ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย ร้ายตรึงรัก เล่ม 1 บทที่ 4
บทที่ 4
บุรุษที่มีรูปโฉมหล่อเหลา กิริยาท่าทางเปี่ยมเสน่ห์เช่นนี้ ในใต้หล้าคงมีสตรีน้อยคนที่ไม่หวั่นไหวกระมัง หากมิใช่เพราะถูกทำร้ายจนต่ำต้อยถึงเพียงนี้ นางเองก็คงลุ่มหลงมัวเมาอยู่ในเสน่ห์ของเขาด้วยเช่นเดียวกัน
บุรุษผู้นี้บางครั้งก็เกี้ยวพาสตรีอย่างร้อนแรง บางครั้งกลับเย็นชาไร้น้ำใจ ของที่ตนเองรักชอบก็อาจจะเล่นสนุกนานหน่อย แต่เมื่อใดที่หมดสิ้นความสนใจก็จะปล่อยให้อีกฝ่ายร่วงสู่ธาราลึกอัคคีร้อน
ห้าปีมานี้ สตรีที่ถูกส่งมาให้เขาหาความสำราญที่วังแห่งนี้มาๆ ไปๆ ส่วนนางกลับไม่เคยจากไปไหน ตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ก็อยู่เคียงข้างเขาคอยจัดการดูแลธุระภายในวังเป้ยเล่อ ทอดกายอุ่นเตียงให้เขา นางเป็นสตรีข้างกายเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องชำระกายก็ถูกเรียกรับใช้อยู่สม่ำเสมอ
กงฮุ่ยหลับตาถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ วันนี้เขาทรมานร่างของนางอยู่นานพอตัวแต่ก็มิมีทีท่าจะเหน็ดเหนื่อย อีกทั้งครานี้ ความต้องการของเขาที่มีต่อนางก็ทั้งบ้าอำนาจและบังคับฝืนใจ ราวกับต้องการกลืนกินร่างของนางลงไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น บุรุษผู้นี้คิดจะทำให้นางโมโหอีกแล้วหรือไร
นางยิ้มเล็กน้อย หลายปีมานี้นางหาได้หงุดหงิดขุ่นเคืองอย่างง่ายดายเช่นในอดีตอีกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ลดละที่จะหาโอกาสกระตุ้นโทสะของนางอยู่เสมอ ขอแค่ได้เห็นนางขมวดคิ้วก็จะอารมณ์ดีไปทั้งวัน ชายหนุ่มที่จิตใจไม่ปกติเช่นนี้ยังคงปฏิบัติกับนางไม่ต่างจากเมื่อห้าปีก่อน แม้แต่ระดับความชื่นชอบก็ไม่เคยลดน้อยลง
หากให้พูดตามจริงแล้วล่ะก็การรับมือกับเขาช่างเหน็ดเหนื่อยอย่างยิ่ง มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ ด้านอุปนิสัยจะต้องมีน้ำอดน้ำทนอย่างยิ่งยวดและมีสติปัญญาเฉียบแหลมปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ ในด้านของร่างกายก็ต้องสามารถตอบสนองต่อความจู้จี้จุกจิกรวมไปถึงการเรียกร้องอย่างเอาแต่ใจของเขาได้ มีเพียงคุณสมบัติเหล่านี้เท่านั้นที่จะสามารถรองรับจิตใจที่บ้าอำนาจรวมไปถึงความใคร่ที่ไร้จุดสิ้นสุดของเขา
“ลืมตาขึ้นมา ข้าอยากให้เจ้ามองข้า!” หย่งหลินเรียกร้องอย่างร้ายกาจ
คนเผด็จการ!
นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่สะท้อนให้เห็นเป็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่มีหยดเหงื่อเกาะพราวรวมไปถึงดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความหื่นกระหาย
“ท่าน…คิดจะทำสิ่งใดอีก” ร่างของนางถูกเขาเร่งเร้าจนบิดเร่าไม่รู้กี่ครั้ง ผ่านไปกว่าครึ่งค่อนราตรี แต่บุรุษผู้นี้ก็ยังบ้าอำนาจไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ แผ่นหลังและหน้าอกของนางเปียกชุ่มไปทั้งแถบ
เขาสอดแทรกเข้ามาในกายนางอย่างไม่ออมแรงก่อนจะหยุดอยู่นิ่งๆ “ข้าอยากเห็นสีหน้าของเจ้า อยากจะรู้ว่าเจ้าคิดสิ่งใดอยู่”
“ระหว่างที่ทำเรื่องเช่นนี้…ใครยังจะคิดสิ่งใดได้อีก” นางขมวดคิ้ว คิดจะขยับร่างกายหนีแต่กลับถูกเขาคว้าจับเอาไว้แน่น
“ข้าอยากรู้ บางทีเจ้าอาจจะคิดอยากให้ข้าเลิกยุ่งกับเจ้าเสียที แต่ข้าไม่อยาก ข้าชอบมองสีหน้ารัญจวนใจของเจ้ายามอยู่ใต้ร่างของข้า” เขากระซิบข้างหูของนางอย่างมาดร้าย
