี้
ความเมตตาและให้อภัยนั้นคงบังเกิดเนื่องจากถือเสมือนแม่หญิงไพลินเป็นน้องนุ่งอีกคนหนึ่ง
“เพิ่งกลับมาจากบ้านท่านเจ้าคุณหรือ” คุณพระไกรสีห์ถามไถ่ เป็นอันรู้กันว่าที่อยู่ของเขามีไม่กี่แห่ง หากหาใช่โรงเหล้าโรงยาตามตลาดเด็ดขาด
“ขอรับ วันนี้กระผมเอายาไปส่งให้ทางบ้านพี่ดวงขอรับ”
“แล้วเป็นอย่างไร พ่อได้ข่าวว่าลูกสาวท่านเจ้าคุณป่วยหนักเทียว เมื่อวานพบหน้าตาท่านไม่สู้ดีนัก ใครๆ ก็รู้บ้านนี้รักลูกสาวมากกว่าลูกชาย”
“แม่หญิงไพลินป่วยหนักเทียวขอรับ คราวนี้มีแต่ทรุดกับทรุด ถ้าปล่อยไว้อีกไม่นานอาจจะ…”
“แล้วอย่างนี้จะทำอย่างไรเล่า” บิดาเป็นกังวลตามไปด้วย
“กระผมเห็นว่าคงมีแต่หลวงตาน้อยเท่านั้นแหละขอรับที่เป็นที่พึ่งสุดท้าย แต่จนใจว่าท่านออกธุดงค์ ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ใด ครั้งก่อนท่านไปไกลถึงเขมร”
“มีอะไรที่ทำได้อีกไหมล่ะลูก” ท่านเจ้าคุณเองก็ไม่มีลูกสาว มีลูกชายสองคน เคยคิดเหมือนกันว่าอยากจะมีลูกสาวไว้คอยดูแลยามแก่เฒ่าเช่นกัน
“กระผมก็พยายามให้คนจัดยาตามตำรับของคุณตาคุณยายเผื่อว่าจะช่วยได้บ้าง”
ขุนอรรถนั้นมิใช่คนกรุงศรีอยุธยาโดยกำเนิด เมื่อบิดาสมัยหนุ่มเคยไปรับราชการที่หัวเมืองทางใต้แล้วเลยมีครอบครัวอยู่ที่นั่น เมื่อภรรยาคนแรกสิ้น ท่านจึงคิดย้ายกลับสู่เมืองหลวง ติดที่ขุนอรรถขออยู่ดูแลตายายก่อนจนสิ้นท่านทั้งสอง ชายหนุ่มถึงได้ย้ายตามมาจนได้รู้จักเป็นสหายกับหลวงเสนาเมื่อครั้งไปราชการด้วยกัน
“เอาเถอะนะ มีอะไรทำได้ก็ทำไป เอ๊า! เจ้าขอนมาทำลับๆ ล่อๆ อะไร” ท่านผู้เป็นบิดาหันไปดุเสียงเข้มใส่คนในบ้านที่เข้ามาหมอบอยู่ไม่ไกล
“มีคนให้เอาของมาให้ท่านขุนอรรถขอรับ กระผมจะถามชื่อก็ไม่ยอมบอก เอามายัดใส่มือแล้ววิ่งหายไป” บ่าวชื่อขอนขยับเอาห่อผ้าดิบสีขุ่นมาส่ง ขุนอรรถคลี่ห่อผ้าออกมา ตัวหนังสือที่เขียนด้วยถ่านบนผ้าดิบทำให้ชายหนุ่มลิงโลดขึ้นมา
“อะไรหรือพ่ออรรถ”
“มีข่าวขอรับ มีข่าวแจ้งว่าหลวงตาน้อยท่านอยู่ไม่ไกลจากนี้เท่าใด”
“จากผู้ใดรึ”
“ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ คนผู้นี้ไม่ได้แจ้งชื่อเสียด้วย กระผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องตามหาหลวงตานี้จะมีผู้ใดล่วงรู้บ้าง” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับ แม้กระทั่งท่านเจ้าคุณบริรักษ์ผู้เป็นนายยังทราบเรื่อง
“เอ…แปลกนะ แทนที่จะส่งข่าวให้หลวงเสนา กลับมาส่งข่าวให้ลูก”
“แต่ถึงอย่างไร กระผมคงต้องไปดูด้วยตัวเองเสียแล้วขอรับ จากระยะทางแล้วคงจะไปสักสองสามวัน”
“เอาเถอะๆ พ่อจะให้คนไปแจ้งข่าวให้ที่บ้านโน้น เผื่อจะมีกำลังใจ”
“ขอบพระคุณขอรับคุณพ่อ เจ้าวรรณ พี่ไปธุระนะ แล้วจะเอาขนมมาฝาก” เขาบอกน้องชายที่ยังพูดจาไม่ได้ก่อนจะล่ำลาบิดา
“ไปดีมาดีนะลูก เออ…ไอ้ขอน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว รีบไปจัดเสบียงให้ท่านขุนอรรถ ท่านลงเรือนมาเมื่อไหร่จะได้พร้อม” ท่านเจ้าคุณบิดาสั่งการบ่าวในขณะที่ขุนอรรถกลับไปที่เรือน
ผ้าที่เขียนด้วยถ่านทำให้เขามีคำถาม หากเวลานี้ยังไม่ใช่เวลามาหาคำตอบ เอาไว้เสร็จเรื่องแล้วคงต้องตามหาเจ้าของจดหมายนั้นให้ได้
เมื่อชายหนุ่มตรงไปที่โรงม้าทุกอย่างก็พร้อม ม้าคู่ใจฝีเท้าดีที่สุดถูกเลือกแล้ววิ่งออกจากเขตเมือง จะลองไปตามหาหลวงตาดูเผื่อว่าจะเจอท่านตามคำบอกในจดหมายผ้า หวังว่าแม่หญิงไพลินคงไม่สิ้นอายุขัยก่อนที่เขาจะกลับมาพร้อมข่าวดี
นานเท่าไหร่แล้ว… ณิรชาบอกไม่ได้เหมือนกันว่ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงสาวนั่งบนพื้นเย็นยะเยียบชันเข่าซบหน้าสะอึกสะอื้น รอบกายรับรู้ว่าเป็นอุโมงค์ที่มืดมิดแต่มีอีกด้านที่ยังมีแสงสว่างเท่าปลายเข็ม แต่นั่นเป็นที่ที่หล่อนจากมา
ทางใดเล่าที่ยังต้องการหล่อน
โลกด้านโน้นที่เต็มไปด้วยความเจริญอย่างนั้นหรือ พ่อและแม่ที่เลิกร้างแยกจากกันแล้วไปสร้างครอบครัวใหม่ ทิ้งให้หล่อนเลือกหนทางคนเดียว
สมแล้วที่ใครต่อใครบอกว่าณิรชามีชีวิตที่ไม่เคยเต็ม
‘ยายณิน่ะหรือ แค่สมบัติที่ปู่ย่าตายายทิ้งให้ ไม่รวมของที่พ่อแม่แบ่งให้อีกก็กินไม่หมดไปทั้งชาติ’ พรรณพิลาศเคยวิจารณ์หล่อนอย่างตรงไปตรงมา พ่อไปทาง แม่ไปทาง ปู่ย่าตายายที่เคยเป็นหลักยึดล้วนสิ้นหมด
‘หล่อนน่ะเคยแคร์ใครเสียที่ไหน แต่ก็พูดเถอะ หัวเราะยโสอย่างนี้ แต่ใจหล่อนคงโหวงเหวงสิท่า’
หญิงสาวเคยยักไหล่กับ ‘ชีวิตที่โหรงเหรง’ ตามนิยามของพันรบ
แต่ทุกคนต่างทราบดีว่าหล่อน ‘…จะยอมลงให้กับคนที่รักและหวังดีจริงๆ เท่านั้น’
ชีวิตที่มีอิสระ เป็นใหญ่ ไม่มีใครบงการได้ แต่ถึงกระนั้นรอบข้างก็ยังเคว้งคว้างเหลือเกิน พอมาอยู่ที่บ้านนั้น ได้รับรู้ถึงความรักความเมตตาทำให้ผูกพันแน่นหนา แต่ก็ต้องจากมาเพราะไม่ใช่คนที่ควรได้รับความรักที่แท้จริง
รอบกายมืดมิด หากคนที่นั่งอยู่ยังไม่อยากไปไหนทั้งนั้น ที่ทำได้เพียงฟุบหน้าโศกเศร้าไม่อยากแม้จะขยับตัว
นานเท่านาน… ลมเย็นพัดต้องกายเอื่อยๆ ณิรชาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับเห็นรูปลักษณ์เปล่งรัศมีเหลืองอร่ามปรากฏขึ้นมาใกล้ จีวรสีย้อมฝาดนั้นคุ้นตานัก
‘หลวงตา’ เสียงของหล่อนดังอยู่ในสมอง
‘แม่ไพลิน …เจ้ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม’ คำเรียกขานนั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่คนอื่นไกล ดวงจิตส่องสว่างรายล้อมผู้ทรงศีล
หญิงสาวขยับกราบลงกับพื้นเย็นเยียบ ‘หลานไม่มีที่ไปแล้วเจ้าค่ะ’
เมื่อนึกถึงอย่างนี้แล้วน้ำตาไหลก็ไหลพรากไม่หยุด สำนึกของหล่อนไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ไม่ใช่ที่ของตน ดังนั้นถึงเลือกที่จะอยู่คนเดียวเสมอมา ใครเล่าจะรู้ถึงความอ้างว้างที่อยู่ลึกลงไปข้างใน จนกระทั่งการได้มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยา ครอบครัวที่คิดว่าแตกสลายได้ก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาใหม่
แต่ท้ายสุด…ณิรชาก็รักษาไว้ไม่ได้
‘ทำไมไม่กลับบ้าน’ น้ำเสียงนั้นมีแววเมตตาอยู่เต็มเปี่ยม
‘บ้าน…หลานไม่มีบ้านเจ้าค่ะ ไม่มีที่ไหนเลยที่เป็นบ้าน’ น้ำตาร่วงพรูเมื่อนึกถึงที่ที่จากมาด้วยความอาลัย
‘ก็ที่ที่เจ้าคิดว่าเป็นบ้าน’ ในสามัญสำนึกนั้นคล้ายรับทราบว่าท่านหมายถึงที่ใด
‘แต่…’
‘กลับเถอะ ปลายทางด้านโน้นยังไม่เปิด ยังไม่ถึงเวลา เจ้ายังไปไหนไม่ได้หรอก’ ท่านหมายถึงโลกที่มีครบทุกสิ่งที่ต้องการ ทำได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ขาดอยู่อย่างเดียว…
‘แต่คุณแม่…คุณหญิง…’
‘กลับไปแล้วจะรู้ สุดแต่ว่าเจ้าอยากกลับไปหรือไม่’
‘อยากสิเจ้าคะ อยาก…แต่ว่า…คุณแม่ไม่ต้องการหลานแล้ว’
หลวงตาน้อยไม่พูดมาก พยักหน้าเรียกให้ตามไป ก่อนจะเดินนำเข้าไปในรัศมีอันเรืองโรจน์
ณิรชาค่อยๆ ลุกขึ้น เดินลากเท้ากลับไปยังอุโมงค์ที่มีปลายทางเป็นแสงสว่าง วูบเดียว ร่างกายเริ่มปวดร้าว ไปหมด หล่อนอยากลืมตาแต่ลืมไม่ได้ ได้แต่ขยับอึกอัก
“ไพลิน ไพลินลูกแม่…” เสียงละล่ำละลักคุ้นเคยยิ่ง ถึงกระนั้นก็ยังฟังเสนาะหู
“คุณ…แม่” หล่อนขยับริมฝีปากยากเย็น ไม่ทราบเหมือนกันว่ามีเสียงลอดออกไปหรือไม่ รู้สึกถึงมืออันอ่อนนุ่มที่ลูบไล้ใบหน้า
“ไพลิน ลูกแม่ ตื่นขึ้นมาเสียทีเถอะ ลูกรัก อย่าจากแม่ไปเลยนะแม่ขอร้อง ลูกอยากทำอะไรแม่จะไม่ว่า ขออย่างเดียว อย่าบอกว่าไม่ใช่ลูกของแม่อีก”
แม้ลืมตาไม่ได้แต่เสียงนั้นชัดเจน ความหวาดกลัวที่จะกลับมาแล้วไม่ได้รับการยอมรับนั้นสูญสลาย กำลังใจที่ซุกซ่อนอยู่เริ่มมีเรี่ยวแรงเริงร่า ก้นบึ้งความว้าเหว่โหยหาค่อยถูกเติมเต็มขึ้นมาอีกครั้ง
หรือที่นี่…เป็นบ้านที่หล่อนเรียกร้องมาตลอดชีวิตยามเมื่ออยู่ในโลกหน้าสินะ
หญิงสาวยังคงไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื้อนอย่างเต็มที่ แต่รับรู้ได้ทุกอย่าง ความรัก ความห่วงใย
“ลูก…ขอโทษ” ณิรชาหลับตานิ่งไปอีกครั้ง คราวนี้ในฝันดูสงบนิ่งยิ่งนัก อีกสักพักหล่อนจะตื่นกลับมายังโลกในอดีตอันเป็นที่ของหล่อนจริงๆ
ศาลาท่าน้ำท่าจะน่านั่งรับลมสบายๆ แต่ดูคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไม่ใคร่สบาย
ร่างที่ห่มคลุมด้วยสไบสีชมพูอ่อนนั่งร้อยมะลิหงอยๆ อยู่ริมน้ำโดยมีพี่เลี้ยงคู่ใจนั่งเป็นเพื่อนอยู่ใกล้ๆ ไม่มีวี่แววสนุกสนานร่าเริงดังเช่นที่เคยเห็นประจำ คนใจแข็งเช่นขุนอรรถจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหา อย่างน้อยก็คนที่เคยคุ้นกัน
“คุณหลวงอรรถมาเจ้าค่ะ แม่หญิง” แม่อ่อนขยับตัวกระซิบเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่เดินผ่านสนามตรงเข้ามายังริมน้ำ คนตัวบางจึงขยับกายไหว้ทำความเคารพ วงหน้าเรียวดูซีดเซียว แววถือดีจืดจางผิดจากที่แล้วมาลิบลับ
แปลกที่ขุนอรรถคิดว่าเขาพอใจที่จะได้เห็นแม่หญิงไพลินจอมยุ่งคนเดิมมากกว่า
“สบายดีแล้วหรือเจ้า มานั่งตากลมอย่างนี้ประเดี๋ยวจะกลับมาไม่สบายอีกนะ”
น้องสาวของหลวงเสนายิ้มหงอยๆ ไร้พิษสงไปถนัด ดูไม่สมกับเป็นแม่หญิงไพลินเลยสักนิด
“สบายดีแล้วค่ะ แต่จะให้ทนอุดอู้อยู่ข้างบนคงไม่ไหว… เอ่อ…ขอบพระคุณขุนอรรถมากเลยนะคะที่อุตส่าห์มาเยี่ยมแล้วยังจัดหยูกยาอีก แล้วยัง…ไปตามหลวงตามาช่วยฉันด้วย” แม่หญิงจอมยโสถึงกับยกมือไหว้เขา ยิ่งทำให้ใจอ่อนลงไปอีกโข
ก็เหมือนผู้ใหญ่ทั่วไป ถ้าเด็กอ่อนข้อให้ มีหรือจะไม่เมตตา
“ไม่เป็นไรหรอก หลวงตาเองก็บอกแล้วว่า ถึงเวลาหมดเคราะห์เจ้าก็จะหายเอง”
