LOVE
ทดลองอ่านนิยาย พิกัดรักแสนกล บทที่ 2
บทที่ 2 นักสะกดรอยไร้น้ำยา
ธงลายหมากรุกโบกสะบัดพลิ้วไหวเป็นสัญญาณว่าการแข่งขันยุติลงแล้ว นิดานุชมองรถเบอร์เก้าสิบแปดค่อยๆ เลื่อนออกจากแทร็ก* โดยผู้ที่อยู่หลังพวงมาลัยคือภาติวัติ
มือเล็กจดบันทึกข้อความลงในสมุดโน้ต หน้ากระดาษว่างเปล่าบัดนี้เต็มไปด้วยข้อความยาวเหยียดและจบด้วยบรรทัดสุดท้ายว่า…
‘ภาติวัติคว้าแชมป์เรซซิ่งคาร์ชิงแชมป์เอเชีย ณ ประเทศสิงคโปร์ สถิติ…’
ร่างบางในชุดทะมัดทะแมงรวบผมไว้กลางศีรษะเป็นหางม้าคว้ากล้องขึ้นมาบันทึกภาพเพื่อเก็บทุกอิริยาบถของนักแข่งรถหนุ่ม นับเป็นครั้งที่สองที่เธอได้เข้าชมการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบและเป็นครั้งแรกที่เธอมาดูการแข่งขันไกลถึงสิงคโปร์ ซึ่งภาติวัติคว้าแชมป์ทั้งสองรายการ เป็นเรื่องน่าทึ่งที่เขาสามารถเอาชนะทีมจากนานาชาติได้อย่างใสสะอาด มิน่าเล่าเธอถึงเห็นชื่อเขาเป็นตัวเต็งในรายการแข่งขันเวิลด์ซูเปอร์ซีรี่ส์ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ ว่ากันว่านั่นคือสนามแข่งที่เป็นที่สุดของโลก และนักแข่งทุกคนใฝ่ฝันจะเข้าไปวิ่งอยู่บนแทร็กของรายการนี้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เธอเชียร์เขา
ใช่! นิดานุชยอมรับว่าเสียงเธอแหบแห้งไปมาก ถึงแม้ว่าจะหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขา แต่อย่างน้อยเขาก็คือตัวแทนประเทศไทย และเธอก็มีเลือดรักชาติอยู่เต็มเปี่ยม ดังนั้นเมื่อรถหมายเลขเก้าสิบแปดแตะเส้นชัยจึงเผลอกรีดร้องด้วยความยินดีโดยไม่สนว่าจะเสียจริตหรือไม่ และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีเพราะมันหมายความว่า…
เธอเข้าถึงจิตวิญญาณของการแข่งรถอีกก้าวหนึ่งแล้ว
การฉลองชัยชนะบนเทอร์เรซเตี้ยๆ ที่รายล้อมไปด้วยนักข่าวยาวนานกว่าหนที่แล้ว คราวนี้มีคนสำคัญขึ้นพูดแสดงความยินดีและมอบของที่ระลึกให้ผู้ชนะคนแล้วคนเล่า แต่เธอก็ไม่พลาดการเก็บภาพวิดีโอตอนภาติวัติเขย่าแชมเปญ เพราะเธอรู้สึกว่าชอตนี้เป็นการเปล่งประกายเสน่ห์แห่งบุรุษเพศอันน่าหลงใหล เหมือนว่าเขาปล่อยฟีโรโมนจนบรรดาสาวๆ ไร้เรี่ยวแรงต้านทาน
ซึ่งอันที่จริงเธอเองก็เผลอไปเหมือนกัน…
หลังจากภาติวัติและทีมกลับเข้าไปพักผ่อน หลายคนต่างไปรอขอลายเซ็นและขอถ่ายรูปกับเขา คราวนี้ไม่ใช่เพียงแค่สาวชาวไทย แต่เป็นทั้งหญิงและชายชาวต่างชาติทั้งยุโรปและเอเชียที่ต่างคลั่งไคล้ในตัวเขาจนอยากจะได้ภาพสักใบที่มีภาติวัติอยู่ในเฟรม สังเกตได้จากประตูทางออกที่หนาแน่นไปด้วยผู้คน จนต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายสิบคนคอยเคลียร์พื้นที่ให้มีช่องว่างสำหรับนักแข่งรถหนุ่มได้เดินเพื่อพบปะผู้คน
นิดานุชกอดกระเป๋าตัวเองแน่นก่อนพ่นลมหายใจออกมา
ครั้งนี้เธอคงไม่เอาตัวไปเบียดเสียดกับคนพวกนั้นอีกแล้ว ถึงแม้ว่าเรื่องหน้าแตกที่เคยเกิดขึ้นจะไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ยอมรับว่าถึงอย่างไรเธอก็ยังกลัวมากอยู่ดี ขายหน้าเรื่องหนึ่ง เจ็บตัวก็อีกเรื่องหนึ่ง ทางที่ดี…เธอมองเขาห่างๆ ตรงนี้จะดีกว่า
“สูงร้อยแปดสิบขึ้นไป”
เธอพึมพำกับตัวเองเพราะมองจากตรงนี้ ในบรรดาคนที่ยืนรายล้อมรอบตัวเขาซึ่งส่วนมาเป็นคนเอเชียไม่มีใครบดบังความสูงของเขาได้มิด เท่ากับว่าเขาต้องสูงมากๆ อาจจะถึงร้อยแปดสิบห้าด้วยซ้ำ
ขณะที่เธอกำลังยืนจ้องภาติวัติอย่างเอาเป็นเอาตาย อยู่ๆ ประกายแสงจากดวงตาของเขาก็ตกกระทบดวงตาเธอ นิดานุชกะพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อสักครู่เขาผสานสายตากับเธอหรือไม่ แต่เมื่อมองอีกทีจนแน่ใจจึงได้รู้ว่าเธอคิดไปเอง นั่นสิ! จากที่เธอยืนกับตรงที่เขาอยู่ห่างกันร้อยเมตรได้กระมัง อีกอย่างเขาแทบไม่มีเวลาเงยหน้าขึ้นมาเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาสนทนากับแฟนคลับ
ครืดๆ
ก่อนที่จะสนใจเขาไปมากกว่านี้ โทรศัพท์ก็สั่นเตือนเสียก่อนว่าขณะนี้มีข้อความเข้ามา
‘ไปสิงคโปร์คนเดียวไม่บอกใคร แบบนี้ไม่ดีเลยนะฝัน’