คำพูดหยาบโลนเช่นนั้น แม้กงฮุ่ยไม่อยากจะเขินอายแต่ก็ห้ามไม่อยู่
“ข้าไม่เคยทำสีหน้าแบบนั้น!” นางหน้าแดงเรื่อพลางปฏิเสธเสียงดัง
“จริงหรือ” เขาแทรกกายเข้ามาอีกครั้ง ร่างของนางพลันสั่นสะท้าน สีหน้าเองก็เปลี่ยนไป
“ยังจะบอกว่าไม่เคยอีกหรือ เช่นนั้นข้าคงมองผิดไป สตรีที่ร้องขอความเมตตาก่อนหน้านี้ก็คงไม่ใช่เจ้ากระมัง” ชายหนุ่มรั้งสะโพกของนางขึ้นมาก่อนจะกระแทกลงไปราวกับจะทำโทษ
หญิงสาวแทบจะทานทนไม่ไหวแต่ยังฝืนกลั้นใจไม่ยอมลดหัวให้ง่ายๆ
ริมฝีปากบางของหย่งหลินยกยิ้มอย่างเย้ายวน เห็นหยาดเหงื่ออุ่นร้อนผุดขึ้นบนผิวพรรณขาวผ่องกับจมูกจิ้มลิ้มของนาง กลีบปากสีแดงที่นางขบเม้มเอาไว้สั่นระริกด้วยความหวามไหว ทรวงอกชูชันเย้ายวนใจคนคู่นั้นก็แดงระเรื่อขึ้นด้วยความเขินอาย เมื่อถูกรุมเร้าด้วยความปรารถนาและความสุขสม หญิงสาวก็ถูกร่างกายของตนเองทรยศอีกครั้ง ส่วนเขาก็ยิ่งเปรมปรีดิ์
ความจริงแล้วหลายปีที่ผ่านมานางเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย ร่างกายไม่เพียงเติบโตเปี่ยมเสน่ห์ อุปนิสัยเองก็มั่นคงยิ่งขึ้น แต่ไม่ว่านางจะใช้สีหน้าเรียบเฉยเช่นใดเผชิญกับเขา เขาก็ยังคงมองเห็นความร้อนรนของนางได้อยู่ดี ดังนั้นยิ่งเขาเอาแต่ใจบ้าอำนาจกับนางเท่าไหร่ เมื่อมองทะลุไปถึงเบื้องหลังดวงตากระจ่างใสที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนนั้นไป ก็จะเห็นเพลิงพิโรธที่ซ่อนอยู่ในนั้นบ้าคลั่งยิ่งขึ้น
สตรีนางนี้มีมนตร์เสน่ห์เย้ายวนสามารถปลุกเร้าความหลงใหลในตัวของเขาขึ้นมาได้อย่างไม่หมดไม่สิ้น นี่เป็นเหตุผลที่หลายปีมานี้เขาไม่เคยเบื่อหน่ายนางเลยสักครั้ง ถึงขั้นกลายเป็นสตรีเพียงคนเดียวที่ไม่ว่าจะทำอะไรเขาก็ไม่เคยเดียดฉันท์ ต่อให้บนร่างของนางมีกลิ่นควันคราบมันจากห้องครัว ฝ่ามือเพิ่งจะถอนวัชพืช ฝ่าเท้าเหยียบย่ำลงไปในโคลนตม ทั้งหมดล้วนไม่ทำให้เขานึกรังเกียจ ทั้งไม่เคยบั่นทอนความปรารถนาของเขาที่มีต่อนาง ช่างน่าสนใจยิ่งนัก สตรีผู้นี้นับเป็นอัญมณีหายาก เขายินดียิ่งนักที่ปีนั้นตัดสินใจรับตัวนางกลับมา นางกลายเป็นของเล่นที่ล้ำค่าที่สุดของเขา!
เขารุกรานแล้วถอยออกจากร่างของนางครั้งแล้วครั้งเล่า หลงใหลนางจนไม่อาจถอนตัว เขาต้องการนางไม่มีสิ้นสุด ทุกครั้งก็คิดว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้าย หลังผ่านคืนนี้ไปไม่แน่ว่าเขาอาจจะรังเกียจนางก็เป็นได้ รอจนการเคลื่อนไหวที่เร่งร้อนดึงเอาพละกำลังจากร่างนางไปจนหมดสิ้น ให้นางไม่อาจกระตุ้นความปรารถนาของเขาได้อีก ดังนั้นเขาจึงเสพสุขบนกายนางอย่างไม่ปรานีและไม่เคยทะนุถนอม
“ท่านอย่า…” ถูกเขารุกรานหนักหน่วงเช่นนั้น ในที่สุดกงฮุ่ยก็ทนไม่ไหวกอดร่างของเขาเอาไว้แน่น ลมหายใจถี่กระชั้น หากยอมให้เขาบดขยี้นางอย่างไม่ออมแรงเช่นนี้ต่อไป วันพรุ่งนี้นางคงลุกจากเตียงไม่ไหวจริงๆ
เขายิ้มเจ้าเล่ห์ “อย่าอะไร”
“อย่า…ทำต่อเลย” นางหอบหายใจกระชั้น
“ได้” เขารับปาก ร่างกายพลันหยุดการเคลื่อนไหวไปจริงๆ
พูดง่ายถึงเพียงนี้เชียว? นางปล่อยแขนที่รัดร่างเขาไว้อย่างระมัดระวังพลางถอนใจยาวอยู่ใต้ร่างของเขา “ขอบ…”
คำว่า ‘ขอบคุณ’ สองคำยังไม่ทันจะกล่าวจบ การสอดแทรกอันเร่งร้อนก็บุกเข้ามาอีกครั้งทำให้นางต้องแอ่นร่างขึ้นสูง เสียงครางหลุดลอดออกมา