ณิรชาแอบถอนใจ เคราะห์ของหล่อนสาหัสนัก ถึงขั้นพลัดยุคพลัดถิ่นทีเดียว คงอีกนานกว่าจะหมดเคราะห์จริงๆ อย่างที่เขาว่า
ส่วนคนตัวโตที่ยืนอยู่กวาดตามองท่าทีชดช้อยร้อยดอกไม้นี่ ดู ‘ขัดตา’ พิลึก
จริงอยู่ โดยส่วนตัวขุนอรรถนิยมชมชอบหญิงสาวที่มีกิริยางามพร้อม อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ถือเป็นกุลสตรีเหมาะกับการเป็นแม่ศรีเรือนให้บุรุษ สตรีเช่นนั้นถึงจะดูงามในสายตาของชายหนุ่ม ทว่างานแบบนี้ดูไม่เหมาะเลยสักนิดกับคนตัวบางที่นั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่ตรงหน้า
“ขุนอรรถกับพี่ดวงจะไปไหนหรือคะ” คำถามของแม่หญิงไพลินดึงให้เขาออกจากภวังค์
“จะไปที่ทิมดาบสักหน่อย” แปลกที่เขาไม่ทำเสียงดุหรือทำท่ารำคาญเข้าใส่เจ้าหล่อนเหมือนที่เคย คงเพราะเห็นตามที่ได้ยินมาจากหลวงเสนา แม่หญิงไพลินขาดพิษสงเสียสิ้น ดวงตาที่เคยใสวับช่างเล่นเป็นประกายกลับหม่นหมองลง ทำให้รู้สึกเวทนาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มทราบดี แม่หญิงจอมแก่นตรงหน้าไม่ได้หมดพิษสงจริงๆ หรอก หากแต่กำลังเก็บกดเอาไว้เพราะกลัวผู้เป็นมารดาเสียใจมากกว่า อย่างน้อยก็ยังดีที่รู้จักกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา
คุณหญิงผู้เป็นมารดาถึงกับลมจับเมื่อลูกสาวสุดที่รักบอกว่าเป็นสัมภเวสีจากที่อื่นเข้ามาอยู่ในร่างนี้ แม้แต่เขาเองรับรู้เข้ายังตกใจ
“ตามีแวว…คงไม่ใช่” คนที่ร่ำเรียนอาคมมาบ้างอย่างเขาและหลวงเสนาต่างเห็นพ้องต้องกันว่าแม่หญิงไพลินเป็นเพียงไข้กลับเท่านั้น หนำซ้ำเมื่อเจอน้ำมนต์ของท่านเจ้าคุณผู้เป็นบิดาที่ตระเวนไปขอหลวงพ่อตามวัดต่างๆ ที่คนเห็นว่าศักดิ์สิทธิ์ ไล่ผีสางได้ชะงัดมาให้บุตรสาวดื่มกิน ถ้าเป็นภูตผีจริงๆ คงทนอยู่ไม่ได้ถึงป่านนี้แน่ๆ
ที่แน่นอนที่สุดเมื่อขุนอรรถเดินทางไปตามคำบอกบนผ้าดิบจาก ‘บุคคลนิรนาม’ จนพบหลวงตาน้อย เมื่อรับทราบข่าวแล้วท่านก็นั่งสมาธินิ่งอยู่พักใหญ่ ก่อนจะบอกเขาว่าแม่หญิงไพลินไม่เป็นไรแล้ว
ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ถึงขั้นถูกพวกหมอผีเฆี่ยนตีเอา เพราะญาติๆ ทั้งหลายต่างเสนอกันว่าถ้าไม่หายก็ต้องเกิดจากอาคมคุณไสย
หลวงเสนาสรศักดิ์นั้นถึงกับต้องประกาศกันเอาไว้เลยว่าใครเอาหมอผีมาเฆี่ยนตีน้องสาวจะจัดการไม่ไว้หน้า
“นั่น…พี่ดวงลงมาแล้วกระมังคะ ดูท่าวันนี้คงกลับเย็นกัน” ปลายประโยคแม่หญิงไพลินรำพึงกับตัวเองมากกว่า นานแล้วที่หญิงสาวไม่ได้ย่างกรายออกจากบ้านไปไหนเลย
ขุนอรรถจึงรอให้ผู้เป็นพี่เดินมาถึงที่ท่าน้ำ
“ไพลิน พวกพี่จะไปทิมดาบกันแล้วจะเลยไปตลาด เจ้าอยากไปกับพวกพี่หรือไม่” หลวงเสนากล่าวได้อย่างใจของขุนอรรถ ให้คนเป็นพี่ชักชวนจะเหมาะสมกว่า
“ไม่ดีกว่าค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้า
“ฉันยังร้อยมาลัยถวายพระได้ไม่ดีเลย เดี๋ยวคุณแม่จะดุเอา นี่ดูสิ จนกระทั่งป่านนี้ฉันยังไม่สามารถร้อยมาลัยธรรมดาๆ ได้สวยเท่าแม่หญิงไพลินคนเดิมเลย แล้วยิ่งแบบที่ยากไปกว่านี้อีก…” คนพูดแบมือให้เห็นรอยจุดเล็กๆ บนปลายนิ้ว ไม่ใช่งานถนัดนักหากหล่อนก็พยายามทำ
“สมองฉันคงทึบโง่เง่าไปเสียแล้ว” เจ้าหล่อนเขกหัวตัวเอง ไม่มีแววเสแสร้งในกิริยาให้สงสัย
“เจ้าก็เป็นแม่หญิงไพลินคนเดิมนั่นแหละ อย่าเพ่อคิดมากไป” ชายหนุ่มผู้พี่ขมวดคิ้วมุ่นปลอบใจ
“เอาเถอะ พี่จะไปล่ะ อ่อน ดูแลแม่หญิงให้ดีล่ะ ถ้าแดดแรงนักก็ให้ขึ้นเรือน ไม่อย่างนั้นจะไม่สบายไปอีก ร่างกายยิ่งไม่แข็งแรงเสียด้วย”
“เจ้าค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ถ้าดื้อนักบ่าวจะเรียนให้คุณหลวงทราบโดยทันที”
“แหม…ได้ทีเลยนะ” แม่หญิงไพลินได้แต่ค้อนพี่เลี้ยง
หลวงเสนาเห็นแล้ววางใจจึงลูบศีรษะน้องสาวแล้วเดินออกมาจากบ้านพร้อมขุนอรรถและบ่าวสองสามคน
เมื่อออกจากอาณาเขตบ้านมาแล้ว ใบหน้าของผู้อาวุโสกว่ายังมีแววไม่สบอารมณ์
“พี่ดวงมีอะไรกังวลใจเรื่องแม่ไพลินอีกหรือขอรับ” ชายหนุ่มผู้น้องหากร่างสูงใหญ่กว่า หน้าเข้มดุกว่าเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจ
“แม่ไพลินชอบบอกว่าตัวเองไม่ใช่แม่ไพลิน พี่ฟังแล้วไม่ชอบใจนัก พี่อยากให้แม่ไพลินกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม แต่ก็นั่นแหละ คนเป็นไข้…”
“กระผมว่าถ้าได้ลุกได้พูดบ้าง ประเดี๋ยวก็คงกลับมาเป็นคนเดิมแหละขอรับ”
ชายหนุ่มปลอบ กับผู้ใต้บังคับบัญชา หรือกับเพื่อนฝูง หลวงเสนาสรศักดิ์ถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ที่ทุกคนต่างเชื่อฟังเนื่องจากมีความรู้เก่งกล้าในหลายศาสตร์ อัธยาศัยใจคอกว้างขวาง หากที่เห็นแพ้ทางก็คงจะมีแต่แม่น้องสาวคนเดียวที่เจ้าตัวยอมให้ตลอด ยอมให้ทุกอย่างทีเดียว
หลวงเสนาหยุดเดินแลไปทางผู้ติดตามที่ทอดระยะห่างออกไป ที่มารดาเคยเล่าให้ฟัง และที่หลวงตาเอ่ยเป็นนัยนั้นช่างสอดคล้องกับที่น้องสาวพูด
“พ่ออรรถไม่รู้อะไร พี่ไม่อยากฟังน้องของพี่พูดจาเช่นนั้น เพราะบางครั้งคนเราก็ไม่พร้อมจะยอมรับความจริงบางอย่าง ไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์ อาคม แต่…บางอย่างที่อธิบายไม่ได้จริงๆ”
“พี่ดวงกำลังบอกว่าพี่ดวงเชื่อเรื่องที่แม่หญิงไพลินอาจจะเป็นคนอื่นจริงๆ เพราะลักษณะนิสัยไม่ใช่แม่ไพลินคนเดิม และออกจะต่างกันอย่างสิ้นเชิงหรือ”
“พี่…ไม่แน่ใจว่าความจริงเป็นเช่นไร เพราะหลวงตาเองก็รับรองว่าเป็นน้องโดยนัยอยู่ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน พี่รับรู้ได้ว่านี่คือน้องสาวพี่ทั้งสิ้น เพียงแต่…ถ้าเป็นน้องอีกคน เวลาที่ผ่านมาไปรออยู่ที่ไหนถึงเพิ่งมา แล้วคนเก่า…ไปอยู่ที่ใด”
“พี่ดวง…”
แม้เป็นเรื่องลึกลับเหลือจะกล่าว ผู้สูงวัยกว่ากลับหัวเราะในลำคอ “เฮ้อ…ช่างเถอะ…พี่คงมีเรื่องกังวลเกินเหตุ ทั้งเรื่องก๊กเสือหาญที่จนป่านนี้ยังจับมันไม่ได้ ทั้งเรื่องอะไรอีกมากมายจนทำให้ฟุ้งซ่านไป”
“นั่นสินะขอรับ เรื่องเจ้าของจดหมายที่มาบอกกระผมว่าหลวงตาท่านธุดงค์อยู่ที่ไหนยังไม่กระจ่างว่าเป็นใคร แปลกจริงๆ”
“ใช่…ตอนนี้ชีวิตเรามีแต่เรื่องแปลก แต่ก็หวังว่าจะเป็นเรื่องแปลกแต่ดีนะ” ผู้เป็นพี่ถอนหายใจ มองไปยังฝั่งน้ำที่ไกลออกไป ซึ่งมีเรือพายของพวกแม่ค้าและชาวบ้านแล่นผ่านหน้าไป
สายตาของหลวงเสนากลับไปสะดุดอยู่ที่คนที่อยู่บนเรือลำเล็กซึ่งกำลังแล่นผ่านมาทางคุ้งน้ำด้านหน้า
บนเรือบรรทุกของพวกผลไม้และกระจาดต่างๆ เต็มลำ กระแสน้ำตรงนั้นค่อนข้างแรง แต่คนพายก็ไม่ย่อท้อ แขนเล็กๆ พยายามพายสู้กับกระแสน้ำอย่างแข็งขัน แม่ค้าตัวบาง ใบหน้าหวานนั้นย่อมก่อเกิดความตรึงตราแก่ผู้พบเห็น
ขุนอรรถเองก็ขยับเข้ามาใกล้
“นั่นพี่นวลนี่ขอรับ” แม้ไม่มีเสียงตอบ แต่เขาย่อมรู้ว่าหลวงเสนานั้นรับทราบแล้วเช่นกัน
สายตาของชายหนุ่มผู้พี่จับจ้องอยู่ที่แม่ค้าหน้าหวานคนนั้นซึ่งดูละมุนละไมไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคงทำให้คนบนเรือต้องเงยหน้าขึ้นตามสัญชาตญาณ มือที่กำลังพายจ้ำอยู่ชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่ามีใครยืนอยู่ริมฝั่งน้ำ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาพายเรือของตนออกห่างไปอย่างรีบเร่ง
ขุนอรรถไม่เอ่ยอะไรเป็นการรบกวนหลวงเสนาซึ่งมองตามเรือขายของลำนั้นไปจนลับตา รอยปวดร้าวจางๆ แฝงอยู่ในดวงตาสีเข้มคู่นั้น
“ไปเถอะพ่ออรรถ เดี๋ยวจะสาย” เสียงของหลวงเสนาแผ่วเบาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินนำหน้าไปตามทางเดินสู่สถานที่จุดหมายปลายทาง แม้ไม่เอ่ยอะไร หากชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าย่อมทราบดี ถึงกระนั้นก็ทำได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบๆ ด้วยความรู้ใจ
หญิงสาวยืนมองอ่อนที่กำลังรวบรวมดาบไม้ตามที่ซ่อนต่างๆ หล่อนช่วยกวาดใบไม้ตรงลานที่เคยตั้งใจว่าจะเอาไว้ซ้อมดาบ ทำกันสองคนเพราะไม่อยากให้บ่าวคนไหนมายุ่ง ไม่ใส่ใจที่อ่อนบอกว่าจะทำเอง จะให้นั่งมองเฉยๆ ก็รู้สึกผิด เป็นคนเริ่ม…ย่อมต้องเป็นคนสะสาง เสียดายตรงอุตส่าห์ให้คนช่วยกันเหลาออกมาเป็นรูปร่างคล้ายดาบจริง และน่าเสียดายที่ต้องเอาไปเผาทิ้ง
“พี่อ่อน ไหน…ส่งดาบมาให้ฉันหน่อยสิ”
“จะเอาไปทำไมเจ้าคะ เผาๆ ไปหมดก็สิ้นเรื่องแล้ว”
หญิงสาวไม่ตอบได้แต่แบมือรอ คนสนิทจึงหยิบดาบจำลองที่ดีที่สุดมาให้อย่างไม่เต็มใจนัก
ณิรชาลูบปลายดาบ นึกสนุกขึ้นมาหลังจากที่เฉาไปหลายวัน ต้นกล้วยที่อยู่รอบข้างยังขึ้นแข็งแรง ออกแรงดูสักหน่อยจะเป็นไรไป หญิงสาวก้าวไปตามต้นกล้วยแล้วตวัดดาบไม้ฟันซ้ายขวา
“แม่หญิง” คนสนิทร้องเสียงดัง “อย่าทำอย่างนั้นเจ้าค่ะ เดี๋ยวมีคนเห็น” อ่อนหันไปมาอย่างหวาดระแวง
“โธ่! แค่สะบัดไปสะบัดมาเท่านั้น” ณิรชานึกสนุก ทำตัวลีบมาหลายวันแล้ว ออกแรงบ้างจะได้สดชื่นจะเป็นไรไป
ใครจะไปนึกเล่า! จู่ๆ ร่างสูงของใครคนหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากพุ่มไม้ และคนที่เห็นแต่ไกลก็คืออ่อน
แม่พี่เลี้ยงหมดแรง ใครมาเห็นก็ไม่น่าเกรงเท่าขุนอรรถ!
“แม่หญิง ท่านขุนอรรถ…เจ้า…ค่ะ”
คนที่โผล่ออกมาหยุดมองแล้วขมวดคิ้วพลางนึกในใจ ว่าแล้ว! ผิดเสียที่ไหน ลุกได้เดินได้ประเดี๋ยวก็กลับเป็นอย่างเดิม เห็นแวบๆ ว่าท่าฟันต้นกล้วยนั้นดูน่า ‘อนาถตา’ นัก
ร่างบางได้ยินอ่อนเอ่ยชื่อขุนอรรถก็ชะงักไปเหมือนกัน หล่อนหันขวับมาพร้อมกับซ่อนมือที่ถือดาบเอาไว้ข้างหลัง
เห็นตำตาอย่างนี้จะปิดได้อย่างไร…
ณิรชากัดริมฝีปาก ทำไมหนอ ต้องมาเจอคู่กรณีอย่างนี้ด้วย เขาเป็นคนที่หล่อนไม่อยากให้มาเห็นเป็นที่สุด!