เกนหลงนี่เอง รู้ได้อย่างไรว่าเธอมาสิงคโปร์ ใช่สิ…เธอเผลอเช็กอินชื่อสนามแข่งขันลงในเฟซบุ๊ก
‘ขอโทษค่ะ ฝันทนอยู่เฉยไม่ได้จริงๆ’
‘พี่ดีใจนะที่นักเขียนของพี่ตั้งใจหาข้อมูลในการทำงาน แต่ถ้าหากมันทำให้ฝันต้องเสี่ยงอันตราย พี่ก็ไม่โอเคเหมือนกันนะ’
‘ฝันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะพี่เกน เพราะว่ารายการแข่งขันของภาติวัติในไทยมีอีกทีตั้งปลายเดือนหน้า ฝันไม่อยากเสียเวลารอนานเกินไป ที่สำคัญ…การได้มาดูเขาแข่งขันถึงต่างประเทศแบบนี้ได้ข้อมูลสำคัญเยอะเลยนะคะ ไว้จะกลับไปเล่าให้ฟัง’
นิดานุชพิมพ์ข้อความยาวเหยียดลงไปเพื่อยุติการสนทนา เธอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายเมื่อเห็นว่าทีมงานเริ่มกันคนออกแล้ว ภาติวัติเดินฝ่าฝูงชนมายังรถตู้สีดำ เขาขึ้นไปนั่งบนรถตามด้วยกลุ่มชายในชุดของทีมไบรต์ไลต์ฯ ราวห้าคน
ด้วยสัญชาตญาณ นิดานุชยกกล้องบันทึกภาพเลขทะเบียนรถไว้อย่างรวดเร็ว
“คืนนี้เขาจะไปไหนนะ” เธอจะรู้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะตามตัวเขาได้มากขนาดนั้น
นิดานุชเลือกที่พักใกล้รถไฟฟ้าย่านไชน่าทาวน์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเดินทางมาสิงคโปร์ แต่เพราะทำการบ้านมาดีเธอจึงค่อนข้างวางใจว่าในสามวันสองคืนนี้เธอจะสามารถดำเนินชีวิตต่างบ้านต่างเมืองได้โดยไม่ยากลำบากอะไร ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีสิ่งปลูกสร้างทันสมัย ทั้งรถบัสที่สะอาดปลอดภัยและมีสถานีรถไฟฟ้าทั่วถึง แม้ค่าครองชีพจะแพงมากไปหน่อยก็ตาม
หลังจบการแข่งขันวันนี้ พรุ่งนี้เธอจะต้องเดินทางกลับไทยแล้ว และเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นนิดานุชจึงคิดว่าจะไปเที่ยวตามแลนด์มาร์กสำคัญๆ เพื่อเก็บไว้เป็นประสบการณ์ที่เธอคิดว่าสามารถนำมาใช้สำหรับงานเขียนได้
การเขียนคือชีวิตของเธอ…
หญิงสาวบอกกับตัวเองเช่นนั้น เธอเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็กจึงเติบโตมาโดยการเลี้ยงดูของย่า แม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ชีวิตเธอก็ไม่ได้ลำบากลำเค็ญอะไร เพราะย่าเป็นคนฐานะดี มีหน้ามีตาในสังคมจังหวัดราชบุรี มีที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เป็นรีสอร์ตหลายแห่งทั่วจังหวัด เธออยู่อย่างสุขสบายมาได้จนอายุยี่สิบปีย่าก็มาด่วนจากไปด้วยโรคชรา ทิ้งสิ่งสุดท้ายไว้ให้เป็นมรดกยี่สิบล้านบาทถ้วน
ย่าคงกังวลว่าถ้าหากยกรีสอร์ตให้ เธอจะต้องถูกลูกๆ ของท่านซึ่งยังมีชีวิตอยู่รุมทึ้งแย่งชิงจนเป็นเรื่องเป็นราวบาดหมางให้คนตายจะต้องผวา ท่านจึงตัดปัญหายกมรดกเป็นเงินให้ซึ่งมันอาจจะน้อยกว่าการได้รีสอร์ตสักแห่งเป็นสมบัติกินยันตาย แต่นิดานุชพอใจแค่นี้ เธอเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งอยากมีชีวิตสงบสุข แม้จะเป็นชีวิตที่ไม่มีใครก็ตาม
นิดานุชนั่งรถมาถึงแม่น้ำสิงคโปร์ แสงไฟหลากสีดึงดูดเธอในทันที ที่นี่คือ Clarke Quay เป็นศูนย์รวมสถานบันเทิงที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ อดีตที่นี่เคยเป็นท่าเทียบเรือเก่าแก่ที่ใช้ขนถ่ายสินค้าจากสำเภาโบราณที่แล่นมาจากทั้งตะวันออกและตะวันตก สองฝั่งแม่น้ำเต็มไปด้วยโกดังสินค้า กะลาสีเรือ กุลีขนของ และพ่อค้าจากทุกสารทิศไม่ว่าจะอาหรับ ฝรั่ง แขกชวา จีน แต่ขณะนี้ที่ที่เธอยืนอยู่กลับไร้ภาพเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง เท่าที่เห็นก็มีแต่ชายหนุ่มวัยทำงานมานั่งดื่มสังสรรค์ มีเสียงดนตรีอึกทึกและบางร้านยังมีการโชว์รูดเสาจากสาวสวยในชุดเปิดเผย
เธอเดินผ่านร้านอาหารต่างๆ เพื่อหาที่นั่งที่เหมาะกับตัวเอง ทว่า…เสียงพูดคุยอันดังผิดปกติของกลุ่มชายหนุ่มที่กำลังดื่มกินเรียกความสนใจจากเธอจนต้องหันไปมอง ภาพที่เห็นทำให้นักเขียนสาวถึงกับเบิกตากว้าง ใครจะคิดว่าวันนี้เธอจะได้โชคสองชั้น ยิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
ภาติวัติ!
หญิงสาวรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เธอเดินตัวลีบมานั่งยังที่นั่งซึ่งไม่ไกลจากกลุ่มของเขา ทันทีทันใดบริกรก็เดินมาต้อนรับ เธอจิ้มมือลงบนเครื่องดื่มบางอย่างที่ค่อนข้างมีสีสัน ก่อนที่จะเลิกสนใจสิ่งรอบตัวแล้วจับจ้องกลุ่มชายหนุ่มผู้กำลังสนทนาอย่างรส
“ไอ้ภาค ฟอร์มแกดีขึ้นทุกวันแบบนี้ แกคิดว่าปลายปีจะมีลุ้นไหมวะ” อทิตชวนพูดคุยถึงการแข่งขันของวันนี้ เขาคิดว่ามันเยี่ยมมากๆ ที่ภาติวัติพาทีมคว้าแชมป์ได้อย่างสวยหรู ส่งผลให้เขาคาดหวังถึงการแข่ง WTCC* ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้
“มันต้องลุ้นอยู่แล้วพี่ ถ้าคว้าถ้วยนั้นได้ผมจะได้กลับไปช่วยพ่อทำงานเสียที”
ภาติวัติบอกกับอทิต เพื่อนรุ่นพี่ผู้ชักชวนเขาเข้ามาในวงการรถแข่ง อทิตเป็นเจ้าของทีมไบรต์ไลต์ฯ มีรายได้หลักจากสินค้าและบริการต่างๆ ที่เข้ามาขอเป็นสปอนเซอร์ สองปีหลังมานี้ทีมทำรายได้ดีขึ้นมากจากการที่คว้าชัยชนะหลายครั้งติดต่อกัน และยิ่งจะมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างน้อยการได้ครองถ้วยเอเชี่ยนคัพในวันนี้ก็คงทำให้โทรศัพท์ของอทิตสายไหม้ไปเหมือนกัน
“เฮ้ย! แกอยู่ช่วยฉันอีกสองปีสิวะ ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี จะทิ้งกันง่ายๆ เลยเหรอ”
“นักแข่งตัวสำรองก็มี ขยันปั้นหน่อยสิพี่ ผมคงไม่อยู่แข่งไปจนแก่แน่ๆ แกว่าไงไอ้นัฐ แกเห็นแววใครไหม” ภาติวัติหันไปถามผู้ร่วมทีมรุ่นน้อง นัฐเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของอทิต เป็นนักวางแผน เป็นช่าง เป็นผู้ประสานงาน เรียกได้ว่าเป็นทุกๆ อย่างของทีมเลยก็ว่าได้
“ถ้าจะให้ตอบแบบเอาใจก็คงต้องบอกว่าเวลานี้ยังไม่มีใครแทนที่เฮียได้ แต่ถ้าจะให้ตอบแบบตรงๆ ก็คือ…ตอนนี้ยังไม่มีใครแทนที่เฮียได้ สรุปเลยก็คือเวลานี้…ทีมของเรายังไม่มีใครเก่งพอจะมาแทนที่เฮียได้เลย”
ภาติวัติเกือบพ่นลมหายใจออกมา นอกจากจะไม่ได้ยินดีต่อการป้อยอของหนุ่มรุ่นน้องแล้ว ยังนึกอึดอัดที่ต้องห้ามเท้าตัวเองไม่ให้ส่งไปยังร่างของมันอีก
“เว่อร์ไปไอ้นัฐ ที่ชนะไม่ใช่เพราะฉันเก่ง แต่ทีมเราต่างหากที่เก่ง”
“พูดได้ดีนะเฮีย แบบนี้ค่อยน่านับถือให้เป็นลูกพี่หน่อย” คีตภัทรที่นั่งถัดไปชูแก้วบรั่นดีให้
“ใช่สิวะ โดยเฉพาะแกไอ้คราม”
ภาติวัติบอกอย่างจริงใจ ชายหนุ่มรุ่นน้องมีดีกรีเป็นถึงวิศวกรยานยนต์ อาชีพหลักคือเจ้าของอู่ซ่อมรถรายใหญ่ในกรุงเทพฯ ส่วนงานในสนามแข่งรถเป็นแค่งานที่ชอบและไม่ได้ทำมันเพื่อแสวงหารายได้เป็นหลัก ดังนั้นคีตภัทรจึงทุ่มเทให้กับทีมอย่างเต็มความสามารถไม่ว่าจะสถานการณ์ใด และเขาทำมันได้ดีเสมอมา
“มันแน่นอนอยู่แล้ว เฮียภาคพูดขนาดนี้แล้ว เฮียทิตน่าจะขึ้นค่าแรงให้ผมบ้างนะ”
“พูดโยงไปได้นะโว้ยไอ้คราม เงินที่แกหาได้จากอู่มากกว่าที่ฉันให้ไม่รู้กี่เท่า อย่ามาหวังรวยจากฉันหน่อยเลย ไม่ขอให้ทำฟรีก็ดีถมไปแล้ว”
“บ้าน่า ผมไม่ใช่พ่อพระนะเฮีย”
“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งพูดถึงเลย” นัฐเอ่ยปากเพราะมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องพูด “วันนี้ผมเห็นไอ้อรรถที่สนามด้วยนะพี่”
“จริงเหรอวะ” ภาติวัติสนใจขึ้นมาทันที