“อื้อ…ท่าน…”
“ข้าตกลง รอรอบนี้ผ่านพ้นก็จะไม่ทำต่ออีกแล้ว” หย่งหลินยิ้มชั่วร้ายคร่อมอยู่เหนือร่างนาง ลิ้นร้อนไล้เลียไปตามใบหูของหญิงสาว
กงฮุ่ยสติพร่าเลือน ภายใต้การรุกรานอย่างไร้มโนธรรมของเขา ร่างกายก็ถูกเขาผลักขึ้นไปถึงจุดสูงสุดอีกครั้งก่อนจะสั่นสะท้านอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของเขา
มือของเขายังคงกอดนางเอาไว้ ลมหายใจถี่กระชั้นไม่ต่างกัน เมื่อรู้สึกถึงเรือนร่างอ่อนนุ่มที่อิงแอบเข้ามาของนาง เห็นชัดว่าหมดสิ้นแรงกำลัง ดวงตาสีดำสนิทของเขาถึงค่อยปิดลงอย่างพึงพอใจ
ในห้องเหลือเพียงเสียงลมหายใจสอดประสานของคนทั้งสองเนิ่นนาน ก่อนที่บรรยากาศชิดเชื้อสนิทสนมจะค่อยๆ ทุเลาลง
“ข้าว่านะฮุ่ยเอ๋อร์” น้ำเสียงเฉยชาดังขึ้นคล้ายต้องการชวนนางคุยเรื่องสัพเพเหระแต่กลับทำให้กงฮุ่ยลืมตาโพลงด้วยความระแวดระวังในทันที ร่างกายพลันขยับห่างออกมาเล็กน้อย
เมื่อขาดความอบอุ่นที่แนบชิดอยู่ข้างกาย หย่งหลินก็ลืมตาจ้องมองระยะห่างที่เกิดขึ้นระหว่างร่างกายของคนทั้งสอง
ใบหน้าของเขากลับไร้ความรู้สึกใดๆ เพียงพูดต่อไปว่า “เมื่อวานยามประชุมขุนนาง ได้ยินรุ่ยชินอ๋องรายงานว่าพบตัวบิดาของเจ้าแล้ว” เขากล่าวไม่เร็วไม่ช้า ไม่แปลกใจที่ได้ยินเสียงสูดหายใจดังขึ้นที่ข้างหู
หลังสงครามสวาท นี่เป็นหัวข้อ ‘สนทนา’ ที่ประเสริฐอย่างยิ่ง ไม่แปลกใจที่เขาเลือกบอกเรื่องนี้แก่นางเอายามนี้
“เรื่องนี้จริง…จริงหรือ” กงฮุ่ยหยัดกายขึ้นนั่งถามเสียงสั่น
“รุ่ยชินอ๋องควบคุมดูแลกรมอาญา เขาบอกว่าพบตัว ก็คงจะพบตัวแล้วจริงๆ” ชายหนุ่มประสานมือรองไว้หลังศีรษะต่างหมอนตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เขา…อยู่ที่ไหนหรือเจ้าคะ” นางกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะถามอีกครั้ง
“อยู่ในคุก” เขามองนาง สายตานิ่งสงบเห็นนางหายใจแทบไม่เป็นจังหวะแต่ก็ยังพยายามรักษาท่าทีเยือกเย็นเอาไว้
“อยู่ในคุก…เขาจะมีจุดจบเช่นไรเจ้าคะ” เสียงของนางเกร็งจนแทบขาดผึง ขบฟันแน่นจนแทบแหลกละเอียด
“ฐานะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่กลับฉ้อฉลไม่เกรงกลัวกฎหมาย ครอบครองเงินบรรเทาทุกข์ ยักยอกทรัพย์ของหลวง ซื้อขายตำแหน่งขุนนาง ติดสินบนเจ้าหน้าที่ ทำชั่วสารพัดอย่าง หลังเกิดเรื่องยังจงใจหลบหนี เสด็จพ่อทรงกริ้วหนัก มีรับสั่งให้ยึดทรัพย์สินทั้งตระกูล ลบชื่อออกจากลำดับราชสกุลวงศ์ ริบบรรดาศักดิ์ให้เป็นสามัญชน หลังจากนำตัวกลับมาไต่สวนก็ให้ลงโทษประหารด้วยการตัดหัวทันที” หลังท่องบทลงโทษยาวเหยียดจนจบ เขาก็จงใจเน้นเสียงที่คำว่า ‘ประหาร’
แม้จะรู้อยู่แก่ใจแต่กงฮุ่ยก็ไม่อาจจะรับได้อยู่ดี “แต่เรื่องมันผ่านมาห้าปีแล้วนะเจ้าคะ ฝ่าบาทอาจจะทรงเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ยอมไว้หน้าไม่สืบสวนต่อ…” นางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามพลางกอดความหวังริบหรี่เอาไว้
หย่งหลินมองนางคราหนึ่ง เรียวคิ้วขมวดมุ่น “เขาทอดทิ้งวงศ์สกุล หนีไปถึงห้าปี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ายิ่งทำให้เสด็จพ่อทรงกริ้ว”
“หรือเขาจะไม่มีทางรอดเลยหรือเจ้าคะ” ลมหายใจของนางปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง
“แปดเก้าส่วนคงเป็นเช่นนั้น” เขาตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