ขุนอรรถส่ายหน้าก่อนจะเดินตรงมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง โครงหน้าที่ดูดุดันอยู่แล้วยิ่งดูกระด้างไปใหญ่
ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินถอยกรูด นึกว่างานเข้าเสียแล้ว เขาเป็นพวกผู้ชายโบราณหัวเก่ายิ่งกว่าพี่ชายของหล่อนเสียอีก อย่างนี้คงต้องไปฟ้องผู้ใหญ่แน่ๆ แล้วคุณหญิงผู้เป็นมารดาก็คงจะไม่สบายใจ
หล่อนโทษตัวเองที่ไม่น่านึกสนุก รั้นกับคำเตือนของพี่เลี้ยงจนเป็นเหตุให้ต้องมาจับดาบไม้ให้คนนอกเห็น
“ฉัน…ฉันแค่มาดูแถวนี้เท่านั้น ขุนอรรถ…อย่าไปฟ้องคุณแม่เลยนะ ฉันขอร้อง” หล่อนบอกหวาดๆ ชำเลืองไปทางอ่อนซึ่งมอบกระแตอยู่ใกล้ๆ หน้าซีด
นี่คงทำให้เดือดร้อนอีกคน คราวนี้คงไม่พ้นหวายแน่ๆ เพราะคนอย่างขุนอรรถหรือจะยอมรอมชอมให้ เจอกันแต่ละทีก็ทำหน้าบึ้งเสียงเขียวตลอด มาดีๆ กันก็ไม่กี่ครั้งตอนที่ณิรชาซึมเศร้าหรือป่วยเท่านั้นแหละ
เรื่องฝึกดาบนี้เขาเองออกท่าไม่เห็นด้วยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หนำซ้ำยังมีเรื่องไม่ชอบกันมาแต่เก่า คราวนี้เป็นโอกาสดีที่จะได้แก้แค้นเชียว คงไม่ปล่อยให้หล่อนทำตามอย่างใจหรอก
“คิดว่าเราจะปากโป้งขนาดนั้นเชียวหรือ” นั่นไง! เสียงเข้มขุ่นคลั่กทีเดียว ไม่อยากฟังเป็นที่สุด
หญิงสาวไม่ตอบ ยังคงซ่อนดาบไม้ไว้ข้างหลังเช่นเดิม รู้ทั้งรู้ว่าดาบมันไม่ใช่สั้นๆ และขุนอรรถเองก็ตาไวจะตายไป
ชายหนุ่มคงเห็นหล่อนยืนเฉย “เอ้า! ยืนเฉยทำไมเล่า แม่หญิงไพลิน เมื่อครู่เห็นเจ้าฟันดาบซ้ายป่ายดาบขวาอยู่นี่นา”
ณิรชาออกจะโกรธนิดๆ ที่ดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายเยาะเย้ยหรือท้าทายกันแน่ ฟังดูไม่คล้ายอะไรเลยสักอย่าง
เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ต่อความ ขุนอรรถจึงเดินไปยังแคร่ที่อ่อนอยู่ ปลดดาบคู่กายวางไว้แล้วหยิบดาบไม้อีกเล่มขึ้นมาแทน
“เอ้า! มา! เอาอย่างที่เจ้าซ้อมกับแม่หญิงจันทร์เมื่อคราวก่อน” เขาเดินมายืนประจันหน้า ตั้งท่าดาบอย่างคนมีวิชาที่แท้จริง
“ทำไมฉันต้องทำอย่างที่ขุนอรรถบอกให้ทำด้วย ขุนอรรถจะแกล้งฉันแล้วไปฟ้องคุณพ่อคุณแม่ พี่ดวงอีกคน ใช่ไหม”
ชายหนุ่มกลับหัวเราะเยาะ ดูถูกเสียอีก “โธ่เอ๊ย! แล้วจะกลัวอะไร อย่างนี้เรียกว่าไม่แน่จริงนี่นา ถ้าทำได้แค่หลบๆ ซ่อนๆ ฟันกล้วยในสวนก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเสียเวลาฟ้องให้เปลืองแรงหรอก”
เขาเยาะเย้ย! จริงๆ ด้วย ร่างหนาเป็นกำแพงเดินเข้ามาหาแล้วท้าทายโดยการแตะปลายดาบมาที่บ่าด้านที่ห่มสไบของหล่อน
“หน็อย!” โดยสัญชาตญาณนั่นแหละที่ทำให้ณิรชาเบี่ยงตัว ถอยหลังแล้วใช้ดาบในมือปัดออกแล้วตวัดซ้ำตอบโต้ ซึ่งขุนอรรถเองก็ยกดาบขึ้นรับทันทีแล้วรุกตีอย่างช้าๆ หากแต่ละครั้งที่ฟันลงมาบังคับให้หญิงสาวต้องตอบโต้และป้องกัน
ยามเมื่อดาบปะทะ แขนของหล่อนจะสะเทือนไปตั้งแต่มือจรดไหล่ ทั้งๆ ที่เห็นชัดว่าเขาออกแรงเบาๆ แท้ๆ
นี่เป็นแค่ดาบไม้เท่านั้นนะ ถ้าเป็นดาบจริงจะเป็นอย่างไร
เขาคงมีฝีมือจริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถยั้งดาบได้ทันก่อนที่จะฟันแขนของหล่อนขาดไปในคืนนั้น และเขาก็คงทั้งโกรธทั้งโมโหมากทีเดียว
เพราะแรงโต้ตอบจากดาบในมือของขุนอรรถกระตุ้นแรงอยากเอาชนะขึ้นมาจนได้ หญิงสาวนึกถึงสิ่งที่แม่หญิงจันทร์สอนเมื่อคราวล่าสุด ถึงแม้ไม่มีพื้นฐานแต่ฝ่ายนั้นยังชมเปาะว่ามีพรสวรรค์ การต่อสู้ในเชิงดาบใช่ว่าจะเอาแต่ฟันซ้ายป่ายขวาอย่างที่ถูกแดกดันได้
“ออกแรงอีกหน่อยสิ แรงแค่นี้อย่าคิดว่าจะฟันต้นกล้วยได้” ปากพูด แขนก็ขยับ ทำให้ชักรู้สึกว่ากำลังถูกสอนมากกว่ากำลังต่อสู้กัน
“ฟันมาทางขวา ตรงนี้” หลายครั้งที่คนตัวโตขยับท่าทางให้ดูเป็นตัวอย่าง
ณิรชารู้สึกเหนื่อยจนลิ้นห้อย แต่ไม่กล้าอุทธรณ์ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ตั้งใจจริง ไม่อยากเสียฟอร์มด้วย เสียอย่างเดียว ขณะที่หล่อนเหนื่อยแทบขาดใจ ขุนอรรถยังคงยืนรับดาบของหล่อนด้วยมือเดียวเฉยๆ ไม่มีแรงตก ไม่มีเหงื่อให้เห็นสักเม็ด ยิ่งยามที่สะบัดมือตอบโต้กลับรุนแรงกว่าดาบไม้ในมือของหล่อนหลายเท่าตัว
ถ้าเป็นหนังจีนก็ต้องบอกว่านี่แหละกำลังภายในของแท้
“วันนี้พอก่อน” จู่ๆ ขุนอรรถก็รามือ ทำให้ณิรชาแอบดีใจเป็นที่สุด เพราะถ้าหากนานกว่านี้หล่อนคงขาดใจตายเป็นแน่แท้ หญิงสาวเอาดาบไม้ค้ำยันกับพื้นกันล้ม แวบหนึ่งหล่อนเห็นยิ้มขันจากคนที่มักตีหน้าเคร่งขรึมอยู่เป็นนิจ
“แม่หญิง เหนื่อยหนักเลยนะเจ้าคะ” อ่อนกระวีกระวาดเอาน้ำมาให้…ขุนอรรถ!
“เอาให้นายหญิงของเจ้าเถอะ เราจะไปหาพี่ดวงแล้ว” เสียงของเขายังนิ่งสนิท ไม่มีอาการเหนื่อยหอบเลย
ผิดกับณิรชา ถึงแม้จะไม่พอใจที่อ่อนเอาน้ำไปให้ขุนอรรถก่อนแต่ยังพูดอะไรไม่ออก เพราะที่จริงจะหายใจก็ยังไม่ทัน…ลิ้นห้อย จะเอาปัญญาที่ไหนมาดื่มน้ำ!
หล่อนอยู่ในร่างของแม่หญิงไพลินผู้ซึ่งเพิ่งจะหายจากป่วยไข้ หนำซ้ำยังไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ไม่ใช่ร่างกายณิรชาในโลกข้างหน้า หล่อนจึงไม่อยากโอดครวญให้เสียฟอร์ม
“แต่รอให้หายเหนื่อยกว่านี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะสำลัก” ประโยคหลังไม่ทราบว่าบอกใคร ชายหนุ่มเดินกลับไปเอาดาบของตัวเองที่แคร่แล้วทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ…ขุนอรรถ” หญิงสาวรีบเรียกรั้งเอาไว้ ค่อยบรรเทาความเหนื่อยลงไปได้บ้าง
“ขุนอรรถ…จะ…ไปบอกคนที่บ้านไหม”
“ทำไมเจ้าคิดว่าเราจะไปฟ้องเล่า แม่หญิงไพลิน” คนต้องตอบกลับถามย้อน ดูท่าจะยังอารมณ์ดีอยู่ ไม่เสียงเขียวหน้ายักษ์เข้าใส่เหมือนทุกที
“ขุนอรรถไม่ชอบให้ผู้หญิงจับดาบนี่ ท่านเองไม่เคยเห็นด้วยกับฉัน ว่าไม่งามอย่างโน้น ไม่งามอย่างนี้”
คราวนี้ชายหนุ่มกลับหัวเราะในลำคอราวกับว่าสิ่งที่ได้ฟังช่างน่าขำนัก “ใช่ล่ะ มันไม่งามสำหรับผู้หญิงในรั้วในวัง” คำตอบชัดเจนของเขาทำให้หล่อนใจแป้วไปถนัด
“แต่ทว่า…ในเมื่อใจรักในทางนี้จริงๆ ก็ถือเป็นวิชาหนึ่งที่กันคนรังแกได้ แต่ก็นั่นแหละนะ ใช่ว่านึกอยู่ดีๆ จะมาฟันดาบเล่น ต้องมีครูสอน ผู้เรียนเองก็ต้องมีมานะอดทน แรกๆ อาจจะเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน แต่แท้จริงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นานๆ ไปถึงจะร้องไห้ขอกลับเข้าวังก็คงทำไม่ได้แล้ว”
“ฉันไม่ทำอย่างนั้นแน่”
“อ้อ…” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะเดินจากไป คงไปหาคู่หูซึ่งคือพี่ชายของหล่อน
ณิรชาทิ้งตัวลงบนแคร่ ขนาดฝึกที่บ้านยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลย แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนไปหาครู ในโลกแห่งนี้ต่อให้มีเงินกองไว้ตรงหน้า ถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต ครูดีๆ ที่ไหนใครเขาจะกล้าสอน ที่ขุนอรรถช่วยแนะนำให้ก็แค่คงอยากให้ลองเล่นจะได้สมใจอยาก การฝึกดาบจริงๆ ต้องฝึกพื้นฐานหลายอย่างก่อนที่จะจับดาบจริงเสียด้วยซ้ำ
“แม่หญิงเจ้าขา…” อ่อนขยับเข้ามาแทรกขณะที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ
“แม่หญิงลืมอะไรไปหรือเปล่าเจ้าคะ” พี่เลี้ยงคนสนิทผู้กำความลับของหล่อนเอาไว้มากหลายทั้งโดยเต็มใจและโดยถูกบังคับเอ่ยขึ้น
“ลืมอะไร” หญิงสาวหน้าตาเหลอหลา หันซ้ายหันขวาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าลืมอะไร
“แหม…แม่หญิงยังไม่ได้ขอบคุณขุนอรรถสักคำ ทั้งตอนท่านมาท่านไป แม่หญิงก็ไม่ได้ไหว้ท่าน ไม่งามเลยนะเจ้าคะ”
ณิรชาย่นจมูก “เหอะ…ตอนนี้เขาไปแล้วนี่นา”
“ไม่ดีนะเจ้าคะ” พี่เลี้ยงลากเสียงหนัก สายตาคาดคั้นเล็กๆ เสียด้วย
“ท่านอุตส่าห์มีน้ำใจ”
หญิงสาวถอนหายใจ ก็ธรรมเนียมไทยโบราณนี่นา ขืนเป็นอย่างยุครัตนโกสินทร์ปีที่หล่อนจากมาสิ ถ้ามัวแต่มายกมือไหว้กันเสียทุกรอบคงไม่ทันกิน แต่จะว่าไป หล่อนก็ทำเพิกเฉยจริงๆ นั่นแหละ
ควรต้องขอบคุณขุนอรรถที่มาเป็นคู่ซ้อมทำให้เหงื่อออก สบายกายสบายใจขึ้นมามากโข
“เอาเถอะๆ ฉันกลัวพี่อ่อนแล้ว” หล่อนลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก จะว่าไปก็เคยดีๆ กันเสียที่ไหน
“รีบไปเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวเก็บข้าวของเหล่านี้ก่อน รีบไปไวๆ เถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวไม่ทันกันพอดี คราวหลังท่านไม่มาสอนให้อีกนะ” อ่อนมัดมือชกแล้วรุนหลังแม่หญิงไพลิน หญิงสาวจึงจำใจรีบสาวเท้าตามไป ขุนอรรถขายาวเดินเร็วไม่น้อย ช้าไปหน่อยไม่ทันใจเลยต้องเร่งเท้าเป็นวิ่ง
“ขุนอรรถ!” หล่อนออกแรงวิ่งเมื่อเห็นหลังหนาลับเสาเรือนอยู่ข้างหน้า จนพ้นเสาเรือนต้นเดียวกับที่ขุนอรรถเพิ่งผ่านไปได้ชั่วครู่ถึงต้องเบรกตัวโก่ง เมื่อพบว่าหลวงเสนาพี่ชายกำลังคุยกับเขาอยู่พอดี
“อะไรกันไพลิน เป็นผู้หญิงวิ่งมาทำไม ไม่งามนะ ค่อยๆ เดินก็ได้” พี่ชายเอ่ยเตือนพร้อมกับสายตามีคำถาม เพราะสภาพที่ดูยุ่งเหยิงของหล่อนอันเนื่องมาจากการประดาบกับคู่หูของเขาเมื่อครู่
หญิงสาวรู้สึกตัวถึงเปลี่ยนมาทำเจี๋ยมเจี้ยม
“เอ้อ…ฉันแค่มาดูว่ามีใครไปบอกพี่ดวงแล้วหรือยังว่าขุนอรรถมา ถ้ายังไม่มีฉันจะได้ช่วยจัดการให้” หล่อนแก้ตัวพัลวัน หวังว่าคนดีของแม่อ่อนคงไม่เปิดโปงกันหรอกนะ