อรรถเป็นนักแข่งของเจเคเรซซิ่งทีม ก่อนหน้ามีผลงานเป็นอันดับหนึ่งมาตลอด แต่เกือบสองปีให้หลังมานี้มักจะสูสีกับไบรต์ไลต์ฯ และผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนกระทั่งช่วงครึ่งปีมานี้เจเคเรซซิ่งแพ้ให้พวกเขาสี่รายการรวด ส่งผลให้ทีมของอรรถถูกถอนสปอนเซอร์ไปหลายเจ้า และดูเหมือนว่าไม่ว่าอรรถจะพยายามเท่าไหร่ก็ยังคงเข้าเส้นชัยเป็นทีมที่สองตามหลังไบรต์ไลต์ฯ อยู่ดี
ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่อรรถจะไม่ค่อยถูกชะตากับคนของไบรต์ไลต์ฯ จนครั้งหนึ่งถึงขั้นยกพวกตีกันมาแล้ว ภาติวัติไม่อยากทะเลาะด้วยเท่าใดนักเพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกของธนานุวัติ บุคคลผู้มีหน้ามีตาในสังคม การมีเรื่องอื้อฉาวจะส่งผลต่อธุรกิจของพ่อ แค่ทุกวันนี้เขาไม่ได้ช่วยงานเต็มที่ก็แย่มากแล้ว เขาไม่อยากสร้างปัญหาใดๆ ที่จะกระทบถึงท่าน แต่ทว่าลูกทีมของเขาก็เป็นหนุ่มเลือดร้อนเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ถูกท้าทายอยู่ฝ่ายเดียว เหตุการณ์วันนั้นจึงจบด้วยการแลกหมัดกันโดยไม่รู้ผลแพ้ชนะ โชคดีที่เรื่องไม่ดังขึ้นมาจนเป็นข่าวฉาวอย่างที่กลัว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ถูกพ่อสวดยับไปหลายชั่วโมงจนเข็ดมากอยู่ดี
“มันคงแค้นมากที่เราได้เป็นตัวแทนมาแข่งครั้งนี้ ผมกลัวว่าคนอย่างมันจะคิดไม่ซื่อ” คีตภัทรกล่าวอย่างคนที่มักคิดล่วงหน้าไปก่อน
ทั้งอทิตและนัฐพยักหน้าช้าๆ เชิงเห็นด้วย แต่ภาติวัติกลับนิ่งคิดอย่างที่คาดเดาไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร
“อย่าไปสนใจมันเลย ปล่อยให้มันบ้าไปคนเดียวนั่นแหละดีแล้ว”
การพูดคุยของสี่หนุ่มยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่พวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของใครบางคนตลอดเวลา
หลังจากเริ่มเมาได้ที่ ภาติวัติและพรรคพวกต่างก็ชวนกันกลับเพราะต่างเหนื่อยกับการแข่งขันกันมาทั้งวัน นิดานุชควักเงินจ่ายค่าเครื่องดื่มที่เธอไม่แตะแม้แต่นิดเดียวก่อนเดินตามสี่หนุ่มไปห่างๆ โดยที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำถึงเพียงนี้ เธอควรจะหันหลังกลับตั้งแต่ทราบชื่อยี่ห้อของบรั่นดีที่พวกเขาดื่ม ยี่ห้อเสื้อ นาฬิกา และเครื่องแต่งกายของเขาซึ่งจะนำไปใช้ในงานเขียน แต่ทว่า…เธอไม่อาจห้ามสองขาของตัวเองไม่ให้เดินตามพวกเขาไปได้เลย
ภาติวัติเดินรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ ไปจนกระทั่งถึงมุมตึก อยู่ๆ ใครคนหนึ่งในกลุ่มก็ชะงักฝีเท้าและทำให้ทุกคนพลอยหยุดตามไปด้วย นิดานุชแทบเก็บเสียงร้องไม่อยู่เพราะไม่รู้ล่วงหน้าว่ากลุ่มของชายที่เธอกำลังตามอยู่นี้จะหยุดเดินกะทันหัน หญิงสาวเบิกตากว้างก่อนถอยฉากเข้ามุมตึกให้พ้นจากสายตาพวกเขา
ร่างบางหายใจหอบด้วยความตื่นตระหนก เธอรีบตั้งสตินับหนึ่งถึงสิบก่อนค่อยๆ โผล่หน้ามาดูอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าภาพทีมนักแข่งรถทั้งสี่ที่เธอเห็นเมื่อนาทีก่อนบัดนี้กลายเป็นความว่างเปล่าไปเสียแล้ว เธอรีบพาตัวเองออกจากมุมตึก วิ่งไปยังทิศทางที่คิดว่าพวกเขาน่าจะไปโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ทันใดนั้นเองใครบางคนก็กระชากอย่างแรงจนร่างเธอปลิววืดไปอีกทาง
หัวใจดวงน้อยหล่นหายไปจากอก ใบหน้าใสซีดเผือดจนขาวไปทั้งหน้า มือหนาของใครคนนั้นบีบแขนเธอแรงขึ้น สีหน้าถมึงทึงราวกับจะปลิดวิญญาณเธอ
“คะ…คะ…คุณ”
“เธอตามฉันมาทำไม!”