สีหน้าของนางพลันเขียวคล้ำ “ช่วยไม่ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” เมื่อนึกถึงมารดาที่เอาแต่เกลียดตนเองไปจนตาย นางก็ถามขึ้นอย่างปวดใจ
“เจ้าคิดจะช่วยเขา? ปีนั้นเขาใจดำทอดทิ้งพวกเจ้าสองคนแม่ลูก ไม่สนเลยสักนิดว่าพวกเจ้าจะเป็นหรือตาย เพียงพาชายารองหนีไปด้วยกัน ทำให้พวกเจ้าสองแม่ลูกต้องไปอยู่ข้างถนน ใช้ชีวิตอย่างตกระกำลำบาก เพื่อหาทางรักษาอาการป่วยของมารดา เจ้ายังต้องทำงานในหอคณิกา หากมิใช่ข้าเมตตารับเจ้าเอาไว้ จุดจบ… แล้วนี่เจ้ายังจะห่วงใยเขาอีกหรือ” เขาส่ายหน้ายิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
กงฮุ่ยกำหมัดกัดฟันแน่น “ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ให้กำเนิดข้า อีกทั้งในปีนั้นก็เป็นข้ากับมารดาที่ยืนกรานไม่ไปกับเขา หาใช่เขาไม่เต็มใจพาพวกเราไปไม่” นางปกป้องผู้เป็นบิดา
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็จากไปอย่างไร้น้ำใจอย่างยิ่ง ไม่แม้แต่จะหาที่พักพิงให้พวกเจ้าสองแม่ลูก อีกทั้งจากไปหลายปี จดหมายสักฉบับส่งมาถามไถ่พวกเจ้าสองแม่ลูกก็หามีไม่!”
“นั่น…ข้าคิดว่าท่านพ่อต้องหลบซ่อนอยู่ในซีจั้งคงจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากกระมัง ถึงได้ไม่เคยถามไถ่ข่าวคราวจากพวกข้า…”
เขาแสยะยิ้มเย็นชา “พอได้แล้ว ไม่ต้องพูดอะไรอีก ข้าเข้าใจแล้ว เขาคือบิดาของเจ้า เจ้าคิดจะแก้ตัวให้เขาอย่างไรก็เป็นเรื่องของเจ้า แต่วันพรุ่งยามประชุมขุนนาง ข้าจะลองถามรุ่ยชินอ๋อง ดูว่าเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งใดหรือไม่ ได้เรื่องอย่างไรจะส่งคนไปรายงานเจ้าอีกที”
“ขอบคุณองค์เป้ยเล่อมากเจ้าค่ะ” นางก้มหน้าเอ่ยด้วยความยินดี
ในที่สุดก็ได้รู้ข่าวของบิดาเสียที แม้ว่าข่าวนี้ไม่สู้ไม่รู้ยังจะดีเสียกว่า แต่อย่างน้อยนางก็ต้องหาทางช่วยบิดาไว้ให้ได้…
“ยังไม่มีข่าวส่งมาอีกหรือ” กงฮุ่ยเดินย่ำเท้าวนอยู่ในโถงอย่างร้อนใจพลางสอบถามสาวใช้ไม่หยุด
เหล่าสาวใช้เองก็ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างเป็นกังวลตามไปด้วย พวกนางหวาดกลัวหัวหน้าแม่บ้านคนนี้จนเคยชิน เมื่อเห็นนางกระวนกระวาย สีหน้าเคร่งเครียดอย่างน้อยนักจะได้เห็น ทุกคนก็พากันวิตกกังวลตามไปด้วย เกรงว่าหากไม่ระวังจะทำให้นางเกิดโทสะ
หัวหน้าแม่บ้านรับช่วงต่อจากหัวหน้าพ่อบ้านผู้อ่อนแออย่างเป็นทางการเมื่อสามปีก่อน ท่าทีเข้มงวดของนางต่างจากหัวหน้าพ่อบ้านคนก่อนโดยสิ้นเชิง
นางไม่อนุญาตให้บ่าวไพร่ทำผิดพลาด หากทำพลาดก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง ไม่เพียงไม่เหมือนหัวหน้าพ่อบ้านที่ตักเตือนสองคำแก้ไขเรื่องที่ทำพลาดก็เป็นอันจบเรื่อง แต่ความน่ากลัวของสตรีนางนี้มีแต่ผู้ที่เคยทำงานด้วยจึงจะรู้ ดังนั้นท่าทีของทุกคนที่มีต่อนางจึงมีแต่ระมัดระวังไม่กล้าเลินเล่อเด็ดขาด
เมื่อเห็นท่าทางระแวดระวังของเหล่าสาวใช้ กงฮุ่ยได้แต่ถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ มิใช่ว่านางอยากจะเข้มงวดใส่ผู้อื่น แต่เป็นพฤติกรรมของบุรุษผู้นั้นต่างหากที่หลายปีมานี้ไร้เหตุผลขึ้นทุกที หากมิใช่เพราะนางออกหน้า ‘รับไว้’ คนพวกนี้เกรงว่ายังไม่ทันได้มีโอกาสวิพากษ์วิจารณ์ความเผด็จการของนางก็ต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวยให้กับความเจ้าเล่ห์ของบุรุษผู้นั้นเสียก่อน