“เพิ่งเจอกันเมื่อครู่นี่เอง มาก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวพี่จะขึ้นไปเอาของบนเรือนแล้วจะออกไปบ้านเจ้านายสักหน่อย เจ้าอยู่ทางนี้ให้บ่าวเอาน้ำเอาท่ามาให้ขุนอรรถด้วย” หลวงเสนาคงลืมไปแล้วกระมังว่าเดิมเพื่อนรุ่นน้องและแม่น้องสาวไม่ถูกกันเสียยิ่งกว่าขมิ้นกับปูน
“ค่ะ” ณิรชายิ้มหวานให้พี่ชายแล้วเลยมายิ้มประจบให้คนตัวโต
ลับหลังหลวงเสนา คนเป็นแขกจึงมองมาที่หล่อนเป็นเชิงถามว่า “มีอะไร”
หญิงสาวรู้สึกเขินเป็นกำลังจนต้องจับชายสไบมาบิด ก้มหน้ากระมิดกระเมี้ยน “เอ่อ…คือว่า…”
“เมื่อครู่ที่ขุนอรรถสอนดาบฉันน่ะ ฉันขอบคุณมากนะ” เสียงที่เปล่งออกไปค่อนข้างจะค้างอยู่แค่ในลำคอ
“อะไรนะ” คำถามกลั้วหัวเราะราวกับเรื่องที่หล่อนพูดมันช่างน่าขำเสียเต็มประดา นี่แหละที่ทำให้ขัดใจจนอดไม่ได้ที่จะทำตาวาวเข้าใส่
“ก็บอกว่าขอบคุณนะ” หล่อนหน้ายุ่ง เพราะแม่อ่อนพี่เลี้ยงตัวดีแท้ๆ เชียว คราวนี้ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบมา
“ไม่เป็นไร” ดูสิ ยืนกอดอกเป็นผู้มีชัยเชียว
“ไม่รู้ล่ะ ฉันขอบใจแล้วนะ อย่าไปฟ้องคนในบ้านล่ะ แล้วก็…เดี๋ยวจะไปบอกบ่าวเอาน้ำมาให้”
พูดจบก็วิ่งตื๋อจนสไบปลิวอีกรอบ ไม่รู้ไม่สนว่าใครจะมาว่าไม่งามอีกแล้ว
เหอะ…ขุนอรรถคงพออารมณ์ดีอยู่หรอก ได้รับคำขอบใจจากคนที่ไม่ค่อยจะดีๆ กันอย่างแม่หญิงไพลินคนนี้ ทำเอาคนที่มองตามยิ้มแล้วส่ายหน้า
อารมณ์ขบขันนั้นคงอยู่จนหลวงเสนาลงมาแล้วเปรยว่า
“วันนี้พ่ออรรถไปเจออะไรมาหนอ ดูอารมณ์ดีเสียจริง”
บทที่ 10 พลางนิมิต
ส่วนณิรชาน่ะหรือ หล่อนขึ้นไปนั่งรอพี่เลี้ยงอยู่บนบ้าน อ่อนตามมาหลังจากที่หญิงสาวสั่งคนในบ้านให้เอาน้ำไปรับรองขุนอรรถเรียบร้อยแล้ว
“ดีแล้วเจ้าค่ะ เราเป็นผู้น้อยกว่า” พี่เลี้ยงกล่าวชมเชย
“เชอะ… แล้วขุนอรรถว่าอย่างไร” ณิรชาทราบว่าอ่อนต้องทันสวนทางกับเพื่อนรุ่นน้องของพี่ชายอยู่แล้ว
“ท่านว่า แม่หญิงของบ่าวคงฟื้นไข้แล้วจริงๆ” อ่อนไม่ได้ขยายความหรอกว่าได้เห็นขุนอรรถยิ้มกว้างอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“เขา…ดูมีน้ำใจนะ” อดไม่ได้ที่จะยอมรับ อย่างน้อยหญิงสาวก็ใจนักเลงพอ
“บ่าวบอกแล้ว…คุณพี่ของแม่หญิงไม่นิยมสุงสิงกับคนไม่ดีหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นจะต้องนิสัยออกป่าฝ่าดงสงครามรบกันมาแต่คราวก่อนหรือเจ้าคะ”
“ขุนอรรถเขาหน้าดุ ชอบทำรำคาญฉันอยู่ร่ำไปนี่นา” หญิงสาวหาข้อติจนได้
“แต่เอาเท้อ…ฉันจะพยายามทำดีๆ กับขุนอรรถก็แล้วกัน” หล่อนรีบบอกเมื่ออ่อนทำท่าไม่เชื่อ
“ถ้า…เขาสอนฉันฟันดาบอีกนะ” ตั้งเงื่อนไขเอาไว้ก่อนเผื่อทำไม่ได้
ถึงกระนั้นขุนอรรถก็ไม่ได้พบกับแม่หญิงไพลินอยู่ในสวนหลังบ้านอีก เนื่องจากณิรชาเองต้องระวัง จะมานั่งเฉพาะเวลาที่คุณหญิงเอนหลังหรือออกไปข้างนอกเท่านั้น ส่วนเรื่องเข้าวังนั้นคงต้องพิจารณาใหม่แล้วกระมัง
จะทำอย่างไรได้ ทั้งที่จริงเดิมแม่หญิงก็มีเพื่อนสาวมาเยี่ยมเยียนอยู่บ้างซึ่งเป็นเพื่อนที่เคยคบหาสนิทสนมกันตอนอยู่ในพระราชวังหลวง หล่อนได้อาศัยเก็บข้อมูลจากพวกเขาเรื่อยๆ หากต่อมาเพื่อนกลุ่มนั้นกลับไม่ไปมาหาสู่ บ้างก็ว่าแม่ไพลินเปลี่ยนไปบ้าง เป็นคนบ้าพูดจาเลื่อนเปื้อนบ้าง กลายเป็นนิสัยไม่ต้องกันเสียแล้ว
แม่หญิงไพลินคนเก่ารักที่จะพูดคุยเรื่องเย็บปักถักร้อย การแต่งตัว งานกุลสตรีซึ่งเป็นเรื่องที่นิยมกันว่าเป็นเรื่องของสตรีสูงศักดิ์ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าหล่อนได้เป็นถึงคนโปรดระดับต้นๆ ที่ต้องคอยถวายงานฝ่ายในอย่างใกล้ชิดและทำได้อย่างเรียบร้อย การจะคบหาเพื่อนฝูงก็ต้องเป็นเพื่อนที่ได้รับการยอมรับเสมอตนเท่านั้น
พอตาลปัตรมาเป็นณิรชาซึ่งพูดคุยไม่รู้เรื่อง คนที่เคยคบหาก็ตีตัวออกห่าง ถ้าจะให้พูดจริงๆ น่าจะเป็นเพราะหลายคนคงตระหนักแล้วแม่หญิงไพลินไม่สามารถก้าวหน้าในการเป็นนางในได้อีกแล้ว และคงไม่ได้เป็นคนโปรดของสมเด็จอีกต่อไป เรื่องแบบนี้คงมีคนไปทูลสมเด็จผู้เป็นนายแล้ว
แต่กระนั้นกลับมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งมาแทน คุยกันรู้เรื่องมากกว่า จะเรียกว่าหล่อนเปลี่ยนเพื่อนก็ว่าได้ ก็จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อณิรชาเองก็พอใจกับเพื่อนปัจจุบันที่ดูมีน้ำใสใจจริงมากกว่า
ส่วนญาติพี่น้องยิ่งไม่ต้องพูดถึง แม่หญิงไพลินตอนนี้กลายเป็นที่รักใคร่ของพี่น้องมากขึ้น เพราะไม่ถือตัวว่าบิดามารดาถือยศศักดิ์ใหญ่โตกว่าเช่นแต่ก่อนที่จะป่วย หนำซ้ำตอนนี้หญิงสาวได้รับบทเรียนเรื่องการทำอะไรเกินความพอดี จึงรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว ทำตัวเป็นไม้อ่อนดัดง่าย ยิ่งหล่อนเป็นเด็กสาวก็ดูไม่น่าเกลียด
แต่เรื่องยากก็มีเช่นการร้อยมาลัยอันเป็นด่านแรกที่ต้องทำเพื่อเอาใจคุณหญิงผู้เป็นมารดา ให้ร้อยแบบธรรมดาก็พอไหว แต่พอทราบว่าเป็นศาสตร์ที่กุลสตรีต้องทำได้ และพวงมาลัยก็ไม่ได้มีแต่แบบเดียวเสียที่ไหน ในระยะเวลาอันสั้นจะให้หล่อนร้อยมาลัยได้ดีเทียบเท่ากับระยะเวลาการฝึกฝนของแม่หญิงไพลินคงไม่ใช่เรื่องง่าย
เมื่อคุณหญิงเข้าวังในวันนี้ ณิรชาเลยให้อ่อนเอาถาดดอกไม้ไปนั่งร้อยกันที่สวนประจำ จะเรียกว่าเป็นสวนลับก็ว่าได้เพราะมีบ่าวไพร่ไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบริเวณนี้
“เฮ้อ! เจ็บนิ้วไปหมดแล้ว” หล่อนถอนหายใจ วางมือจากพวงมาลัยที่ตั้งใจร้อยมาได้สักหน่อยหนึ่งแล้ว
“ทำอย่างไรก็ยังไม่มีเค้าเป็นรูปกระรอกสักที” หญิงสาวยื่นนิ้วไปให้พี่เลี้ยงดู “นิ้วฉันพรุนไปหมดแล้ว”
“อดทนหน่อยสิเจ้าคะ ประเดี๋ยวก็เก่งเอง”
“ฉันคงตายก่อนเก่งแน่เลย” ณิรชาโอดครวญก่อนจะได้รับการค้อนควักจากอ่อน
“ใครเล่าไปสัญญิงสัญญากับคุณหญิงเอาไว้ว่าจะพยายามทำพวงมาลัยงามๆ ให้ท่านถวายพระ” อ่อนท้วงเมื่อเห็นนายทำท่าจะถอดใจ
“ฉันรู้หรอกน่า” หญิงสาวถอนหายใจ “ฉันต้องพยายามอยู่แล้ว ไม่อยากให้คุณแม่เกลียดไม่รับเป็นลูกเอา ยิ่งไม่เหมือนแม่ไพลินลูกของท่านคนเก่าเสียด้วย”
“เอาอีกแล้ว!” แม่อ่อนปรี๊ดขึ้นมา
“พูดอย่างนี้อีกแล้ว! บ่าวล่ะไม่อยากฟังเชียว คนเก่าคนใหม่อะไรกัน!” พี่เลี้ยงมีน้ำเสียงไม่ชอบใจจริงๆ หลังจากอาการป่วย แม่หญิงของเจ้าหล่อนยังคงยืนยันว่าตัวเองไม่ใช่แม่หญิงไพลินอยู่พักใหญ่ ทำเอาแม่พี่เลี้ยงร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร กลัวว่านายหญิงจะเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ณิรชาเลยขี้เกียจพูดมาก นอกจากนานๆ จะเท้าความสักทีเป็นเชิงล้อเล่นเสียมากกว่า
ร่างเล็กๆ ขยับเข้ามาใกล้ มือหยาบจับมือของแม่หญิงไพลินไปลูบแล้วบีบเบาๆ อย่างทะนุถนอม ด้วยรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นบ่าวไพร่ไม่บังควรตีตนเสมอ ตั้งแต่ได้เข้ามาเป็นบ่าวขัดดอกจนล่วงเลยมาป่านนี้ ด้วยเพราะเป็นคนที่ดูฉลาด สะอาดสะอ้าน ท่านเจ้าคุณจึงมีคำสั่งให้มีหน้าที่เป็นผู้ดูแลแม่หญิงไพลินตัวน้อยมาโดยตลอด
ถึงนายหญิงของตนจะร้ายกาจกับใครต่อใครหน้าไหนก็ตาม แต่กับแม่อ่อนแล้ว แม่หญิงยังรักใคร่และเชื่อฟังอยู่มากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งมาระยะหลังๆ นี้ อ่อนยิ่งรู้สึกถึงความสำคัญของตนอยู่ไม่น้อย ความรักและความผูกพันที่มีมากกว่าเดิมนั้นอ่อนสามารถรับรู้ได้
“จะคนเก่าคนใหม่ก็แม่คุณของบ่าวนั่นแหละเจ้าค่ะ ไม่มีเปลี่ยนแปลงหรอก ยังไงบ่าวก็รักแม่หญิงของบ่าวคนนี้”
ณิรชาเองใช่ว่าจะไม่รับรู้ แม่อ่อนคนนี้ไม่ใช่หรือที่ติดตามหล่อนไปในโลกข้างหน้า จะใช่หรือไม่ใช่ก็ดูเป็นคนเดียวกันอยู่ดี ความผูกพันเริ่มต้นตรงไหนไม่ทราบหรอก ทราบแต่เพียงว่าความผูกพันนั้นได้หมุนวนเป็นวงกลมรายล้อมชะตาชีวิตของพวกหล่อนทั้งสองเอาไว้เสียแล้ว
“แหม…พี่อ่อนจ๋า” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะสวมกอดร่างที่เล็กกว่านั้น
“ฉันก็รักพี่อ่อนนะจ๊ะ ไม่ใช่รักอย่างนายบ่าว แต่รักดั่งพี่สาว เพื่อน มิตรรักที่เสมอและเท่าเทียมกันทุกประการ ถ้าฉันไม่ได้พี่อ่อนเกื้อกูลในตอนนี้หรือตอนไหน ฉันก็คงเคว้งคว้างเหลือเกิน” กับพรรณพิลาศ น้อยครั้งที่จะแยกจากกัน ณิรชาอยู่อเมริกาไม่นานพรรณพิลาศก็ตามไปสมทบ ถึงยามอยู่ห่างไกลแค่ไหน เมื่อไหร่ที่หล่อนต้องการ เพื่อนรักก็จะมาอยู่เคียงข้างในทันที
“อุ๊ย! บ่าวไม่กล้าหรอกเจ้าค่ะ” อ่อนบอกเขินๆ ที่แปลกใหม่คือแม่หญิงไพลินหาได้ถือตัวต่างศักดิ์กับบ่าว นำพาซึ่งความปีติและซาบซึ้งอย่างล้นเหลือมาให้
“ฉันถือว่าพี่อ่อนเป็นกัลยาณมิตรของฉัน และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไปนะจ๊ะ” ณิรชาบีบมือเล็กแน่น ความดีของพรรณพิลาศคงส่งผลให้เจ้าตัวได้รับผลบุญในวันข้างหน้า เพื่อนของหล่อนถึงได้กำเนิดมาในชาติตระกูลที่ดี มีความสุข และได้รับสิ่งดีๆ ตลอดมา
“โถ แม่คุณของบ่าว” พี่เลี้ยงเอาชายผ้าซับน้ำตาด้วยความซาบซึ้งใจ
“พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่เอง” ร่างสูงเพรียวของหลวงเสนาสรศักดิ์เดินผ่านดงกล้วยเข้ามาในอาณาเขตของน้องสาวที่ซุกซ่อนเอาไว้เป็นที่ซ้อมดาบมาแต่เดิม
หญิงสาวสองคนถึงได้รีบเอาผ้าซับหัวตา
“อ้าว! โศกเศร้าเรื่องอะไรกัน ถึงมานั่งน้ำตาเป็นเผาเต่าเช่นนี้ …หรือว่าคุณแม่ดุอะไรเจ้าอีก” พี่ชายมานั่งใกล้ๆ แล้วถามไถ่จริงจังเมื่อเห็นรอยน้ำตา ปลายเสียงทอดอ่อนด้วยความห่วงใยยิ่ง