ภาติวัติเค้นเสียงจนเกือบจะกลายเป็นคำราม นิดานุชเบิกตากว้างแทบหยุดหายใจ ลมตีขึ้นมากลางหน้าอก กระแสเลือดในกายวิ่งช้าลง ก่อนสติสัมปชัญญะจะดับมืดลงเหมือนใครมาปิดสวิตช์ ร่างบางทรุดฮวบลงโดยที่ครั้งนี้ภาติวัติไม่ปล่อยให้เธอร่วงก้นกระแทกพื้นอย่างเคย
นิดานุชลืมตาขึ้นมาอีกครั้งด้วยความคิดว่าตัวเองฝันไป หญิงสาวพยายามปรับสายตาเพื่อให้มองภาพรอบกายได้ชัดเจนมากขึ้น สิ่งแรกที่เธอเห็นคือเพดานห้องสีดำทะมึน หญิงสาวต้องทบทวนความจำของตัวเองอีกครั้งและนึกได้ในทันทีว่าเพดานห้องที่เธอเช่าพักนั้น…เป็นสีขาว
หรือว่านี่คือฝันซ้อนฝัน
“ตื่นขึ้นมา ถ้าไม่อยากหลับตลอดไป”
เสียงกังวานที่เจือปนด้วยความไม่พอใจปลุกคนสะลึมสะลือให้ตื่นเต็มตา ภาพที่เห็นคือชายร่างสูงสี่คนกำลังยืนล้อมเธออยู่ และเป็นภาติวัติที่จ้องมองเธอด้วยแววตาดุดัน
ด้วยสัญชาตญาณ นิดานุชถดกายหนีจนร่วงจากโซฟาก้นกระแทกพื้นดังอั้ก! เคราะห์ดีที่ยังมีพรมรองรับน้ำหนัก ไม่เช่นนั้นเชื่อได้เลยว่าเธอจะต้องเดินไม่ได้ไปอีกหลายวัน แต่ถึงจะเจ็บเพียงใดหญิงสาวก็ไม่มีแก่ใจจะคิดถึงมันแม้แต่น้อย เพราะเวลานี้เธอกำลังประหวั่นพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ตรงหน้ามากกว่า
“คุณจะทำอะไรฉัน”
“แล้วเธอล่ะ คิดจะทำอะไร”
ภาติวัติถามขณะที่สืบเท้าเข้าไปหา นิดานุชถอยกรูดจนชิดกำแพง
เธอตายแน่แล้ว เธอต้องเอาชีวิตมาทิ้งในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอน เลวร้ายไปกว่านั้น…
เธออาจต้องมาเสียพรหมจรรย์ที่นี่
“ฉันเปล่านะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไร”
“เธอตามฉันมา!” ภาติวัติโต้กลับด้วยเสียงอันดังจนร่างเล็กสะดุ้งละล่ำละลักตอบ
“ไม่ ฉันไม่ได้ตามพวกคุณเลยนะ คุณเข้าใจผิด”
“เธอคิดว่าฉันจำเธอไม่ได้เหรอ เธอทำถ้วยแชมป์ซูเปอร์คาร์ฉันเสียหาย แล้วยังมาโผล่ที่นี่อีก เหลือเชื่อเกินไปหน่อยไหมถ้าจะบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ”
นิดานุชกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ไม่คิดว่าเขาจะจำเธอได้
“ปากแข็งแบบนี้ต้องใช้วิธีทรมานถึงจะยอมเปิดปาก จัดเลยไหมเฮีย” คีตภัทรเสนอสีหน้าจริงจังติดเหี้ยมเกรียมเสียจนคนถูกขู่หน้าซีดลงไปอีก
“ว่าไง เธอจะบอกดีๆ หรือว่าจะให้ใช้วิธีทรมาน” ใบหน้าหล่อเหลาเคร่งเครียดขึ้น จนกระทั่งเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ายังเอาแต่ทำหน้าตื่นแต่ไม่ยอมปริปาก ความอดทนเขาจึงหมดลงในนาทีนั้น “อย่าเสียเวลาถามเลย ไอ้คราม เอามีดมา”
มีด! เขาจะเอามีดมาทำไม!