คำพวกนี้พูดออกมาใครจะเชื่อ ยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นบุรุษผู้นั้นมัก ‘เก็บซ่อนแสงสว่างบ่มเพาะในเงามืด’* ไม่ว่าที่ไหนเมื่อไหร่ก็ผ่าเผยสะอาดเรียบร้อยอยู่เสมอ เปี่ยมด้วยท่วงท่าของคุณชายสูงศักดิ์ผู้สง่างามอย่างไร้ที่ติ ใครเล่าจะคาดว่าลับหลังเขากลับหยาบคายและไร้เหตุผลจนน่ารังเกียจยิ่ง
เพื่อ ‘ช่วยเหลือทุกคน’ นางจึงยอมถูกตราหน้าเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีพยัคฆ์ ถูกบ่าวไพร่ด่าว่านินทากันลับหลัง
เพียงแต่นางไม่เข้าใจ เหตุใดหย่งหลินถึงต้อง ‘เปลี่ยนนิสัย’ ต่อหน้าผู้คนด้วย แต่การเปลี่ยนนิสัยนับว่าเป็นเรื่องดี ไฉนเขาจึงไม่เปลี่ยนไปเสียให้หมดแต่กลับเปลี่ยนเพียงภายนอก กับนางยังคงเอาแต่ใจเลือกมากอยู่เช่นเดิม
คิดไปคิดมา นางก็พลันขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างอดไม่ไหว
เมื่อก่อนนิสัยช่างเลือกของเขายังจำกัดอยู่กับแค่เรื่องบางเรื่องหรือสิ่งของบางสิ่ง แม้นิสัยจะแปลกประหลาดไปบ้างแต่ข้ารับใช้ที่คอยปรนนิบัติก็ถือว่าฝืนผ่านมาได้อย่างยากลำบาก แต่หลายปีมานี้ โดยเฉพาะหลังจากที่นางรับช่วงต่อดูแลวังเป้ยเล่อ นิสัยที่หลบซ่อนอยู่ของบุรุษผู้นี้ก็เริ่มไม่เกรงฟ้ากลัวดิน เลือกมากไปเสียทุกเรื่อง จับผิดไปเสียทุกครา ทำเอานางยุ่งจนหัวปั่นเพื่อตามเอาใจนิสัยแย่ๆ ของนายท่านอย่างเขา หากเขาไม่พอใจ คนเดือดร้อนก็หาใช่ใครที่ไหน ย่อมต้องเป็นนางนั่นเอง!
“มาแล้วขอรับ องค์เป้ยเล่อส่งข่าวจากราชสำนักมาแล้วขอรับ!” ระหว่างที่นางยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นนั้นเอง ในที่สุดก็มีบ่าวรับใช้วิ่งเข้ามารายงาน
“มีข่าวคราวแล้วหรือ องค์เป้ยเล่อว่าอย่างไรบ้าง” นางนึกยินดีจนลืมตัวก้าวเข้าไปคว้าแขนขันทีที่รีบร้อนวิ่งมาส่งข่าวจากในวังหลวง
ขันทีผู้นั้นหดมือกลับมาอย่างไม่กระโตกกระตาก หัวหน้าแม่บ้านท่านนี้ฐานะไม่ธรรมดา แม้จะเป็นผู้ดูแลของวังเป้ยเล่อแต่ก็เป็นสตรีขององค์เป้ยเล่อด้วยเช่นกัน องค์เป้ยเล่อใส่ใจเรื่องความสะอาดไร้มลทินของสตรียิ่งนัก แม้แต่ผมเพียงเส้นก็ไม่อาจแปดเปื้อน โดยเฉพาะสตรีตรงหน้า ท่าทีขององค์เป้ยเล่อแสดงออกชัดเจน คนทั่วไปแม้แต่ชายแขนเสื้อก็ไม่อาจจับ
“องค์เป้ยเล่อใกล้จะกลับมาแล้วจึงสั่งให้ท่านออกไปรอที่หน้าโถงขอรับ” เขาถอยหลังไปสองก้าวอย่างมีมารยาทพลางถ่ายทอดคำสั่งของนายท่าน
“รอ? มีแค่นี้ ไม่มีเรื่องอื่นแล้วหรือ” ข่าวที่นางอยากรู้แม้แต่ประโยคเดียวก็ไม่มี
“เอ่อ…ไม่มีขอรับ องค์เป้ยเล่อสั่งความมาเพียงเท่านี้ ไม่มีเรื่องอื่นแล้วขอรับ” ขันทีไม่ทราบว่านางกำลังรอข่าวใดอยู่กันแน่จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนพลางตอบ
หญิงสาวพลันสิ้นหวังก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้จึงถามขึ้นอีกครั้ง “องค์เป้ยเล่อกลับมาเพียงผู้เดียวหรือมีแขกท่านอื่นกลับมาด้วย”
“มีแขกกลับมาด้วยอีกสองท่านขอรับ”
ดวงตาของนางเป็นประกายเจิดจ้า “เป็นผู้ใด”
“เป็นรุ่ยชินอ๋องกับเก๋อเอ่อร์ชิ่นจวิ้นอ๋องขอรับ”
“รุ่ยชินอ๋องก็มาด้วย” นางพลันดีใจ หรือเขาจะเชิญรุ่ยชินอ๋องมาเพื่อบอกข่าวบิดาของนางด้วยตนเอง… ไม่สิ! ยังมีจวิ้นอ๋องอีกผู้หนึ่ง เก๋อเอ่อร์ชิ่นจวิ้นอ๋อง… คนผู้นี้คือใครกัน เขามาวังเป้ยเล่อด้วยเหตุใด