“บอกพี่สิไพลิน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เปล่าหรอกค่ะพี่ดวง ฉันกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระกับพี่อ่อน บางเรื่องก็อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง”
“อืม ดีแล้ว” พี่ชายมีสีหน้าโล่งใจ หากสายตาไม่วายเพ่งพิศ
ณิรชามองหาอีกคนที่มักจะติดกันเป็นตังเมไม่ยอมห่าง “ขุนอรรถล่ะคะ”
“เอ้า! สังเกตด้วยหรือ วันนี้พ่ออรรถไปธุระกับเจ้าคุณพ่อของเขา ไม่ได้มาหรอก”
“แล้วพี่ดวงเพิ่งกลับมาจากทิมดาบหรือคะ คุณพ่อกับคุณแม่ก็ไม่อยู่ค่ะ”
“อืม…พี่ทราบแล้ว เห็นคุณพ่อว่าจะเข้าวังไปกับคุณแม่เหมือนกัน กลับมาเห็นที่บ้านไม่มีใครอยู่ ถามบ่าว ท่าทางมันก็พิกลอยู่ อ้ำๆ อึ้งๆ พี่เลยพอเดาออกว่าน่าจะอยู่ที่นี่”
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ หันไปสบตากับอ่อน ก็หล่อนสั่งพวกบ่าวเองว่าถ้ามีคนถามให้รีบวิ่งมาบอก แต่ก็เถอะนะ พี่ชายของหล่อนไม่ใช่คนเขลาสักหน่อย
“เจ้านะ…ไม่คิดจะเข้าวังจริงๆ หรือ ข่าวว่าสมเด็จท่านทรงถามถึงเจ้าทุกครั้งที่คุณแม่ไปเฝ้า”
หญิงสาวหน้าจ๋อย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากคิดเลย “ถ้าฉันหายดีแล้ว ตั้งใจว่าจะไปกราบสมเด็จท่าน แต่ฉันขอเวลาอีกหน่อยเถอะนะ เพราะว่ากำลังขอให้เพื่อนๆ ที่อยู่วังมาสอนเรื่องพิธีการในนั้น เพราะฉันจำอะไรไม่ได้เลย ที่รีรอไม่ไปอยู่นั่นก็เพราะเกรงว่าจะทำให้สมเด็จท่านไม่พอพระทัยแล้วจะทรงกริ้วมาถึงคุณพ่อคุณแม่”
หลวงเสนาพยักหน้าเห็นด้วย เขาทราบดีที่สุดแล้วว่าความจำของน้องสาวมันหายไปหมดสิ้น และไม่มีทางที่จะฟื้นคืนกลับมาเป็นอย่างเดิมได้ นอกจากจะพยายามใส่ความทรงจำเก่าๆ เข้าไปใหม่เท่านั้น ดีอยู่ก็แต่ว่าแม่หญิงไพลินคนนี้จดจำอะไรได้รวดเร็วราวกับสมองมีช่องว่างอยู่มากมาย
“แล้วร้อยมาลัยเป็นอย่างไรเล่า ดูสิ มือเป็นแผลหมด พี่เคยเห็นเจ้าตอนเด็กๆ เอาผ้ามาพันที่ปลายนิ้วเอาไว้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้นเล่า”
ณิรชารู้สึกแปลกที่หลวงเสนามาชวนคุยเรื่องผู้หญิงๆ แบบนี้ เขาอาจจะร่าเริงและอ่อนโยนต่อเพศตรงข้าม แต่ใช่ว่าจะใส่ใจกับเรื่องจุกจิกแบบนี้
หญิงสาวมองหน้าขาวที่หัวเราะเบาๆ พี่ชายคนนี้เป็นชายหนุ่มรูปงาม ยิ้มสวยและดูสดใส
ในยุคที่แท้จริง หญิงสาวไม่มีพี่ นอกจากน้องๆ ต่างบิดามารดา พี่น้องในความหมายของหล่อนคือพรรณพิลาศกับพันรบ หากนับตั้งแต่รับรู้ว่าหลวงเสนาสรศักดิ์คือพี่ชาย ณิรชาก็ปักใจคิดเสมอว่านี่คือพี่ชายแท้ๆ ที่คลานตามกันมาจริงๆ
“จะจับดาบซ้อมได้ไหมนี่” จู่ๆ เขากลับโพล่งขึ้นมา
ณิรชาถึงกับตาโตจ้องมองดูผู้สูงวัยกว่าด้วยความไม่แน่ใจ อ่อนอีกคน ท่าทางอึ้งๆ ไม่รู้ว่าเจ้านายจะมาไม้ไหน
“ว่าอย่างไร เจ้าอยากซ้อมดาบกับพี่ไหมล่ะ วันนี้พี่ว่างแล้ว แล้วตอนนี้ก็ปลอดคนดี ให้พี่สอนเจ้าเอาไหม” ปลายประโยคทอดอ่อนราวกับหลอกล่อน้องน้อย
ถ้าเปรียบสภาพจิตใจของหล่อนที่คล้ายกับดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวเฉา คำชวนของเขาก็ทำให้ดอกไม้นั้นฟื้นคืนขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “จริงหรือเปล่า” ณิรชาเขม้นมองคาดคั้น
พี่ชายไม่ตอบ กลับหันไปทางแม่อ่อนที่กระตุกสไบเตือนณิรชา “อ่อน ไปเอาดาบไม้มาให้เรากับแม่หญิงหน่อย มีไม่ใช่รึ”
“เจ้า…ค่ะ” ถึงอย่างไรพี่เลี้ยงคนสนิทก็ต้องทำตาม จึงรีบกระวีกระวาดไปหยิบดาบไม้ที่บ่าวทำเอาไว้ให้
“มีใครไปคุยอะไรกับพี่ดวงหรือเปล่า” หญิงสาวยังไม่ไว้วางใจ
“ใคร…ใครจะมาบอกพี่ พี่แค่เห็นเจ้านั่งหน้าหงอยไม่ได้ซุกซน ที่จริงถ้าจะฝึกดาบจริงๆ ต้องมีพื้นฐาน ต้องไหว้ครู แต่เอาเถอะ…ถ้ามีเวลามากกว่านี้พี่จะสอนให้ ไปเรียนข้างนอกไม่ได้ก็เรียนในบ้านนี่ งูๆ ปลาๆ ก็ช่างก่อน” คำตอบของหลวงเสนาไม่มีอะไรแอบแฝงจริงๆ หวังว่าขุนอรรถคงไม่ปากโป้งไปบอกพี่ชาย ย่อมถือว่านี่เป็นความเมตตาของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่
ดังนั้นทั้งๆ ที่ยังสวมสไบอยู่ ณิรชาก็สนุกสนานกับการฝึกซ้อมดาบพื้นฐานที่หลวงเสนาเป็นผู้กำกับ ไม่ใช่สักแต่ใช้แรงอย่างที่เคยมีคนค่อนแคะ
“เจ้ามีฝีมือด้านนี้อย่างที่แม่หญิงจันทร์ว่าไว้จริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยปากชมเชยเมื่อหญิงสาวพลิกดาบเข้ารับและจู่โจมกลับ
หล่อนนึกกระหยิ่มใจหน่อยๆ ที่จริงเคล็ดนี้ขุนอรรถสอนให้เมื่อวันก่อนหรอก
หลวงเสนาคงจะสอนหล่อนได้อีกพักใหญ่ถ้าบ่าวที่สั่งเอาไว้ไม่มาแจ้งว่าท่านเจ้าคุณกับคุณหญิงกลับมาแล้ว และกำลังถามถึงลูกชายลูกสาวทั้งสอง
“ตายล่ะ! ทำไงดี คุณแม่มาแล้ว” ณิรชาหน้าตื่น หล่อนซ้อมฟันดาบกับหลวงเสนาจนเหงื่อออกมาหมดทั้งตัวแล้ว
“นั่นสิเจ้าคะ จะเอาอย่างไรดี” อ่อนก็ดูกังวลเหมือนกัน แต่พี่ชายกลับไม่ได้แตกตื่นตาม
“ไม่ต้องกลัว ท่านอาจจะสงสัย แต่คงไม่ถามอะไรมาก” เขาบอกอย่างใจเย็น “ไปหาท่านก่อน แล้วค่อยปลีกตัวไปธุระอื่นๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่ดี”
ณิรชาตัดสินใจเชื่อหลวงเสนา ดังนั้นเมื่อขึ้นเรือนมาท่านเจ้าคุณถึงกับร้องทัก
“ลูกสาวของพ่อไปทำอะไรมาถึงได้เหงื่อซ่กขนาดนั้น”
“ลูกอยู่ข้างหลังบ้านโน่นแน่ะค่ะ พอบ่าวไปบอกก็เลยรีบวิ่งมา กลัวว่าคุณพ่อคุณแม่จะรอนาน” ไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย หากขยักความจริงไว้บ้างเท่านั้น
“คราวหลังเดินมาก็ได้ วิ่งอย่างนี้…ไม่งาม” คุณหญิงบอกพลางหยิบห่อผ้าสีเข้มมาส่งให้
“แม่เข้าไปในวังมา ขากลับเห็นมีคนมาขายผ้าสวยๆ งามๆ นึกได้ว่าเจ้าไม่ได้มีผ้าใหม่มานานแล้ว”
หญิงสาวคลานไปกราบที่ตักมารดา เท่าที่รู้หีบผ้าของแม่หญิงไพลินมีผ้าหลากสี ดูอย่างไรก็ใช้ไม่หมด แต่ของที่แม่ซื้อให้ หล่อนย่อมดีใจเป็นธรรมดา
“คุณแม่มีของมาให้น้องคนเดียวหรือขอรับ” หลวงเสนาตามมาภายหลังเห็นเข้าจึงร้องท้วงเย้ามารดา
“ย่ะ! ก็พ่อโตแล้วนี่นา เบี้ยหวัดรายปีก็มี”
“ใช่แล้ว อย่างนี้ต้องให้เบี้ยหวัดน้องด้วย ขอเป็นรายวันนะ” หล่อนแบมือเสริมสำทับ
คราวนี้พี่ชายแสร้งถอนใจตัดพ้อ “ลูกนี่โชคร้ายจริงๆ….พ่อแม่มีสมบัติเท่าไหร่ก็ยกให้น้องหมด ไม่เห็นเหมือนบ้านอื่นที่ให้ลูกชายก่อน”
“ก็ฉันไม่สบายนี่ ร่างกายก็อ่อนแอปานนี้”
“อ้อ… อย่างนั้นหรอกหรือ” หลวงเสนาทำเสียงเป็นนัยคล้ายกำความลับกันอยู่
ท่านเจ้าคุณโบกมือ “เอาล่ะ อย่ามาอิจฉาน้องเลย ถ้าอยากให้แม่โปรดเยอะๆ ก็รีบหาสะใภ้มาให้แม่เขาสิ เข้าวังคราวนี้เห็นว่าไปเจอคนงามเข้าถูกอกถูกใจนักหนา”
“จริงหรือเจ้าคะคุณแม่ แม่หญิงคนไหนหนอจะมาเป็นพี่สะใภ้ของฉัน”
ณิรชาพลอยอดตื่นเต้นไม่ได้ แต่ไม่คิดว่าหลวงเสนาสรศักดิ์จะโพล่งปฏิเสธขึ้นมา
“กระผมยังไม่อยากมีขอรับ ยังไม่พร้อม” เสียงของเขาทำให้หล่อนผิดสังเกตนัก ยังจะทำหน้าขรึมแปลกๆ อีก
“แล้วจะรอถึงไหนล่ะพ่อดวง อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ บวชเรียนก็บวชแล้ว ลูกชายบ้านอื่นเขามีเมียสองเมียสามกันไปแล้ว” และยิ่งแปลกใหญ่เมื่อเสียงมารดาชักเสียงขึ้นเล็กๆ ราวกับเรื่องที่พูดนั้นมีเบื้องหลังกันอยู่
“คุณหญิง ลูกบอกว่ายังไม่อยากแต่งก็ให้รอไปก่อนเถอะ” เมื่อท่านเจ้าคุณเตือน ผู้เป็นมารดาถึงได้เบาลงไป เพิ่งจบเรื่องลูกสาว คงไม่อยากมีเรื่องกับลูกชายให้กลุ้มใจ
“ฮึ…อิฉันเห็นว่าแม่กัณหานั้นงามนัก กิริยาไม่มีที่ติ อิฉันก็ชอบๆ กันอยู่กับคุณหญิงประไพ เกรงว่าจะหลุดมือไป คราวก่อนก็ทีหนึ่ง แม่ไม่ได้บังคับหรอก เพราะสัญญาไว้แล้ว แต่อยากขอให้ตามแม่ไปเยี่ยมบ้านเขาสักครั้งเผื่อพ่อจะเปลี่ยนใจ ไปกับแม่สักครั้งไหมลูก น้องนี่งามพร้อมจริงๆ ข่าวว่าท่านเจ้าคุณไพศาลท่านร่ำๆ อยากได้ไปเป็นสะใภ้เหมือนกัน” ปลายประโยคจึงใช้ไม้นวมมากกว่า
“กระผมว่าเอาไว้ก่อนดีกว่าขอรับ ไพลินเองก็เพิ่งหายป่วย” หลวงเสนายกหล่อนเข้ามาอ้างเฉย
คุณหญิงกลับไม่ยอมแพ้ลากหล่อนเข้าเป็นพวกอีก “ไพลิน เจ้าคงอยากได้พี่สะใภ้ดีๆ ใช่ไหม แม่กัณหาน่ะลูกเองก็เคยเจอ อยากได้มาเป็นพี่สะใภ้ไม่ใช่รึ”
ตกหนักที่หล่อนเสียแล้ว! ภาษารัตนโกสินทร์ก็ต้องเรียกว่างานเข้า! อยากเอาใจคุณหญิงก็อยากเอาใจ แต่ทราบดีว่าไม่ตรงกับนิสัยเรื่องจะฝืนใจใครให้รักใคร อีกอย่างถ้าเรื่องนี้แม่หญิงไพลินเข้าข้างมารดา ต่อไปคนที่จะมีปัญหาอาจจะเป็นหล่อนเองก็ได้ บังคับพี่ได้ก็ต้องบังคับน้องได้ เกิดจู่ๆ จะให้หล่อนไปแต่งกับใครก็แย่สิ ตื้นลึกหนาบางเป็นอย่างไรไม่ทราบล่ะ หญิงสาวตัดสินใจอยู่ทีมเดียวกับชายหนุ่มดีกว่า
“ลูกคิดว่า สุดแท้แต่ใจพี่ดวงดีกว่า ให้พี่ดวงเลือกเองเถอะค่ะ อีกอย่างหนึ่ง ถ้าพี่ดวงรักใคร ลูกก็จะรักด้วยค่ะ ลูกเชื่อว่าพี่ชายของลูกเป็นคนเก่ง จะต้องตาถึงเลือกคนดีมาเป็นสะใภ้ให้คุณพ่อคุณแม่ได้แน่ๆ” หล่อนตอบอย่างมั่นใจจริงจัง
“ไพลิน!” คนที่เรียกชื่อหล่อนคือหลวงเสนาซึ่งมีแววตาไม่คาดฝัน
“เอาล่ะสิ คุณหญิง พี่น้องเค้าอยู่ข้างเดียวกันเสียแล้ว…” เสียงเจ้าคุณพ่อหัวเราะร่วน “แล้วจะทำอย่างไร”
“จะทำอย่างไรล่ะเจ้าคะ” ผู้เป็นภรรยาค้อนกลับวงโต
“รู้ดีอยู่ว่าแม่ไพลินไม่สบายอยู่ สติสตังเลยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว พูดจาเลื่อนเปื้อน เลอะเลือน” คุณหญิงหยิบพัดขึ้นมาโบกอย่างอารมณ์เสียเล็กๆ
“กระผมเคยเห็นแม่กัณหาแล้วนะขอรับ เคยได้ปราศรัยกันบ้างแล้ว เห็นว่างามพร้อมจริงแต่ไม่ได้คิดเป็นอื่น” ชายหนุ่มออกตัวเอาใจมารดา
“โอ๊ย! ตามใจเถอะพ่อดวง สองคนพี่น้องไปไหนก็ไปเถอะ ขัดตา!” ผู้เป็นมารดาโบกมือเพราะเห็นว่าจบเรื่อง ไม่ได้ดั่งใจสักคน!