“นี่! คุณ…คุณจะฆ่าฉันเหรอ! หรือว่า…” ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ปากสั่นระริก “หรือว่าจะ…จะฆ่าข่มขืนฉันเหรอ!”
“ว่าไงนะ!” ภาติวัติหันกลับมามองคนพูดด้วยแววตาคล้ายเหลือเชื่อ ในขณะที่อทิต นัฐ และคีตภัทรหน้าเหวอไปตามๆ กัน “ดูสภาพตัวเองบ้างนะ”
คำพูดติดเหยียดหยามและสายตาดูถูกอย่างเปิดเผยของภาติวัติและผองเพื่อนทำให้ความกลัวของนิดานุชจางหายไปหมดสิ้นก่อนจะแทนที่ด้วยความโกรธจัด เธอลุกพรวดขึ้นมายืนประจันหน้ากับชายทั้งสี่อย่างเอาเรื่อง
นิดานุชเกลียดการโดนดูถูกมากที่สุด เพราะถ้ารับได้เธอคงไม่ต้องตามผู้ชายแปลกหน้ามาไกลถึงนี่เพียงเพราะต้องการดูความเป็นไปของเขาเพื่อนำไปใช้เขียนนิยายเรื่องต่อไป แต่เพราะเธอรับไม่ได้ซ้ำยังเกลียดเอามากๆ ถึงได้ยอมทุ่มเทเพื่อลบคำสบประมาทของนักวิจารณ์นิรนาม และถึงเธอจะไม่ได้อยากถูกข่มเหง แต่วิธีพูดของเขาก็น่ารังเกียจไม่แพ้กัน
“สภาพอย่างฉันมันเป็นยังไงไม่ทราบ!”
“เฮ้ย! ไอ้ภาค ปล่อยเขาไปเถอะว่ะ ฉันว่ายายนี่สติไม่ค่อยดีว่ะ เมื่อกี้ยังกลัวพวกเราอยู่เลยนะโว้ย! ตอนนี้มายืนเถียงหน้าตาเฉย” อทิตเดินไปกระซิบเพื่อนรุ่นน้องขณะที่สายตายังจับจ้องร่างเล็กไม่วางตา
“สภาพยังไงน่ะเหรอ” ภาติวัติไม่ได้สนใจคำเตือนของอทิต เขายังโต้ตอบคนที่เพื่อนรุ่นพี่บอกว่า ‘สติไม่ค่อยดี’ ต่อไปอย่างไม่ลดละ “ที่บ้านเธอคงไม่มีกระจกล่ะมั้งถึงได้ถามคำถามนี้ออกมา ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยเจอผู้หญิงที่ไร้เสน่ห์แบบเธอมาก่อนเลย อย่าว่าแต่คิดจะทำอะไรแบบนั้นเลย แค่มองยังรู้ว่าไม่ชอบ แล้วถ้าคนอย่างฉันอยากจะมีอะไรกับผู้หญิงสักคนคงไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยขนาดนั้นหรอกมั้ง”
ภาติวัติไม่พูดเปล่าเขายังมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ร่างบอบบางสวมชุดเสื้อยืดกางเกงยีนขายาวพอดีตัว ผมยาวตรงถูกรัดด้วยหนังยางไว้กลางศีรษะบัดนี้หลุดลุ่ย
“น่าเกลียด วิจารณ์ผู้หญิงเสียๆ หายๆ แบบนี้ได้ยังไง”
“เลิกพล่ามได้ละ เธอบอกมาดีกว่าว่าเธอตามพวกเรามาทำไม ไม่งั้น…”
แทนคำพูด ภาติวัติคว้าแขนของหญิงสาวนิรนาม ออกแรงกระชากจนร่างนั้นปลิววืดมาชิดตัวเขา กดบ่าเธอให้โน้มกายลงก่อนดึงมือบอบบางมาวางแนบกับโต๊ะแล้วหันไปหาคีตภัทร “เอามีดมา”
นิดานุชตาเหลือก มองมือตัวเองที่ถูกกดให้แน่นิ่งกับโต๊ะเย็นชืดด้วยความกลัวสุดชีวิต นิ้วทั้งห้ากางออกคล้ายๆ กับว่ามันกำลังจะสั่งลา หญิงสาวออกแรงดึงหวังให้หลุดจากพันธนาการของเขาทว่าไร้ผล จนกระทั่งมีดปลายแหลมจิ้มลงระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง สติเธอก็แทบจะดับมืดไปอีกรอบ
“ไอ้อรรถมันให้เธอมาทำอะไร”
“อรรถไหน ฉันไม่รู้จัก”
“บอกไปสิยายหนู ก่อนที่นิ้วจะหาย” อทิตช่วยเร่งอีกแรง
นิดานุชช้อนตามองชายหนุ่มทั้งสี่คนเหมือนเห็นฝูงไฮยีน่ากำลังรุมทึ้งเหยื่อก็มิปาน
ใช่แล้ว งานนี้เธอคือ ‘เหยื่อ’ อย่างไม่ต้องสงสัย ภาพบรรยากาศของห้องชุดหรูราคาแพงจึงไม่ต่างจากลานประหารชีวิต
“นับหนึ่งถึงสาม หนึ่ง…” ภาติวัติบอกท่าทางเอาจริง
“อย่านะ ฉันยอมแล้ว ฉันยอมบอกก็ได้ว่าฉันตั้งใจสะกดรอยตามคุณ”
ภาติวัติหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบที่ตรงกับความเข้าใจตั้งแต่แรก เขาดึงร่างบางขึ้นแล้วผลักเธอนั่งลงบนโซฟา
นิดานุชรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสิ่งของสักอย่างที่เขาจับลุกจับโยนได้ตามใจชอบ เธอพยายามควบคุมอาการสติแตกให้ได้มากที่สุด ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไรกันแน่ เธอมั่นใจว่าบุคคลกลุ่มนี้ไม่ใช่พวกโจรผู้ร้ายหรือมาเฟียที่จะทำอะไรเธอในลักษณะนั้นได้ ตรงกันข้ามภาติวัติเป็นถึงลูกชายของบริษัทผลิตเบียร์รายใหญ่ เป็นที่รู้จักของคนในสังคม ในขณะเดียวกันชายอีกสามคนก็อยู่ในกลุ่มของทีมแข่งรถระดับโลก แต่เหตุใดพวกเขาถึงได้แสดงพฤติกรรมเหมือนพวกแก๊งผู้มีอิทธิพล ข่มขู่เธออย่างไร้อารยธรรม
“ตามพวกฉันมาทำไม ไอ้อรรถมันให้มาล้วงความลับอะไรหรือไง”
“ที่ฉันตามคุณก็เพราะว่าฉันชื่นชอบคุณต่างหาก คนชื่ออรรถอะไรนั่น ฉันไม่รู้จัก” นิดานุชไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดแต่เธอก็ไม่ได้โกหก
เธอต้องชื่นชอบในตัวเขาอยู่แล้ว ถ้าไม่ชอบเธอจะเลือกเขามาเป็นอิมเมจพระเอกนิยายของเธอทำไม แต่ตอนนี้เริ่มไม่มั่นใจเพราะเริ่มเอนเอียงไปทางเกลียดมากกว่า
“ชื่นชอบ แบบอยากเป็นเมียของเฮียภาคน่ะหรือ” คราวนี้นัฐที่นิ่งเงียบมาตลอดออกความเห็น
ภาติวัติกอดอกหรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้า
ถ้าเป็นเพราะเหตุนั้นจริงๆ เธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว
“บ้าเหรอ! ฉันแค่ชอบที่เขาเก่ง ไม่ได้อยากเป็นเมีย” นิดานุชหน้าง้ำ
คนพวกนี้หยาบคายชะมัด ทั้งที่หน้าตาก็ดูหล่อเหลา แต่ปาก…เหมือนเลี้ยงสุนัขไว้ทั้งฝูง
“เธอชื่ออะไร”
“นิดานุช” ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องปิดบัง “รู้แล้วก็ปล่อยฉันไปสิ”
“ชอบฉัน แล้วทำไมต้องทำท่าเหมือนหวาดระแวงแบบนั้น”
“สิ่งที่คุณทำกับฉันไม่น่ากลัวเลยมั้งคะ” พูดพลางลูบข้อมือ ความเจ็บจากการถูกบีบอย่างแรงยังไม่จางหาย นึกโมโหตัวเองที่ขวัญอ่อนจนหมดสติเลยเป็นเหตุให้เขาลากเธอมาในที่ลับตาคนแบบนี้
“คิดว่าแค่พูดแล้วพวกเราจะเชื่อเหรอ” ภาติวัติตั้งแง่ มันเชื่อยากจริงๆ ว่าเธอชอบเขา เพราะดูเหมือนเจ้าหล่อนต้องการผลประโยชน์บางอย่างมากกว่า ที่ผับเขาก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวพยายามฟังในสิ่งที่พวกเขาพูด คอยจดข้อความลงสมุดบักทึกตลอดเวลาอีกด้วย
ใช่! สมุดบันทึก
“ไอ้นัฐ เอากระเป๋าเธอมา”
นัฐหยิบส่งให้ทันที ภาติวัติควานหาของในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลขนาดพอเหมาะ ไม่นานก็พบกับสิ่งที่ต้องการ
นิดานุชตกใจไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ เธอทั้งกลัวทั้งโมโหในความถือวิสาสะของเขา “อย่านะ! คุณไม่มีสิทธิ์ค้นของของคนอื่น”
“ใครสนล่ะ” ดวงตาร้ายเปล่งประกายวูบ
นิดานุชอยากจะกระโดดไปทึ้งผมดกหนาของเขานัก เธอลุกยืนขึ้นตั้งใจจะคว้าของในมือเขา แต่ถูกคนที่เธอแน่ใจว่าชื่อ ‘นัฐ’ และ ‘คราม’ ดึงตัวไว้
ภาติวัติกวาดตาอ่านข้อความในหน้ากระดาษอย่างเร่งรีบ สิ่งที่เห็นคือภาพถ่ายของเขากับข้อมูลส่วนตัวยาวเหยียดตั้งแต่ประวัติ รายการแข่งขันตั้งแต่รายการแรกจนถึงรายการที่รอแข่งถึงสิ้นปี และในหน้าที่เธอเขียนล่าสุดคือยี่ห้อแอลกอฮอล์ เสื้อผ้า นาฬิกาที่เขาสวมวันนี้
ไม่มีข้อความไหนที่แสดงให้เห็นว่าเธอประสงค์ร้ายต่อเขา ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นมันก็ดูน่ากลัวมากอยู่ดีที่มีใครก็ไม่ทราบมีข้อมูลของเขามากเพียงนี้ มากจนเหมือนรู้จักเขาดีกว่าตัวเขาเองด้วยซ้ำ