สีหน้าที่เพิ่งยินดีปรีดาพลันเคร่งขรึมลงอีกครั้ง บุรุษผู้นั้นต้องการให้นางออกไปต้อนรับ ดูท่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางอยากรู้…
“ท่านหัวหน้าแม่บ้าน?” ขันทีเรียกเสียงเบา
“หืม?” เพราะกำลังหงุดหงิด หญิงสาวจึงรับคำอย่างไม่ใส่ใจนัก
“องค์เป้ยเล่อใกล้จะกลับมาแล้ว ท่านไม่ออกไปเตรียมตัวหรือขอรับ” ขันทีเอ่ยเตือนอย่างหวาดหวั่น
ทุกครั้งที่องค์เป้ยเล่อปรากฏกาย บ่าวไพร่ทุกคนภายใต้คำสั่งของนางก็เตรียมพร้อมราวกับจะเจอศึกใหญ่ ต้องทำงานให้ดี ตระเตรียมอย่างรอบคอบ
กงฮุ่ยถึงค่อยคืนสติกลับมาได้ สีหน้าพลันเปลี่ยน “ย่อมต้องเตรียม!” เมื่อหันกลับไปก็เป็นสีหน้าของตัวร้ายจอมเผด็จการ “พวกเจ้ามัวยืนรออะไรกันอยู่ รีบไปเตรียมชุดชาที่องค์เป้ยเล่อใช้เป็นประจำออกมา ชงชา ปอกผลไม้ อย่าลืมออกไปเช็ดถูหน้าประตูซ้ำอีกหนึ่งรอบ…”
ในห้องโถงใหญ่สะอาดสะอ้านบัดนี้ปรากฏร่างบุคคลสามคนกำลังนั่งอยู่ ชาหวงซานเหมาเฟิงอันล้ำค่าส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง
นอกจากนี้ในห้องโถงยังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วยหัวใจที่ผิดหวัง
“ข้าว่านะหย่งหลิน การที่ฝ่าบาทจะพระราชทานองค์หญิงจากรื่อเปิ่น* ให้แก่หย่งซิง เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่” รุ่ยชินอ๋องจิบชาพลางถามอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ก็อาจเป็นไปได้ เสด็จพี่สิบเอ็ดแต่งชายาเอกไปนานแล้ว เสด็จพ่อคงไม่มีดำริจะให้เขาต้องสละชายาของตนเองหรอก อีกอย่างครั้งนี้รื่อเปิ่นก็เป็นฝ่ายเสนอตัวเข้ามาผูกมิตร ทั้งยังเสนอให้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ แต่ท่าทีของเสด็จพ่อที่ทรงมีต่อพวกเขาก็เฉยชาอยู่ไม่น้อยราวกับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายพระเนตรอย่างไรอย่างนั้น” หย่งหลินเอนร่างอยู่บนเก้าอี้ไม้ประดู่พลางแสดงความคิดเห็น
“จริงหรือ แต่ข้ากลับเห็นว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ครานี้กับรื่อเปิ่นมีแผนร้ายแอบแฝง” ผู้พูดคือเก๋อเอ่อร์ชิ่นจวิ้นอ๋อง
เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด เค้าโครงหน้ามีความน่าเกรงขามเช่นบุรุษในเขตทะเลทราย แต่แววตาแฝงความมืดมนเอาไว้ ดูท่าจะเป็นบุรุษที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง
ดินแดนในปกครองของเขาอยู่ที่มองโกล ด้านนอกของด่านฉางจวี มีอำนาจเป็นอย่างมากในเขตทุ่งหญ้ามองโกล จวิ้นอ๋องผู้นี้นับว่าเป็นบุคคลที่ไม่อาจดูเบาได้ ครั้งนี้เขาถูกฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าจึงเคลื่อนพลเดินทางเข้าเมืองหลวงเป็นการพิเศษ หลังเลิกประชุมขุนนางก็ตอบรับคำเชิญของหย่งหลินมาเป็นแขกที่วังเป้ยเล่อ
คำว่า ‘แผนร้าย’ ทำให้รุ่ยชินอ๋องถึงกับแตกตื่น ร่างพลันเหยียดตรงขึ้นมา “ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น”
“รื่อเปิ่นจ้องดินแดนต้าชิงของเราจนน้ำลายสอมาช้านาน ทั้งส่งเรือบุกรุกเข้ามาในน่านน้ำโจมตีหมู่บ้านชาวประมงแถบชายฝั่งของพวกเราอยู่เนืองๆ ครานี้กลับเป็นฝ่ายเสนอการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ พวกท่านไม่รู้สึกว่าแปลกหรอกหรือ”
หย่งหลินเหลือบมองอีกฝ่าย “จวิ้นอ๋องปกครองดินแดนอยู่ในมองโกลแท้ๆ แต่กลับรู้เหตุการณ์แถบแนวชายฝั่งกระจ่างแจ้งดุจอยู่กลางฝ่ามือ** นับถือๆ”