“ขอรับ” ชายหนุ่มยิ้มรับคำก่อนจะสะกิดกันออกมา
“ไพลิน พี่ขอบใจเจ้านะที่ช่วยพี่”
“ฉันก็เห็นว่าไม่ได้พูดผิดตรงไหนนี่ ตอนนี้เรื่องแต่งงานอาจจะกำหนดโดยพ่อแม่เป็นส่วนใหญ่ แต่…อนาคตไม่ใช่อย่างนั้นหรอก อีกอย่างฉันก็พูดเผื่อตัวเองด้วย”
ชายหนุ่มมีสีหน้าฉงน
“เผื่อฉันโดนจับแต่งงานจะได้มีคนช่วยพูดให้ฉันด้วยไง” หล่อนทำเสียงกระซิบกระซาบแล้วหัวเราะซุกซน
“เจ้านี่ ไม่สบายเอามากๆ” หลวงเสนาโคลงศีรษะ แล้วแยกเข้าไปในส่วนพักผ่อนของตัวเอง ปล่อยให้ณิรชายังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์อยู่ดี
อ่อนยังนั่งพับผ้าอยู่ในห้องรอแม่หญิง จึงเป็นโอกาสดีที่จะรับฟังข้อสงสัย พอณิรชาเล่าจบก็เหมือนหล่อนจะเข้าใจเรื่องทั้งหมด “มันก็…เอ้อ อย่าเพิ่งคิดมากเลยเจ้าค่ะ เดี๋ยวจะปวดหัว เอาไว้หายดีก่อนแล้วก็จะค่อยๆ เข้าใจเองแหละเจ้าคะ” พี่เลี้ยงบอกสั้นๆ
ยามค่ำคืน เมื่อทุกคนเข้านอนกันหมดแล้วแต่ณิรชายังนอนไม่หลับ หญิงสาวเซ้าซี้แม่อ่อนให้ออกมานั่งตากลมที่ชานกลางบ้านเหมือนเช่นเคยทำ เอาเทียนขี้ผึ้งมาตั้งสองสามอัน คนที่นี่ทำเทียนกันเองทั้งนั้น แท่งเทียนเบี้ยวๆ ไม่ได้เป็นแท่งสวยงามเหมือนอย่างในยุคที่จากมา
หญิงสาวจุดไฟให้สว่างหน่อยแล้วนั่งดูดาวที่พราวอยู่บนฟ้า นึกเสียดายที่ไม่มีแผนที่ดูดาว แต่ความรู้บางอย่างก็อยู่ในสมอง พอจำได้บ้างว่าดาวอะไรอยู่ที่ไหน ท้องฟ้าของอยุธยายามค่ำคืนที่มีเพียงแสงดาวนั้นงามนักจนคนกรุงเทพฯ ยุครัตนโกสินทร์ต้องอิจฉาทีเดียว
เสียงพายเรือกระทบน้ำดังแผ่วๆ จากคลองด้านหน้า ไม่นานนักฝีเท้าคนเดินขึ้นเรือนก็ดังเบาๆ อย่างคนที่มักระมัดระวังตนอยู่เสมอ ทั้งณิรชาและอ่อนต่างหันไปมองโดยอัตโนมัติ ร่างเพรียวของเจ้าของเสียงปรากฏขึ้นเห็นเป็นหลวงเสนาสรศักดิ์ แต่งเครื่องแต่งกายแบบชาวบ้านธรรมดา หากในมือมีดาบพ่วงอยู่ คงออกไปลาดตระเวนจับโจรกับคู่หูตามเคย
“ไพลิน นี่ดึกแล้วยังไม่นอนอีกรึ” หลวงเสนาทัก เขาคงชินแล้วที่เห็นน้องสาวมานั่งกินลมชมวิวแบบนี้
“วันนี้ฉันนอนไม่หลับค่ะ พี่ดวงออกไปตอนไหนคะ ฉันไม่ยักทราบ”
“พอเริ่มจะหายดีแล้ว เจ้าก็เริ่มออกไปนอกบ้านบ้างแล้ว จะมีกะจิตกะใจมาสนใจพี่อย่างไร” ชายหนุ่มพูดไปอย่างนั้น ดีแล้วที่เจ้าหล่อนหายจากอาการเศร้าซึม ค่อยๆ กลับมาร่าเริง ยอมออกไปไหนมาไหนบ้าง
“แหม…ฉันไม่ได้ออกไปไหนมากมายหรอก แค่หลบไปอยู่ข้างหลังบ้านก็เท่านั้น” หญิงสาวค้อน
“ไม่รู้ล่ะ ขืนให้เจ้ารู้ตัว แล้วเกิดแอบตามพี่ออกไป เดี๋ยวก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีก จะไม่ได้แค่แผลติดตัวมาอย่างเดียว ดูเถอะ มีรอยติดแขนอย่างนี้ หมดงามกันพอดี”
“โธ่! ถ้าเป็นดาบขุนอรรถฉันก็จะใช้ยาขุนอรรถนั่นแหละทา หายดีจริงๆ นะคะ แทบไม่มีแผลเป็นเลย”
หล่อนพลิกแขนข้างที่เคยถูกฟันให้พี่ชายดู หลวงเสนาดูเอาใจไปอย่างนั้น ไม่เห็นหรอก เพราะแสงจากเทียนนั้นสลัวรางเกินไป
“ฉันอยากออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ไปตรวจตราอยุธยาเหมือนพี่ดวงสักครั้ง” ลองแหย่ดูสักครั้งเผื่อฟลุก
“โอ๊ะ! ไม่ใช่ธุระของผู้หญิง อย่าทำเล่นไปเหมือนคราวที่แล้วอีก”
“โธ่! เห็นใจฉันเถิด พี่ไม่เมตตาฉันก็หมดทาง ถ้าให้อยู่แต่ในบ้าน ฉันคงบ้าตาย ฉันอยากฟันดาบ อยากขี่ม้า แต่พี่ก็รู้ ฉันเกรงคุณแม่จะโกรธไม่รับฉันเป็นลูกอีก”
คราวนี้หลวงเสนาทอดเสียงอ่อนปลอบโยน “ไม่มีอย่างนั้นอีกแล้ว เจ้าเองก็อย่าทำให้คุณแม่อารมณ์เสีย พักนี้ท่านสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เจ้าจะกลายเป็นอกตัญญูไป”
“ฉันรู้ดี ถึงได้พยายามให้คุณแม่ท่านพึงใจที่สุด แต่ทว่า…อยุธยายังเหลือเวลาอีกสักเท่าไหร่กัน สิ่งที่ทุกคนเห็น ความสนุกสนาน ความเจริญรุ่งเรืองเป็นเพียงภาพลวงตา พี่ดวงไม่คิดหรือว่าอีกไม่นาน…พวกพม่าจะกลับมาอีก และเรา…จะไม่มีวันสงบสุขเหมือนเดิม ฉันหมายถึงเรา…ทุกคน” ณิรชาอดไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะพูดออกไป หล่อนคิดว่าอย่างน้อยก็ควรมีคนตระหนักถึงเรื่องนี้บ้าง
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ “ไพลิน เจ้ารู้อะไรมาหรือ ผู้ใดมาพูดอะไรให้เจ้าฟัง เจ้าไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับพี่มาก่อน และเจ้า…ไม่น่าจะใส่ใจเรื่องนี้ถึงเพียงนี้”
“ฉัน…แค่…พูดเรื่อยเปื่อย…ตามประสา เห็นไหม ให้นอนมากๆ ก็คิดมาก ฟุ้งซ่าน ความจำเสื่อม” หญิงสาวโคลงศีรษะแล้วตอบเลี่ยงกึ่งประชด พลางนึกทอดถอนใจ
เวลา…นับวันจะน้อยลงไปทุกที
“เจ้านี่เพ้อเจ้อไปใหญ่แล้ว แม่หญิงที่ไหนเขาคิดอย่างนี้กัน หน้าที่ผู้หญิงต้องอยู่บ้าน ทำหน้าที่ดูแลบ้านไม่ให้บกพร่อง”
“พี่ดวงน่ะ หัวโบราณ” พูดไปหลวงเสนาก็เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายโบราณจริงๆ อยุธยาตอนปลาย…
“หัวโบราณ” ชายหนุ่มทวนคำแล้วโคลงศีรษะบ้าง
“เอาเถอะๆ พอหายดีก็กลับมาเป็นอย่างเดิม ดึกแล้ว ไปนอนเสียเถอะ… ประเดี๋ยวน้ำค้างจะลงหนักกว่านี้ เจ้าจะพานไข้กลับมาอีก”
“แต่…”
“ไม่ง่วงก็สงสารอ่อนเถอะ นั่งสัปหงกแย่แล้ว” คราวนี้เขาเสียงเข้มจนณิรชาต้องจำยอม มือใหญ่หนักวางบนศีรษะของน้องสาว
“ไพลิน เจ้ารักษาตัวให้ดีเถอะ ตั้งแต่เจ้าหายดีขึ้นมา พี่ก็มีความสุข ตอนเด็กๆ เจ้าน่าเอ็นดูนัก พี่ดีใจจริงๆ และไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไป”
หญิงสาวมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก
“…แม้ว่าสิ่งนั้นจะแลกด้วยความสุขของพี่ดวงอย่างนั้นหรือคะ” หล่อนถามด้วยความไม่รู้ความ เพราะที่ผ่านมา ณิรชาเห็นแต่คนส่วนใหญ่ล้วนเห็นแก่ความสุขของตนเองก่อนทั้งนั้น คนที่แข็งแรงกว่าย่อมเอาเปรียบผู้น้อยกว่าอยู่เสมอ
ว่าตามจริงแล้วยังไม่เคยเห็นพี่ชายคนไหนดีกับน้องเท่าหลวงเสนาเลย ไม่ว่าจะเป็นยุคนี้หรือยุคที่จากมา
“ความสุขของพี่คือการขอให้เจ้าหายป่วยอย่างไรเล่า”
แต่ก่อนณิรชารับรู้ว่าผู้ชายไทยในยุคก่อนๆ มักมองเห็นผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งของที่มีชีวิต ต้องให้ผู้ชายเป็นผู้ลิขิต ไม่มีการยกย่อง ไม่มีความเห็นใจ ที่ไหนได้ ในซอกมุมหนึ่งของประวัติศาสตร์ ผู้หญิงยังมีความสำคัญต่อความเป็นไปของผู้ชายเช่นกัน
หญิงชายจะเท่าเทียมกันอาจไม่ใช่เพราะยุคสมัย แต่เป็นเพราะสำนึกในจิตใจที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลาของพวกเขามากกว่า
บางอย่างที่เห็นรอยขมขื่นของคนพูด บางอย่างที่ซ่อนความทุกข์เอาไว้ อะไรที่ซ่อนอยู่หนอ…หลวงเสนาผู้สง่างาม ไม่ว่าหน้าที่การงานหรือฐานะบรรดาศักดิ์ ความสำเร็จ เขาล้วนมีพร้อม จะมีสิ่งใดเล่าที่จะทำให้มีทุกข์หลังรอยยิ้มใจดีอยู่เป็นนิจ
“อ่อน…” หลวงเสนาสรศักดิ์เรียกแม่อ่อนที่เผลองีบสัปหงกไปแล้ว
“พาแม่หญิงไปนอนได้แล้ว ขืนตามใจกันอย่างนี้ ถ้าแม่หญิงเป็นอะไร ข้าจะโบยเจ้า”
“เจ้าค่ะ…” แม่อ่อนรับคำไปอย่างนั้น รู้ทางกันอยู่ หลวงเสนาสรศักดิ์หาเคยโบยบ่าวไพร่โดยไร้สาเหตุไม่ ต้องสืบสาวราวเรื่องจนกระจ่างแจ้งเหมาะสมทุกกระบวนความ แต่ว่า…ก็ยังไม่มีใครกล้าทำให้ท่านโกรธาสักที
พักฟื้นได้ไม่กี่วันณิรชาก็ขออนุญาตคุณหญิงไปกราบหลวงตาน้อย ตอนแรกผู้เป็นมารดาไม่ค่อยอยากให้ไปนัก แต่พอเข้าใจอยู่ว่าชีวิตของลูกสาวนั้นถูกท่านเกื้อกูลเอาไว้หลายครั้ง
หญิงสาวคลานเข้าไปกราบภิกษุที่นั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พยายามทำเสียงให้เงียบที่สุดเพื่อไม่เป็นการรบกวนหลวงตาน้อยมากเกินไป ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถ้าไม่ได้ท่าน หล่อนคงระเห็จไปอยู่นอกชายคาบ้านท่านเจ้าคุณแล้ว
“หลานสบายดีแล้วเจ้าค่ะ ขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตา”
ดวงตาที่มองมามีกระแสสุขุม “อยู่ไปก่อน ดวงชะตาเจ้ายังไม่ถึงเวลา”
“แต่…” หญิงสาวเหลียวมองอ่อนและบ่าวคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“แม่หญิงไพลินตัวจริงล่ะเจ้าคะ อยู่ที่ใด…” หญิงสาวลดเสียงลง “ทำไม ไม่กลับมาสักที”
“อืม…” พระภิกษุผู้ทรงศีลถอนหายใจ
“คนเรา…เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วก็ต้องจากไป”
“หมายความว่า…”
“อย่างที่เข้าใจ… เจ้าเอง…คนที่อยู่ต้องใช้สติ พิจารณาให้มาก บางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้” ท่านพูดเหมือนมาอยู่ตรงกลางความคิดของหญิงสาว
ในเมื่อหล่อนข้ามเวลามาที่นี่ พร้อมกับรู้ว่าในกาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาก็น่าจะสามารถป้องกันเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นได้ และจะได้ไม่มีใครสูญเสียคนที่รักไปกับสงคราม
“แต่…หลวงตาเจ้าขา ในเมื่อเรารู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว และถ้าพยายามแก้ไข หรือหาทางป้องกันเอาไว้ก่อน อาจจะทำให้เราสามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นดีได้ไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
คราวนี้มีรอยยิ้มเมตตาจากผู้ทรงศีล “และ…อาจจะเปลี่ยนจากเรื่องดีๆ ไปเป็นเรื่องร้ายๆ ก็ได้เช่นกัน ทุกอย่างมีที่มาและที่ไป เจ้าจงระลึกไว้ให้ดีนะ แม่ไพลิน”
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ ตามหลักวิทยาศาสตร์ย่อมเห็นจริงอย่างท่านว่าเช่นกัน หากหล่อนยังรู้สึกขัดแย้งในใจ ทำไมจะแก้ไขไม่ได้ สักนิด…ก็ยังดี
“เอาเถอะ ไปตรองก่อนแล้วจะรู้” ท่านคงทราบว่าณิรชาต้องการทำอะไร
“ถ้าอย่างนั้น หลานมาอยู่ที่นี่เพื่ออะไร หลานมองไม่ออกเลยว่ามีเหตุอะไรที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้”
“แรงบุญแรงกรรมที่ทำสร้างสมกันมาเป็นวัฏจักร หาใช่จะหลุดพ้นกันได้ง่ายๆ คนเราต่างมีกรรมผูกพันกันมา เป็นวงล้อใหญ่เล็กไม่เท่ากัน บางวงมาเพื่อบรรจบให้สูญสิ้น บางวงมาเพื่อสร้างวงต่อๆ ไป”
หญิงสาวไม่สบายใจนัก ในเมื่อแม่หญิงไพลินนั้นสิ้นอายุขัยไปอย่างที่หลวงตาท่านว่าจริงๆ ส่วนวิญญาณของณิรชาก็มาอยู่ในร่างนี้ แล้วณิรชาในโลกข้างหน้าเล่าจะเป็นอย่างไร