ดวงตาสีนิลหันกลับมามองคนที่ถูกนัฐและคีตภัทรล็อกตัวไว้ เธอเป็นหญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้ากระจ่างใสเดาอายุไม่น่าจะเกินสิบแปดปี การแต่งกายก็เหมือนเด็กยังไม่พ้นวัยมัธยม
“เธอชอบฉันจริงๆ เหรอสาวน้อย” ภาติวัติเดินเข้ามาใกล้ เชยคางมนให้เงยหน้าสบตากับเขา ซึ่งเขาไม่พบแววตาแห่งความชื่นชมใดๆ จากเธอ ตรงกันข้ามมันเป็นแววตาแห่งความหวาดหวั่นมากกว่า
“ฉัน…คือว่า…ฉัน…” นิดานุชพูดไม่ออก ใจเธอเต้นรัวแรงขึ้นเหมือนมันจะทะลุออกมาจากอก ใบหน้าหล่อเหลาห่างจากเธอแค่คืบ ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมผสมแอลกอฮอล์จากกายกำยำของเขา
“ว่าไง ถามทำไมไม่ตอบ”
“ฉันชอบคุณ แต่ว่า…ฉันไม่ได้อยากเป็นเมียคุณ” นิดานุชหลับตาปี๋ไม่กล้าสบตา เธอกำลังโกหกหรือพูดความจริงอยู่กันแน่ สับสนจนบรรยายไม่ถูกแล้ว
เธอไม่ชอบที่เขาไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ ใช้คำพูดกล่าวดูถูกเธอ และแสดงพฤติกรรมกักขฬะ ทว่าอีกใจ…เธอก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงดูดในตัวภาติวัติซึ่งทำให้หัวใจเธอสั่นระรัว เขาเป็นภาพพิมพ์ของพระเอกนิยายเธอได้
เป็นได้อย่างดีเสียด้วย
“ถึงเธออยาก ฉันก็ไม่สงเคราะห์เธอหรอก จำไว้ให้ดีนะยายเด็กไร้สาระ อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก ฉันไม่ต้องการให้คนอย่างเธอมาตามชอบฉัน เอาเวลานี้ไปตั้งใจเรียนดีกว่ามั้ง”
ฉันเรียนจบแล้ว อีตาบ้า! นิดานุชเถียงอยู่ข้างในใจ
“เข้าใจที่ฉันพูดไหม”
นิดานุชไม่ตอบแต่พยักหน้าช้าๆ
“เข้าใจว่าอะไร”
“อย่ายุ่งกับคุณอีก อย่ามาให้คุณเห็นหน้า”
“ดีมาก ปล่อยเธอซะ”
นัฐกับคีตภัทรปล่อยร่างเล็กให้เป็นอิสระทันที หญิงสาวรีบถลาไปคว้าสมุดบันทึกจากเขา แต่เจ้าของร่างสูงชูขึ้นสุดแขนทำให้คนตัวเล็กไม่สามารถคว้าเอาในสิ่งที่ต้องการได้ซ้ำยังเหมือนว่าเธอกับเขากำลังใกล้ชิดกันมากเกินไปอีกด้วย
นิดานุชเริ่มรู้สึกตัว หญิงสาวถอยออกมามองอย่างเคืองๆ
“คุณ ฉันขอของของฉันคืนด้วย”
“ไม่ได้ ฉันยึด”
“ได้ไง นั่นมันของของฉันนะ”
“แต่ข้างในนี้มีข้อมูลของฉันเต็มไปหมด เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันไปอยู่ในมือเธอ”
“แต่ว่ามันสำคัญกับฉันมาก ขอคืนเถอะค่ะ”
ภาติวัติมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างประเมิน ถ้าหากว่าเธอชอบเขาจริงๆ ก็เท่ากับว่าเธอคลั่งเขามากเลยทีเดียวถึงได้ต้องการสมุดเล่มนี้คืนขนาดนี้
ให้ตายเถอะ ถึงอย่างไรก็ดูน่ากลัวมากเกินไปอยู่ดี เขาไม่ใช่ดาราที่จะเป็นปลื้มกับการคลั่งไคล้อย่างไร้สติแบบนี้
“เลือกเอา ว่าเธอจะออกจากห้องนี้ไปโดยที่มีชีวิต…แต่ไม่มีสมุดนี่ หรือเธอจะออกไปแบบมีสมุดนี่…แต่ไม่มีชีวิต”
ดวงตาเขาฉายแววเหี้ยมเกรียมขึ้นอีกครั้ง จนนิดานุชอยากจะร้องไห้
ถ้าหากว่าไม่มีสมุดนั่นก็เท่ากับว่าสิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดสูญเปล่า เธอทุ่มเทแทบตายเพื่อรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาใช้ในการเขียนนิยายของเธอ แต่แววตากร้าวของภาติวัติก็บ่งบอกว่าเขาไม่ยอมคืนมันให้เธอแน่ๆ
เธออยากยอมตายจริงๆ นะถ้าเป็นไปได้…
* Track (แทร็ก) เส้นทางวิ่งในสนาม
* WTCC : FIA World Touring Car Championship เป็นการแข่งขันทัวริ่งคาร์ชิงแชมป์นานาชาติ ซึ่งสนับสนุนโดยสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