แววตาของเก๋อเอ่อร์ชิ่นวูบไหวเล็กน้อย “ไฉนเลย ข้าเพียงแค่ใส่ใจเรื่องของชาติบ้านเมืองจึงสบโอกาสได้รับรู้สถานการณ์ในชายแดนมากหน่อยก็เท่านั้น”
“อ้อ? จวิ้นอ๋องปกครองมองโกลได้รุ่งเรืองยิ่งนัก ข้ามักได้ยินผู้คนกล่าวกันว่าผู้มีความสามารถอย่างจวิ้นอ๋องต้องมารั้งอยู่ที่มองโกลถือว่าฟุ่มเฟือยผู้มีความสามารถโดยแท้ ทั้งยังมีคนไม่น้อยเสนอว่าเสด็จพ่อควรมีรับสั่งเรียกท่านกลับมารับหน้าที่สำคัญในเมืองหลวงจึงจะถูกต้อง” หย่งหลินพูดพลางยิ้ม แต่แววตากลับปราศจากแววขำขัน
เก๋อเอ่อร์ชิ่นได้ฟังก็กะพริบตานิ่งๆ อย่างเยือกเย็นไม่วู่วาม “เก๋อเอ่อร์ชิ่นไร้ความสามารถ จะรั้งอยู่ในเมืองหลวงให้เป็นที่ขำขันของผู้คนได้อย่างไร ข้าว่าคงต้องรีบกลับมองโกลไปเลี้ยงม้าเสียแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า!”
“จวิ้นอ๋องกล่าวเช่นนั้นได้อย่างไร ผลงานของเจ้าโด่งดังมาถึงเมืองหลวง แม้แต่หย่งหลินยังชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง ข้าว่าวันพรุ่งนี้ข้าควรจะทูลฝ่าบาทให้เจ้าฉวยโอกาสนี้รั้งอยู่ที่นี่เสียเลยก็แล้วกัน” รุ่ยชินอ๋องหัวเราะจนดูเกินจริง ดวงตาสูงวัยกวาดไปมาอย่างครุ่นคิดวางแผน
สีหน้าเยือกเย็นของเก๋อเอ่อร์ชิ่นในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลง “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ข้าชื่นชอบกลิ่นมูลของม้ายามอยู่ในทุ่งหญ้ามองโกลมากกว่า เมืองหลวงงดงามเกินไป คนเช่นข้าอยู่ไม่ไหวหรอก”
“จวิ้นอ๋องอยู่เมืองหลวงไม่ไหวจริงๆ หรือว่ากลัวจะถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ไม่ได้กลับไปอีกกันแน่” น้ำเสียงของหย่งหลินเนิบช้ามาก ฟังคล้ายไม่มีเจตนาใด ทว่าความนัยที่แฝงอยู่ก็ทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปโดยพลัน
“หย่งหลิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” เก๋อเอ่อร์ชิ่นย่ำเท้าลุกขึ้นยืน ไม่สนว่าตนจะปัดถูกถ้วยน้ำชาหลายใบบนโต๊ะ
กงฮุ่ยที่ยืนอยู่ในโถงเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ปรบมือเรียกคนเข้ามาเก็บกวาดเศษถ้วยน้ำชา ส่วนตนเองกลับล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนบางช่วยเช็ดชายแขนเสื้อที่เปื้อนคราบน้ำชาให้เขา
เมื่อเห็นว่าสะอาดขึ้นบ้างแล้วนางจึงคิดจะถอยออกไป เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเก๋อเอ่อร์ชิ่นกำลังจ้องนางอยู่ นางก้มหน้าน้อยๆ ยามที่จะจากไป เขากลับคว้าข้อมือของนางไว้ “ขอบคุณ”
กงฮุ่ยมองตาเขาก็ไม่พบความกรุ้มกริ่มเจ้าชู้ใดๆ จึงคิดว่าอีกฝ่ายคงขอบคุณจากใจจริงจึงเอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ดึงมือออก กลับมายืนที่ด้านหลังของหย่งหลิน
หย่งหลินยังนั่งอยู่ท่าเดิมอย่างไม่แยแส แต่ดวงตาที่หลุบลงกลับกวาดมองมาที่ข้อมือของนาง ในแววตาปรากฏแววครุ่นคิด
“หย่งหลิน สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดออกมามันไม่ถูกต้อง หากเอ่ยให้คนนอกได้ยินอาจหลงเข้าใจผิดว่าข้าไม่ซื่อสัตย์ต่อฮ่องเต้ ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งเรียกข้ากลับเมืองหลวงเพื่อป้องกันมิให้ก่อกบฏ” เมื่อคืนสติเก๋อเอ่อร์ชิ่นก็หัวเราะอย่างเย็นชา “ข้าหลงนึกว่าเจ้าเชื้อเชิญข้ามาก็เพราะอยากจะคบค้าสมาคมด้วย ดูท่าข้าคงจะเข้าใจผิดไปเอง ที่แท้เจ้าก็หามีเจตนาเช่นนั้นไม่!”