หล่อนทำบุญทั้งกรวดน้ำให้แม่หญิงไพลินเป็นพิเศษ เผื่อว่าภพชาติข้างหน้าจะได้มีโอกาสเจอะเจอกัน
ขากลับอ่อนคงเห็นแม่หญิงของตนนั่งเหม่อมองบ้านเรือนริมตลิ่งที่เรือผ่านตามริมทาง ปกติจะกระตือรือร้นถามนั่นถามนี้ แต่วันนี้พอกลับจากวัดแล้ว แม่หญิงไพลินก็นิ่งเงียบ
“คุยอะไรกับหลวงตาหรือเจ้าคะ” คนสนิทถามอย่างเกรงใจ มาวัดด้วยทีไรไม่เคยรู้เรื่องที่นายคุยกับผู้ทรงศีลแม้แต่น้อย
“ไม่มีอะไรหรอก” แม่หญิงไพลินตอบเช่นนี้ทุกที
พักนี้แม่หญิงเองนอกจากวัดแล้วก็ไม่ออกไปเพ่นพ่านที่ไหนอีก ส่วนเรื่องฟันดาบฟันพร้าก็เก็บงำเอาไว้ตัดใจเผาไม่ลงเสียอย่างนั้น อ่อนจึงได้ให้คนไปคอยปัดกวาดเอาไว้แล้วถือว่าเป็นที่ลับส่วนตัวของนายหญิง ช่วงนี้นับว่าพี่เลี้ยงคนสนิทมีเรื่องอกสั่นขวัญแขวนน้อยลงกว่าเดิมนัก หาก…เป็นอย่างนี้ แม่หญิงไพลินก็ดูเหมือนเศร้าซึมลงไป นี่คงนับวันรอที่จะเข้าไปในวัง อ่อนก็จนใจ ด้วยทุกอย่างเป็นเรื่องของเจ้านาย
เรื่องบางเรื่องไม่ใช่จะปิดกันได้มิดตลอด สำหรับคุณหญิงพลอยศรี เมื่อมอบหมายให้แม่หญิงไพลินซึ่งยังไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าวังมาดูแลบ้านเรือนแทน ถึงลูกสาวจะบกพร่องทางด้านอื่นไปบ้าง หากสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมและจัดการ เจ้าหล่อนก็ถือว่าทำได้ดีกว่าเก่า โดยที่ท่านมิต้องเสียแรงลงไปทำเอง
บริเวณบ้านมองไปทางใดก็ดูสบายตา บ่าวไพร่เองก็เห็นว่าอยู่เป็นสุข เรื่อยไปจนถึงทาสที่ทำงานด้านอื่น
ตามวิสัยคุณหญิงไม่ใคร่ชมชอบการซื้อทาสมากนัก เพราะเห็นเป็นภาระควบคุมและต้องดูแลกันไปจนตาย ถ้าดูแลกันไม่ดีจะเป็นบาปกรรมต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เวลามีใครมาขายลูกขายหลาน ท่านจึงเรียกว่าเป็นการฝากเอาไว้ ถ้ามีอย่างไรให้มาเอาคืน หากใครคิดไถ่ตนเองท่านก็ไม่ว่า ดังนั้นท่านจึงสามารถคุมผู้คนและสร้างประโยชน์จากทรัพย์สินโดยศักดินานั้นได้โดยง่าย
เดิมแม่หญิงไพลินนั้นหาได้เข้าใจไม่ คิดว่าใช้อำนาจกำหนดคนตามอำเภอใจ แต่ท่านก็ไม่ได้แก้ไขอะไรเพราะรักลูก เห็นแม่หญิงรักษาการงานในวังแล้วก็เห็นว่างามพร้อม เป็นหน้าเป็นตา ทำสิ่งใดก็ต้องใจท่านไปหมด ท่านจึงไม่มีสิ่งใดตำหนิลูกสาวสุดที่รักตลอดมา
คงเหมือนผู้คนในยุครัตนโกสินทร์กระมัง ‘ขอให้ลูกเรียนหนังสืออย่างเดียวให้ได้ดี งานบ้านงานเรือนทั้งหมด เป็นหน้าที่ของแม่และคนรับใช้ เมื่อเติบโตมีเงินเดือนแพงๆ ก็ให้จ้างคนรับใช้มาทำแทนก็ได้’
ส่วนแม่หญิงไพลินในช่วงหลังที่ป่วยจนต้องเรียกว่าให้ทำใจอย่างที่หลวงตาบอกเสียมากกว่า แต่กระนั้น ท่านก็เชื่อว่านี่คือ ‘ลูก’ ถ้าให้เป็นสัมภเวสีอย่างที่เจ้าตัวบอกก็เชื่อได้ไม่สนิทใจ
ผีที่ไหนมาเดินเพ่นพ่านกลางแดด หนำซ้ำยังเข้าวัดเข้าวาบ่อยกว่าเดิมเสียอีก หลวงตาน้อยผู้ซึ่งเป็นญาติสนิทและเชื่อกันว่าท่านมีของดีอยู่ยังให้ความเมตตายิ่งกับหลานสาว
ถึงจะมอบหมายการงานให้แม่ไพลินไปบ้าง แต่คุณหญิงก็ไม่ได้ละวางอย่างสิ้นเชิง ยามว่างท่านย่อมเดินตรวจตราดูแลบ่าวไพร่ด้วยตัวท่านเอง สวนด้านหลังบ้านสะอาดสะอ้านดี คุณหญิงพลอยศรีจึงเดินไกลไปอีกหน่อยจนถึงสวนกล้วยด้านท้าย
“ไปถามดูซิว่ามีใครเห็นแม่หญิงไพลินบ้าง” คุณหญิงสั่งให้บ่าวไปดู เพราะท่านเพิ่งลุกจากเอนหลังมา ลูกสาวน่าจะอยู่แถวนี้
“แถวนี้บ่าวว่าไม่ทราบเจ้าค่ะ” บ่าวที่ถูกเรียกให้คอยติดตามรับใช้รายงานก้มหน้างุด
“คนทั้งคนอยู่ที่ไหนไม่รู้ พวกนี้เป็นอย่างไรนะ” คุณหญิงบ่น หาทราบไม่ว่าที่จริงบ่าวโดยทั่วไปนั้นทราบว่าแม่หญิงของตนนั้นอยู่ที่ใด เสียแต่ว่าแม่อ่อนพี่เลี้ยงกำชับเอาไว้ไม่ให้ทำรู้มาก ช่วงหลังแม่หญิงไพลินนั้นดีกับพวกตนนักจึงพากันสมัครใจที่จะหลีกเลี่ยงการบอกว่าเจ้านายคนเล็กอยู่ที่ไหน
เมื่อเดินไปถึงใกล้ดงกล้วย คุณหญิงจึงเดินเข้าไป เห็นแวบๆ ว่าต้นกล้วยตรงกลางนั้นดูบางตาไป และจริงดังคิด กลางดงกล้วยที่ล้อมรอบนั้นถูกถางจนเตียนโล่ง ปรับแต่งพื้นราบเรียบ ถ้าไม่สังเกตจริงๆ คงไม่ทันเห็น
ภาพที่ธิดาคนเล็กห่มสไบสีฟ้านั่งพับเพียบอยู่บนแคร่ มีถาดดอกไม้วางอยู่รอบตัว โดยมีบ่าวคนสนิทคอยให้ความช่วยเหลือในการร้อยดอกไม้อยู่ใกล้ๆ ทำให้หัวใจของคนเป็นแม่นั้นอ่อนยวบโดยทันที
ดงกล้วยนี้เห็นว่าเคยถูกปรับมาเป็นที่เล่นของมีคมที่ซื้อมา ยังนึกว่าจะแอบมาปัดป่ายดาบเล่น แต่ที่เห็นคือเจ้าตัวกำลังพยายามทำในสิ่งที่คุณหญิงเองก็เห็นชัดแล้วว่าไม่ถนัด
พรสวรรค์อันเป็นสิ่งที่คุณหญิงและแม่หญิงไพลินภูมิใจนักหนาและได้รับการยอมรับโดยทั่วกันได้สูญสลายไปยามเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยเสียแล้วหรือไร…
ถ้าเพื่อเพียงให้สมหน้าลูกสาวท่านเจ้าคุณ แม่หญิงไพลินก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนให้ขายหน้านัก ที่คุณหญิงรับไม่ได้น่าจะเป็นหน้าตาที่เกี่ยวกับในวังมากกว่า ท่านรู้สึกอับอายและเสียหน้าถ้าลูกสาวจะต้องถอนตัวออกมาจากการเป็นนางข้าหลวงทั้งๆ ที่เคยเป็นคนโปรด
ท่านหาได้เข้าใจไม่ ว่าเหตุใดแม่หญิงไพลินถึงได้ลืมเลือนสิ่งที่เคยเล่าเรียนมาจากในวังเสียหมดสิ้น
“กลับเถอะ” คุณหญิงสั่งให้บ่าวกลับไปยังบนเรือน เปลี่ยนใจจากการเข้าไปหาลูกสาว ท่านรอเวลาจนแม่หญิงไพลินก้าวขึ้นมาบนเรือนตามเวลาที่ควรจะเป็น
ร่างบางคลานเข้ามาหาอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยจนคุณหญิงลอบถอนหายใจ
“ไปไหนมา แม่ให้บ่าวตามหาก็ไม่เจอ” มารดาซักไซ้ไล่เลียงทำให้ณิรชาในร่างของแม่หญิงไพลินยิ้มอ่อน
“ลูกอยู่ที่ดงกล้วยเจ้าค่ะ” หญิงสาวไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปิดบังในวันนี้ ถึงจะไม่ยอมแพ้ แต่หล่อนก็ทอดอาลัยไปเสียมากแล้ว บางทีคงต้องเข้าวังไปก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง ส่วนเข้าไปแล้วจะเป็นอย่างไรก็สุดรู้
ชะรอยคำตอบของหล่อนคงทำให้ท่านพอใจไม่น้อย แววเมตตาปรากฏอยู่ให้เห็นว่า ’ลูกมิได้โป้ปด’
“แล้วเป็นอย่างไร มาลัยสองชายที่แม่สอนไป” ท่านเรียกหาการบ้านที่สอนไปเมื่อวันก่อน
ณิรชาจึงเอามาจากอ่อนแล้วเอาไปให้มารดาดูอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ลูกพยายามทำแล้วเจ้าค่ะ ไม่ยากนักหรอก แต่มือของลูกไม่เที่ยงนัก เลยยังไม่งามอย่างใจเท่านั้น”
คุณหญิงรับช่อดอกมะลิที่เสียบร้อยไม่เท่ากันและกลีบช้ำๆ ของกุหลาบ มองเห็นงานเสร็จไปเพียงครึ่งเดียว เพราะมาลัยแบบพื้นฐานที่แม่หญิงไพลินเคยเริ่มเรียนตั้งแต่วัยเยาว์กลายเป็นของใหม่สำหรับณิรชา
“เสียของไปหลายเลยเจ้าค่ะ” อ่อนอธิบายสมทบ
คงจะจริงดังว่า เห็นอยู่ว่าถาดดอกไม้ที่อยู่รอบตัวเป็นของที่ใช้เพื่อการนี้
“แต่คงถวายพระไม่ได้ เดี๋ยวชาติหน้าเกิดมาขี้เหร่” หล่อนบอกคุณหญิงเสียงอ่อย
“อืม พยายามหัดไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ทำไมไม่มาหัดใกล้ๆ แม่ มีอะไรจะได้บอกได้โดยง่าย”
“เห็นคุณแม่หลับ ลูกลงไปดูคนข้างล่างแล้ว นั่งทำอยู่ตรงนั้น ลูกว่าเงียบดีก็เลยนั่งเสียเพลิน”
คุณหญิงพยักหน้า หญิงสาวถึงขอตัวไปดูเรื่องข้าวปลาอาหารที่จะรับรองฝ่ายชายที่จะกลับบ้าน ผู้เป็นมารดามองตามหลังร่างน้อยแล้วทอดถอนใจ ท่านเองอาจจะต้องใช้เวลาในการทำใจอยู่บ้างกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ท่านเจ้าคุณเดินออกมาจากประตูข้าราชการพร้อมกับบรรดาเพื่อนรุ่นเดียวกันทั้งหลาย ออกจะนึกแปลกใจที่ลูกชายคนโตรออยู่ที่ท่าเรือที่มีบ่าวมาจอดรอ
“พ่อดวง นึกอย่างไรมาเดินอยู่แถวนี้” ท่านมีความภูมิใจกับลูกชายคนนี้เป็นพิเศษ เขาเป็นคนหนุ่มที่มีชื่อในเรื่องเป็นคนกล้า แม้จะกลัวเสียลูกชายไปในการศึกที่ผ่านมา แต่ก็ภาคภูมิใจเมื่อเขาได้กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรี
“กระผมตั้งใจกลับบ้านกับคุณพ่อโดยเฉพาะขอรับ”
“ไม่ใช่…มาดักพบแม่หญิงคนไหนหรือ” ปลายประโยคผู้เป็นบิดาลดเสียงเบาลง
“มิได้ขอรับ” ลูกชายยิ้มขรึม ทราบดีว่าท่านเจ้าคุณเองก็อยากให้เขาเป็นฝั่งเป็นฝากับแม่หญิงที่ท่านเห็นว่าเหมาะสม
“เอาเถอะ อย่าให้นานนัก แม่เขารอจะแย่แล้ว”
“เรื่องของกระผม เอาไว้ก่อนเถอะขอรับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เรื่องของแม่น้องสาวจอมยุ่งของเจ้าล่ะสิ” ท่านพูดถึงลูกสาวคนเล็กอย่างเอื้อเอ็นดู
“ถ้าอย่างนั้น… เดี๋ยวเราเดินไปดีกว่า ให้เจ้าปลั่งมันเอาเรือกลับบ้านไป ให้ไปเรียนคุณหญิงว่าเราจะกลับบ้านค่ำหน่อย”
“ขอรับ” หลวงเสนายิ้มกว้าง ให้บ่าวที่ติดตามมาด้วยจัดการเรื่องส่งข่าวถึงบ้าน
“เป็นอย่างไรล่ะแม่ไพลิน เห็นว่าไม่ป่วยไม่ไข้แล้ว ตอนนี้ก็หัดร้อยมาลัยดอกไม้กับคุณแม่”
“ตามที่คุณพ่อทราบนั่นแหละขอรับ แต่ทว่าเราแน่ใจหรือขอรับว่าการกลับไปอยู่ในวังนั้นเป็นที่ที่ไพลินควรจะไปอยู่จริงๆ”
“แม่ไพลินเขาพูดกับเจ้าหรือ”
“เปล่าขอรับ แต่กระผมดูจากที่สนทนากัน ถ้าจะให้เรียนกระผมก็เห็นใจน้อง เห็นมือไม้เป็นรอยหมด ดูหมดหวังเป็นต้นไม้เฉาไปในทันที”
“เจ้าถึงรีบมาออกหน้าแทนน้องล่ะสิ” ท่านผู้ใหญ่ดักคอเอาไว้
“ขอรับ เพราะบางทีกระผมเองก็อดเอามาจับดาบไม่ได้ ถ้าไม่มีใครก็หยิบดาบฟันไปฟันมาอยู่ที่สวนหลังบ้านคนเดียว”
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือ” ท่านเจ้าคุณถามด้วยความประหลาดใจ เคยเห็นเหมือนกันว่ากลางลานดงกล้วยนั้นราบเลี่ยน ไม่นึกว่าลูกสาวที่เกลียดการใช้แรง การต่อสู้และของมีคมจะแปรเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้
“เจ้าล่ะ อยากให้พ่อทำสิ่งใด” ท่านเจ้าคุณเป็นลูกผู้ชายและชอบพูดจาตรงประเด็นเสมอ หากที่ผ่านมาท่านละวางบางเรื่องให้เป็นของภรรยาและให้เกียรติกันและกัน อย่างน้อยคุณหญิงพลอยศรีนั้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรีของท่านเจ้าพระยาในยุคก่อนๆ และขึ้นชื่อว่างามพร้อมด้วยคุณสมบัติและรูปสมบัติ
“ขอความกรุณาคุณพ่อช่วยเกลี้ยกล่อมคุณแม่ให้ล้มเลิกการส่งไพลินเข้าวังเถอะขอรับ ไม่ต้องถึงกับไปเรียนดาบกับแม่หญิงจันทร์ก็ได้ กระผมเกรงว่าด้วยนิสัยและปากคอของไพลินในตอนนี้ อาจจะไปทำอะไรผิดพระราชอาญาแล้วเราจะแก้ไขอะไรไม่ได้ ความคิดความอ่านของแม่ไพลินตอนนี้ไม่อาจกะเกณฑ์ได้เลย เกิดจู่ๆ มาบอกว่าตนเองไม่ใช่แม่ไพลินอีก หรือ…”
หลวงเสนาไม่ได้อรรถาธิบายตั้งแต่เรื่องออกไปติดตามเขาจนถูกฟันบาดเจ็บ
“อีกอย่างไพลินมักชอบพูดเรื่องศึกที่จะมีมาข้างหน้า เรื่องที่พวกเราเองก็ยังไม่กล้าพูดมากนัก บางครั้งดูไม่ปกตินัก”
“อืม ก่อนนี้แม่น้องสาวของเจ้าหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่”
“แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วขอรับ เดี๋ยวนี้คอยสอบถามเรื่องการศึกการต่อสู้อยู่ตลอด ที่วังหลวงต่างคนก็บอกว่าพม่าจะไม่มาอีกด้วยพระบุญญาธิการ แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ขืนแม่ไพลินไปพูดเพ้อเจ้ออย่างตอนนี้จะเป็นเรื่องนะขอรับ นี่ไม่รู้ว่าไปฟังมาจากที่ไหน”
“ถ้าถึงขั้นนั้น…มันก็ดูรุนแรงอยู่”
“อีกอย่างหนึ่ง กระผมเองก็สงสารน้อง แม่ไพลินไม่ได้ทำอะไรไม่งาม เสียแต่คิดต่างไปจากที่เราเคยเห็นเท่านั้น”
“ขอพ่อคิดดูก่อนนะ ต้องตรึกตรองให้มาก พ่อกับแม่ได้ยกให้สมเด็จท่านไปแล้ว ต้องถือว่าน้องเป็นคนของในวัง หรือบางทีพ่ออาจจะไปหาหลวงตาของเจ้าสักครั้ง ดูเหมือนว่าท่านจะเมตตาแม่ไพลินกว่าแต่ก่อนนัก แม่ไพลินเองก็ไปวัดพาคนไปปรนนิบัติวัฏฐากท่านบ่อยครั้งกว่าแต่ก่อน ท่านอาจจะชี้แนะพ่อได้”
“อาจจะดีนะขอรับ ตอนที่แม่ไพลินฟื้นคืนมาครั้งล่าสุด เห็นบอกว่าหลวงตาท่านไปตาม”
ละไว้เป็นอันเข้าใจว่าสถานที่ที่ผู้ทรงศีลไปตามนั้นเป็นที่ใด
“นั่นสินะ พ่อรู้สึกประหลาดใจเรื่องนี้เช่นกัน เพราะจะว่าไปเดิมแม่ไพลินนั้นเกรงหลวงตาของเจ้านัก ไม่ใคร่ยอมเข้าใกล้ แต่พอมาช่วงหลังๆ ท่านออกจะเมตตากับน้องสาวของเจ้านัก ไว้พ่อจะหาเวลาไปหาหลวงตาเร็วๆ นี้ ตอนนี้ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับแม่ไพลิน คงมีเพียงท่านเท่านั้นที่จะช่วยชี้แนะได้”
หลวงเสนายิ้มพนมมือไหว้บิดา “นับเป็นบุญของลูกที่มีคุณพ่อที่พร้อมจะเกื้อหนุนทุกอย่าง ไพลินคงดีใจนักหากรู้ว่าคุณพ่อรักและห่วงใยเช่นนี้”
“เจ้าปากหวานเยินยอพ่อเช่นนี้ คงเพิกเฉยไม่ได้แล้วจริงๆ” ท่านเจ้าคุณตบบ่าลูกชายก่อนจะชักชวนกันกลับบ้าน
วันนี้ณิรชาทราบมาว่าท่านเจ้าคุณผู้บิดาแวะไปกราบหลวงตาน้อยที่วัดประจำบ้าน กลับมาท่านยังส่งยามาให้บอกว่าหลวงตาฝากมา หญิงสาวจึงดูแลปรนนิบัติท่านตามปกติ แต่เมื่อเสร็จธุระเรื่องข้าวปลาอาหาร หลวงเสนาสรศักดิ์กับท่านต่างหายลงเรือนไปด้วยกัน สักพักพี่ชายของหล่อนจึงขึ้นมา
“แม่ไพลิน คุณพ่อให้หาที่ท่าน้ำ” หลวงเสนาขยับเข้ามากระซิบเมื่อหล่อนจัดแจงให้บ่าวไพร่ขนสำรับลงไปที่ครัว ณิรชาจึงเดินตามพี่ชายไปยังท่านเจ้าคุณที่ยืนสูบยาอยู่
“ไพลิน มานี่สิ พ่อมีเรื่องจะถาม” พี่ชายแตะแขนเตือนเมื่อท่านพยักหน้าเรียกหล่อน หญิงสาวจึงคลานเข้าไปใกล้
ผู้เป็นบิดาลูบศีรษะ คงเป็นเพราะท่านเมตตาแม่หญิงไพลินมาก ณิรชาถึงได้รับส่วนแบ่งนั้นมาบ้าง
“ทุกวันนี้เจ้าอยู่ดีมีสุขอยู่หรือ” ถามแปลกๆ แต่หล่อนก็ต้องตอบไป
“เจ้าค่ะ ลูก…มีความสุขใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของคุณพ่อคุณแม่”
“ทั้งพ่อทั้งแม่เป็นห่วงเจ้านะ พี่ชายเจ้าก็เหมือนกัน บอกว่าฟื้นจากไข้คราวนี้เจ้าเอาแต่บ่นเรื่องที่มันล่อแหลมเรื่องบ้านเมือง เจ้ายังไม่ได้พูดกับใครพร่ำเพรื่อใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ พี่ดวงเตือนลูกแล้ว” ว่าแล้วณิรชาก็ถอนหายใจอย่างหนักอก
“คงจะเป็นเพราะลูกป่วยก็เลยพร่ำเพ้อถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง” หญิงสาวรับสมอ้าง เพราะทราบแล้วว่าพูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทองจะดีกว่า
“พ่อไปหาหลวงตามา ท่านเองไม่ได้พูดอะไรมาก พ่อเข้าใจว่าตอนที่ป่วยไข้ เจ้าอาจจะมีนิมิตบางอย่าง”
“คุณพ่อเชื่ออย่างนั้นหรือเจ้าคะ” ที่เห็นไม่ใช่นิมิตหรอก แต่เป็นการรับรู้ผ่านทางประวัติศาสตร์ที่เสริมเติมแต่งในแต่ละยุคสมัยหลังอยุธยาต่างหาก จริงบ้าง…ไม่จริงบ้าง อย่างที่คนเขาว่ากัน ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ!
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยที่หล่อนจากมานั้นเป็นของจริงแน่แท้
ผู้เป็นบิดาไม่ตอบ หากโน้มตัวลงมาถามเสียงเบา “ตอนที่เจ้าป่วยอยู่ เจ้าได้เห็นอะไรที่ไม่ควรจะเห็นบ้างหรือไม่”
“คุณพ่อ!” อยากบอกเหลือเกินว่าหล่อนไม่ได้ไปเห็น แต่หล่อนนี่แหละที่เป็นผลพวงจากอนาคต
หญิงสาวสบตากับพี่ชาย เห็นว่าเขาพยักหน้า แสดงว่าได้คุยกันแล้วกับบิดาหลายเรื่อง
“พี่เห็นว่าเรื่องใดก็ตามที่เจ้าพูดกับพี่ก็สามารถเรียนคุณพ่อได้ ท่านผ่านโลกมามากกว่าเรานะไพลิน”
“แต่ว่าลูกอาจเพียง…เลอะเลือนเพราะตกบันได เพราะเป็นไข้” หญิงสาวพึมพำ พยายามเลี่ยงเป็นอย่างอื่น
“เล่าให้พ่อฟังเถอะ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมแสดงว่าเจ้าได้รู้อะไรบางอย่าง ซึ่งมีผลจนทำให้เจ้าเปลี่ยนแปลงถึงเพียงนี้” ท่านเจ้าคุณเชื่อว่าลูกสาวของท่านอาจเกิดนิมิตพิเศษใดในยามป่วยไข้ที่ทำให้พูดจาเลอะเลือน และมั่นใจว่าหลวงตาน้อยนั้นย่อมทราบเรื่องมากกว่าท่านเป็นแน่ แต่ท่านต้องการรู้บางสิ่งให้แน่ชัดก่อนที่จะกระทำการใดต่อไป
“คุณพ่อเจ้าขา สิ่งที่ลูกพูดหรือเห็นอาจเป็นความฝันตามความบ้าบอของลูกเอง และบางอย่าง…ลูกไม่กล้าพูดไปหรอกเจ้าค่ะ…” ณิรชาพยายามที่จะหลีกเลี่ยง
“ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกพ่อหน่อยเถอะ ถึงแม้จะเป็นความฝัน เจ้าบ่นเพ้อว่าอยุธยากำลังตกอยู่ในอันตราย อยุธยาในนิมิตของเจ้า…จะเป็นเช่นไร”
หล่อนหลุบตาต่ำ สีหน้าหม่นหมอง จะบอกตรงๆ ไม่ได้หรอก อยุธยาจะล่มสลายแล้วเจริญเติบโตขึ้นมาอีกครั้งในอีกรูปแบบหนึ่ง
หลวงตาบอกว่าให้พิจารณาเอาเองว่าเรื่องใดพูดได้ เรื่องใดพูดไม่ได้ ไม่ได้ห้ามไปเสียทั้งหมด
“อยุธยา…จะไม่เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เรา…ไม่อาจเป็นเช่นนี้ได้อีกต่อไป” เสียงของหล่อนแผ่วเบาเมื่อนึกถึงภาพของซากเมืองโบราณ เจดีย์แตกหัก กลายเป็นเมืองมรดกโลกของอยุธยา
ท่านเจ้าคุณสูดลมหายใจยาว “เราผ่านวันเวลามานานนับสี่ร้อยปีกว่า สุดท้าย…เรา…จะเป็นดั่งเพลงยาวหรือไม่”
‘เพลงยาวกรุงศรีอยุธยา’ ที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเกร็ดพงศาวดารมีให้อ่านทั่วไป แต่เมื่อไม่นาน ตัวอักษรโบราณบนใบลานนั้นปรากฏให้เห็นเด่นชัดว่ามีจริง บางอย่างเป็นตามนั้นโดยนัย
หากที่จะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ ณิรชาและคนกรุงศรีอยุธยาบางกลุ่มย่อมกำลังนับวันเวลาที่จะพิสูจน์เช่นกัน
“ไม่อาจทราบได้เจ้าค่ะ ลูกเรียนได้แต่เพียงว่า ความรุ่งเรืองย่อมมีวันสูญสลาย แตกดับแล้วเกิดใหม่ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นกับอยุธยา วันแล้ววันเล่า หาได้คงรูปแบบเช่นนี้ไปตลอดกาล”
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจยาวอีกครั้ง
“สูญสลาย แตกดับ…” มองเห็นแววผิดหวังของท่านแล้วอดที่จะสำนึกเสียใจไม่ได้ ท่านเจ้าคุณเป็นคนฉลาด เพียงน้อยนิดย่อมปะติดปะต่อเรื่องได้
“แล้วสงคราม…จะเกิดขึ้นหรือไม่ ร้ายแรงเพียงไร”
“ที่ผ่านมา…ลูกเชื่อ…ว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ” หญิงสาวหลีกเลี่ยงที่จะบอกว่าเห็นหรือรับรู้สิ่งใดต่อไปอีก
จริงอย่างที่หลวงตาบอก การได้รู้หรือได้เห็น บางทีไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นนอกจากก่อให้เกิดความทุกข์
“แล้วพวกเรา บ้านของเรา”
คราวนี้หญิงสาวส่ายหน้า “ลูกไม่ทราบจริงๆ เจ้าค่ะ”
หากสิ่งใดที่เกิดขึ้นกับอยุธยา ย่อมต้องเกิดกับครอบครัวด้วยเช่นกัน แต่จะให้บอกเช่นไร ถึงตอนนั้นใครจะเป็นอย่างไร จะอยู่ที่ไหนก็สุดรู้
ท่านเจ้าคุณพยักหน้าว่าหมดคำถาม ก่อนที่จะลุกขึ้นไปยืนอยู่ริมฝั่งน้ำครู่ใหญ่
ผู้เป็นประมุขของบ้านมองไกลไปยังยอดช่อฟ้าใบระกา เพื่อนบ้าน คุ้งน้ำที่คุ้นตา ความสงบสุขนั้นเกิดขึ้นมานานแสนนานกว่าสี่ร้อยปีแล้ว… การแย่งชิงอำนาจนั้นเกิดขึ้นภายในราชสำนักมาตลอดก็จริง แต่คนกรุงศรีอยุธยายังไม่เคยประสบพบพานกับคำว่าศึกสงครามกับคนต่างชาติพันธุ์ จนกระทั่งปีที่ผ่านมา
เพียงชั่วพริบตา ความสูญเสีย ครอบครัวล่มสลาย ได้เกิดขึ้นจนตั้งตัวรับไม่ทัน
ตอนนี้ทุกอย่างกลับมาสงบสุขเช่นเดิม หากใครบ้างเล่าจะตระหนักถึงพายุใหญ่ที่กำลังก่อตัวจากแดนตะวันตก สิ่งที่ลูกสาวพูดใช่ว่าเอ่ยขึ้นลอยๆ แล้วท่านเกิดเชื่อขึ้นมาโดยไร้ซึ่งการพิเคราะห์ หากการข่าวและประสบการณ์ต่างหากที่ยืนยันกับท่านว่าสงครามที่แท้จริงกำลังจะเกิดและหาได้สิ้นสุดโดยไม่มีการสูญเสีย
“เราคงไม่สามารถอยู่กันอย่างสงบสุขอีกต่อไป” ปลายเสียงของท่านราวจะตระหนักได้ถึงภัยที่จะเกิดขึ้น
“คุณพ่อ” หลวงเสนานั้นสงสารบิดาเป็นกำลัง ศึกคราวก่อนท่านประจำอยู่ในพระนคร แต่เขาสิ… ต้องถือดาบฟาดฟันกับผู้รุกราน ได้เห็นและสัมผัสด้วยกลิ่นเลือดกลิ่นเนื้อของเพื่อนร่วมชาติปะปนกับของศัตรูเลยทีเดียว เลือดก็สีเดียวกันทั้งหมด
“รัก…สามัคคี…ความกล้าที่ไม่ประมาท จะเป็นเกราะป้องกันเราเจ้าค่ะ” หญิงสาวบอกได้เพียงนี้ หากก็รับทราบมาแล้วว่ากี่ยุคกี่สมัยที่เกิดภัยเช่นนี้ ก็เพียงเพราะชาติขาดความสามัคคีไม่ใช่หรือ…
โลกในยุคของหล่อนสื่อสารต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ภาพข่าวความแตกแยก การทำลายคนชาติเดียวกันถูกส่งกระจายไปทั่วโลกเพียงเสี้ยววินาที ณิรชาเคยนั่งร้องไห้ อ่านข้อความของผู้คนชาติอื่นวิพากษ์วิจารณ์ประเทศบ้านเกิด จะแก้ตัวอย่างไร คนชาติเดียวกัน ไม่มีใครยอมใคร ต่างอ้างว่าเป็นฝ่ายถูก ไม่ว่ายุคไหนหรือชาติไหนๆ ผลลัพธ์ก็คงไม่ต่างกัน
ถ้าการศึกยังคงเป็นสงครามแห่งการฟาดฟัน จุดอ่อนแบบนี้…สยามหรือประเทศไทยคงถูกรุมทึ้งจนสูญสิ้นแล้วอย่างแน่นอน
ทว่าในโลกอารยะข้างหน้า การรุกรานและครอบครองกลืนกินชาติแนบเนียนกว่ายุคสมัยนี้มากนัก
แนบเนียนจนไม่มีใครรู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าไทยกำลังเป็นเมืองขึ้น…ของใคร!