สีหน้าของหย่งหลินยังดูไม่แยแสสิ่งใดดังเดิม “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิด ข้าตั้งใจจะคบหากับเจ้าจริงๆ ดังนั้นจึงได้ชวนเสด็จอามาเป็นเพื่อน วันนี้ยังจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับ แต่ข้าเป็นคนพูดจาเรื่อยเปื่อยไร้สาระ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดข้าเป็นพอ”
“ถูกต้องๆ หย่งหลินผู้นี้ก็ปากพล่อยเช่นนี้เอง บางครั้งฝ่าบาทถึงกับต้องสั่งสอนเขาหลายประโยคไม่ให้เขาเที่ยวลบหลู่ผู้อื่นอีก เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก เขาหาได้มีเจตนาร้ายอะไร” รุ่ยชินอ๋องตามเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
คำพูดนี้ค่อยทำให้บรรยากาศหนักอึ้งเบาบางลง สีหน้าของเก๋อเอ่อร์ชิ่นก็หาได้ไม่น่ามองเช่นเมื่อครู่อีก
“จวิ้นอ๋องวันนี้ก็อยู่ค้างที่นี่สักคืนเถิด ให้ข้าได้ต้อนรับท่าน ข้าจะทำให้ท่านได้สนุกแน่” หย่งหลินพูดด้วยรอยยิ้ม
สายตาของเก๋อเอ่อร์ชิ่นอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของเขา “เช่นนั้นก็ได้แต่ตอบรับคำเชิญแล้ว”
“ขอบคุณจวิ้นอ๋องที่ให้เกียรติ เช่นนั้นพวกเราก็ย้ายไปที่โถงข้างกันเถิด ข้าคิดว่าสุราเลิศรสคงจะจัดวางไว้พร้อม…” หย่งหลินหยัดกายขึ้นเตรียมจะออกเดิน ที่ด้านหลังกลับถูกใครบางคนลอบสะกิดอยู่เงียบๆ เขาหันไปมองอย่างงุนงงก็เห็นสตรีที่ยืนอยู่ด้านหลังขมวดคิ้วส่งมาให้ก่อนจะตวัดสายตาไปที่รุ่ยชินอ๋อง ชายหนุ่มคล้ายพลันนึกขึ้นได้จึงส่งยิ้มเย็นชาไปให้รุ่ยชินอ๋อง “เสด็จอา พวกเราเดินไปคุยไปจะดีกว่า ท่านบอกว่าเจี่ยนอ๋องที่หลบหนีไปนานห้าปีถูกขังอยู่ในคุกหลวงมาระยะหนึ่งแล้ว เสด็จพ่อทรงตัดสินพระทัยเรื่องบทลงโทษไว้แล้วหรือยัง”
รุ่ยชินอ๋องเหลือบมองไปยังด้านหลังของเขาก็พลันเข้าใจ เด็กสาวผู้นั้นอาศัยอยู่ในวังเป้ยเล่อมานานปี เขาย่อมต้องรู้ชาติกำเนิดของนาง ทั้งยังรู้ว่าหย่งหลินกำลังสอบถามแทนนางอยู่
“โทษของตัวชิ่งหนักหนาสาหัส เมื่อวานฝ่าบาทเพิ่งมีรับสั่งลงมา ถึงฤดูสารทก็ให้ประหารทันที”
กงฮุ่ยได้ฟังคำ สีหน้าก็พลันซีดเผือด หญิงสาวรีบเบี่ยงกายหลบไม่ให้ใครเห็นสีหน้าตกตะลึงของนาง
แต่ท่าทีทั้งหมดของนางตกอยู่ในสายตาของหย่งหลินมาตั้งแต่แรก เขากลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ทั้งยังแย้มยิ้มผายมือเชื้อเชิญแขกเหรื่อให้ออกเดิน
“เสด็จอา จวิ้นอ๋อง อาหารฝีมือพ่อครัวจากวังของข้านั้นยอดเยี่ยมไม่ธรรมดา เขาเป็นผู้ที่เสด็จพ่อพระราชทานให้ข้าเป็นพิเศษ ทำได้ทั้งอาหารชาวแมนจูและชาวฮั่น เมื่อปีก่อนหวงไท่เฟย* เสด็จมาเป็นแขกที่วัง หลังจากได้ชิมอาหารรสมือของเขาก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก ถึงขั้นร้องขอคนจากเสด็จพ่อเลยทีเดียว…”
* เก็บซ่อนแสงสว่างบ่มเพาะในเงามืด เป็นสำนวน หมายถึงเก็บซ่อนความสามารถหรือฤทธิ์เดชเอาไว้ไม่แสดงออกมา
* รื่อเปิ่น หมายถึงญี่ปุ่น
** กระจ่างแจ้งดุจอยู่กลางฝ่ามือ เป็นสำนวน เปรียบถึงการที่รู้และเข้าใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นอย่างดี ราวกับเป็นสิ่งของที่อยู่ในมือของตนเอง
* หวงไท่เฟย หรือไท่เฟย เป็นคำใช้เรียกมเหสีหรือชายาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน