ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย เงาเพลิงสะท้านปฐพี เล่ม 1 บทนำ – บทที่ 1
บทนำ
กลิ่นคาวเลือด… กลิ่นคาวเลือดที่ฉุนแรงจนชวนให้คนคลื่นเหียน…
ใต้เสาทองแดงต้นใหญ่สองต้นบนลานกว้าง หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีถูกมัดในสภาพสะบักสะบอม ได้แต่ส่งเสียงโหยหวนครวญครางที่ฟังอู้อี้ ปากของพวกเขาต่างถูกผลหมาเหอเถา* ยัดเอาไว้จึงพูดออกมาไม่ได้แม้เพียงครึ่งคำ ทว่าเสียงโหยหวนครวญครางแผ่วอ่อนกลับทำให้ทุกผู้ที่ถูกบังคับให้มองดูพวกเขารับโทษทัณฑ์อยู่บนลานกว้างประหวั่นพรั่นพรึงดั่งว่าเป็นเสียงฟ้าร้องก็มิปาน
ภายใต้กลดที่เรียงรายอยู่สองข้างลานมีหญิงงามในอาภรณ์หรูหราสดสวยนั่งอยู่สิบกว่านาง ด้านหลังพวกนางมีนางกำนัลขันทียืนอยู่ไม่น้อย ยามนี้ล้วนแล้วแต่ตกใจจนหน้าเผือดสี ไม่มีแก่ใจจะมาสนเรื่องมารยาทอิริยาบถโดยสิ้นเชิง
สตรีที่นั่งอยู่เหล่านี้ล้วนเป็นสนมชายาขององค์รัชทายาท เมื่อไม่กี่วันก่อนสตรีที่ถูกทรมานจนสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนนางนั้นก็เป็นหนึ่งในเหล่าสนมชายา ต่อให้เป็นคนที่เคยกระทบกระทั่งกับนางด้วยเรื่องหึงหวง เคยเกลียดนางเข้ากระดูกดำ แต่ยามนี้อีกฝ่ายกลับกลายเป็นเช่นนี้เสียแล้ว ไม่ว่าใครก็ทนดูสภาพน่าสังเวชของนางไม่ไหว
เรือนร่างเปลือยเปล่าของคนทั้งสองที่อยู่บนเสาทองแดงถูกตาข่ายห่อพันอย่างแน่นหนาทั่วทั้งตัว ในมือของสองเพชฌฆาตที่รับหน้าที่ลงทัณฑ์ต่างถือมีดใบหลิวไว้คนละเล่ม รัศมีสีเงินวาบขึ้น เนื้อหนังโชกเลือดชิ้นหนึ่งตกลงบนถาดทองแดงที่ผู้ช่วยถือประคองอยู่ด้านข้าง
เพชฌฆาตทั้งสองและผู้ช่วยของพวกเขามีสีหน้าเฉยชา ประหนึ่งว่าผู้ที่รับทัณฑ์เถือหนังแล่เนื้ออยู่ใต้น้ำมือพวกเขาหาใช่เผ่าพันธุ์เดียวกับพวกเขา แต่เป็นเพียงท่อนไม้ไร้ชีวิตสองท่อน ลงมีดไปครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างละเอียดแม่นยำโดยปราศจากความลังเล
องค์รัชทายาทมีบัญชาให้ชายหญิงที่บังอาจเล่นชู้ลับหลังเขาได้รับโทษทัณฑ์เฉือนเนื้อพันชิ้น เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องถูกเฉือนให้ครบพันก่อนจึงจะพ้นทุกข์ไปได้!
‘นาง’ นั่งอยู่บนแท่นสูงเบื้องหน้าลานกว้าง ถูกรัชทายาทในชุดแพรสีนิลปักลายมังกรทองโอบไว้ในอ้อมแขน แม้จะอยู่ภายใต้ดวงตะวันเจิดจ้านางกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นสักกระผีก รู้สึกได้เพียงความหนาวเหน็บ หนาวจนเสียดกระดูก
เสียงโหยหวนครวญครางเหล่านั้นเหมือนเป็นคำสาปแช่งเร่งเอาชีวิต ทำให้ทั้งร่างนางสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางอยากจะปิดหูแล้วหนีไปให้พ้นจากทั้งหมดทั้งมวลนี้นัก หากแต่นางไม่กล้า…และก็ไม่สามารถ
แขนที่โอบอยู่บนเอวนางราวกับเป็นห่วงเหล็กจำกัดการเคลื่อนไหวทั้งหมด นางทำได้เพียงขดตัว พยายามบังคับให้ตนเองมองผ่านเรื่องโหดเหี้ยมที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้านข้าง มองผ่านบุรุษน่ากลัวที่มีคำสั่งให้ลงทัณฑ์ทารุณนี้และในยามนี้ก็กำลังกอดนางไว้แน่น
ครั้นสังเกตเห็นอาการสั่นเทาของนาง รัชทายาทก็เปล่งเสียงหัวเราะทุ้มต่ำออกมา เขาโอบกระชับนางแน่นขึ้น ก้มหน้าลงขบติ่งหูนางก่อนเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “คนงามตัวน้อยที่น่าสงสารของข้าตกใจแย่แล้วหรือนี่ ไม่ต้องกลัว…ถ้าเจ้าเชื่อฟังว่าง่าย ข้าย่อมจะทะนุถนอมเจ้าอย่างดี”
เชื่อฟัง…เชื่อฟัง…ถ้านางไม่เชื่อฟังเล่า นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าสิ่งที่รอนางอยู่จะเป็นอะไร…
หูถูกขบจนทั้งคันทั้งเจ็บ ลมหายใจผ่าวร้อนรดอยู่ในหูนาง กระตุ้นให้นางตัวสั่นขึ้นมาอีกครั้ง นางหลับตาแน่น หวังว่าเพชฌฆาตสองคนนั้นจะรีบจัดการผู้ต้องโทษให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว รวมทั้งหวังว่ารัชทายาทที่กอดอยู่จะรีบปล่อยนางไปเสียเช่นกัน…นางรู้สึกอยู่ตลอดว่าอีกประเดี๋ยวบุรุษผู้นี้ก็จะกัดหูนางอย่างไม่ปรานี จากนั้นก็กินนางทั้งเป็นทีละคำๆ
รัชทายาทสำราญกับท่าทางปวกเปียกอ่อนแอตัวสั่นงันงกของคนที่อยู่ในอ้อมแขนเขายิ่งนัก สองมือเริ่มเคลื่อนไปบนร่างนางอย่างอุกอาจ ประหนึ่งว่าเป็นหมาป่าหิวโหยที่จับเหยื่ออันโอชะมาได้แล้วกำลังสำรวจตรวจสอบผลงานของตนอย่างกระหยิ่มใจ พิจารณาว่าควรกัดชิมคำแรกตรงใดจึงจะอร่อยที่สุด
นางพยายามควบคุมร่างกายไม่ให้หลบเลี่ยงแม้จะหวาดกลัวและอับอายเหลือกำลัง เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้นนางจะถูกลงโทษ ยิ่งอยากหนีเท่าไร ท้ายที่สุดก็จะได้รับความอดสูทรมานมากขึ้นเท่านั้น
ความเจ็บปวดระคนแสบคันที่หูหาได้สิ้นสุดลง รัชทายาทคล้ายว่าจะชอบขบเลียติ่งหูนางเป็นพิเศษ
นางจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนนางข้าหลวงอาวุโสที่พระอัครมเหสีส่งมาพบว่านางยังไม่ได้เจาะหูจึงจัดแจงเจาะติ่งหูทั้งสองแล้วใส่ต่างหูมุกให้นาง ผลคือหลังจากเขามาพบก็มีคำสั่งให้ตัดมือทั้งสองของนางข้าหลวงด้วยเหตุผลว่า ‘แตะต้องของของเขา’
นับแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าข้ารับใช้ที่ปรนนิบัตินางก็ยิ่งระวังตัวแจ แววตาที่มองนางไม่มีความอ่อนโยนชิดเชื้ออีกต่อไป เหลือเพียงความระแวดระวัง ไม่กล้าแตะต้องนางอีก
หากเป็นเวลาปกติ ท่าทางกกกอดสนิทแนบแน่นของคนทั้งสองไม่รู้ว่าจะทำให้สนมชายาแห่งวังตะวันออกมากน้อยเพียงไรต้องอิจฉาตาร้อน ทว่ายามนี้คนทั้งหมดล้วนถูกฉากเหตุการณ์คลุ้งคาวเลือดอันโหดเหี้ยมไร้มนุษยธรรมบนลานกว้างกระทบกระเทือนจนจิตใจสับสนอย่างยิ่ง ในก้นบึ้งหัวใจรู้สึกเห็นใจสาวน้อยที่ถูกโอบรั้งอยู่ในอ้อมแขนรัชทายาทขึ้นมาครามครัน
ติดตามกษัตริย์ดุจติดตามพยัคฆ์! โดยเฉพาะเป็นพยัคฆ์ร้ายกระหายเลือดทั้งยังอารมณ์ไม่คงเส้นคงวาตัวหนึ่งยิ่งแล้วใหญ่!
ทัณฑ์ทารุณบนลานกว้างยังคงดำเนินต่อไป สนมชายาหลายคนที่ถูกบังคับให้มา ‘ร่วมชมพิธี’ อดจะก้มตัวลงอาเจียนลมออกมาไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีบางคนที่สลบไปดื้อๆ หากแต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยขอตัวออกไปก่อน
ประสงค์ของรัชทายาทชัดเจนยิ่ง เขาต้องการให้ทุกคนในวังตะวันออกรู้ถึงจุดจบของการทรยศเขา!
กลิ่นคาวเลือดข้นแรงคล้ายกระตุ้นอารมณ์ของเขาอย่างมาก เขาสอดมือเข้าใต้ชุดหลายชั้นของนาง เคล้นคลึงร่างนางตามอำเภอใจท่ามกลางธารกำนัลโดยไม่หลบเลี่ยงสักนิด
นางปรารถนาคนช่วยเหลือเกิน แสงอาทิตย์จ้าจนตาลาย หางตาเหลือบเห็นนางกำนัลขันทีที่ยืนรอปรนนิบัติอยู่บนแท่นต่างถอยหลบไปด้านข้าง เบือนหน้าหนีไม่กล้ามองมาทางนี้
“เชื่อฟังว่าง่าย เข้าใจหรือไม่” คำเตือนทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู ร่างบางถูกยกขึ้นก่อนกดลงบนโต๊ะหยกเขียวเย็นยะเยือกที่เบื้องหน้า
บทที่ 1
นี่เป็นฝันร้าย! ขอแค่ตื่นขึ้นมาก็ไม่เป็นไรแล้ว! ขอแค่ตื่นขึ้นมา!
ทันใดนั้นจูจูก็พลันลืมตาขึ้น สิ่งที่สะท้อนเข้ามาในม่านตาคือมุ้งผ้าที่สีเริ่มเหลืองแล้ว ในอากาศคลุ้งไปด้วยกลิ่นสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้าที่มีอยู่เฉพาะในเขา ไม่ใช่กลิ่นควันกำยานที่เข้มข้นอบอวลจนเหมือนจะท่วมทับนางให้จมอยู่ในนั้น
นางสงบสติก่อนพูดในใจ นั่นเป็นแค่ฝันร้ายเท่านั้น…
หัวใจที่สูญเสียการควบคุมค่อยๆ เต้นสงบลง จูจูลุกขึ้นนั่งพลางมองดูการตกแต่งอันเรียบง่ายจนเรียกได้ว่าหยาบภายในห้อง นางโล่งใจ มีความรู้สึกหลุดพ้นคล้ายว่าได้รอดชีวิตมาจากมหันตภัย
นางหยิบเสื้อผ้ามาคลุมร่างก่อนลงจากเตียงแล้วเดินไปห้องครัวด้วยสภาพเหมือนวิญญาณออกจากร่าง เอียงศีรษะคิดอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังคิดไม่ออกว่าทำไมตนถึงฝันเช่นนี้อยู่เรื่อย นางมองเห็นเค้าโครงเครื่องหน้าของคนในฝันเหล่านั้นไม่ชัด แต่กลับรู้ดีถึงฐานะของพวกเขาและความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถึงขนาดว่ายามที่นางกลายไปเป็นตัวเอกในฝันนั้น นางคล้ายจะมีความทรงจำของคนอีกผู้หนึ่งอยู่ รับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นกับตัว ‘นาง’
แต่เมื่อตื่นจากฝันมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เลือนรางลงอีกครั้ง
ครั้นก้มหน้าลงมองเงาสะท้อนของตนในอ่างทองแดงเบื้องหน้า จูจูก็รู้สึกกลัดกลุ้มอย่างมาก…ใบหน้าซื่อๆ แสนธรรมดาของสาวชนบทอันเป็นแบบฉบับยังคงเหลืองซูบซีดเหมือนได้รับการบำรุงไม่เพียงพอ ตาโตแต่ไร้ชีวิตชีวา ขนคิ้วบาง จมูกทั้งแบนทั้งเล็ก นางกำนัลเล็กๆ ในฝันเหล่านั้นน่าจะสวยกว่านางเป็นร้อยเท่า รัชทายาทอะไรนั่นจะชอบหญิงชาวบ้านเช่นนี้หรือ ความชมชอบต้องพิลึกถึงเพียงใดกัน!
จูจูคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก นางเป็นเพียงเด็กกำพร้า หนีภัยแล้งมาตั้งรกรากยังหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้กับท่านยาย เมื่อครึ่งปีก่อนท่านยายเองก็จากไปอีกคน ในความทรงจำอันน้อยนิดของนาง อย่าว่าแต่รัชทายาทในวังหลวงเลย กระทั่งขุนนางชั้นผู้น้อยสักคนนางยังไม่เคยได้เห็น
ภาพที่รางเลือนแต่ก็เหมือนจริงแต่ละฉากเหล่านั้นนางจินตนาการออกมาได้อย่างไรกัน!
เมื่อนึกย้อนถึงเรื่องต่างๆ ในฝันขึ้นมาจูจูก็อดหน้าแดงไม่ได้ ต่อให้ตนถึงวัยที่จะคิดเรื่องความรัก แต่การฝันเช่นนี้ก็เหลวไหลนอกลู่นอกทางเกินไปแล้ว สมองนางไม่ได้มีปัญหา อีกทั้งนางยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ไฉนถึงจินตนาการว่าทำเรื่องพรรค์นั้นกับเจ้าคนวิปริตกระหายเลือดได้เล่า
จูจูเอื้อมมือดึงผ้ากลางเก่ากลางใหม่บนชั้นข้างผนังมาโยนลงน้ำ ทำให้เงาสะท้อนของตนแตกออกจากกัน จากนั้นก็คว้าขึ้นมาบิดจนหมาดแล้วออกแรงเช็ดหน้า
เช็ดจนหนังแทบหลุดไปสามชั้นแล้วก็ยังไม่เห็นสาวงามสักคน! เป็นแค่ความฝันเท่านั้น ไยต้องไปคิดให้มากมาย จูจูเหลือกตาและหันกลับไปก่อไฟทำอาหารอย่างยอมรับชะตากรรม
น้ำแกงผักป่าสองชาม ใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่ง เพิ่งจะทำเสร็จยกขึ้นโต๊ะ ประตูห้องครัวก็ถูกคนถีบเปิดจากด้านนอกอย่างโผงผางหยาบคาย เด็กหนุ่มในชุดเขียวครามที่ดูแล้วอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดผู้หนึ่งก้าวอาดๆ เข้ามาในอาณาเขตของจูจู เขาหันหลังให้แสงจึงมองเห็นหน้าตาเขาได้ไม่ชัด
เด็กหนุ่มเหลือบมองน้ำแกงผักป่าบนโต๊ะปราดหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้วถามด้วยท่าทีและน้ำเสียงดุร้าย “กินเจ้านี่น่ะหรือ! ไก่ฟ้าห้าสีสองตัวที่ข้าหิ้วมาให้เมื่อวานเล่า!”
จูจูถูกผู้มาเยือนทำเอาตกใจจนสะดุ้ง นางถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่รู้ตัวก่อนตอบอ้ำอึ้ง “ตะ…ตอนเช้ากินของมันเกินไปไม่ดี ดะ…ดะ…เดี๋ยวข้าทำให้ท่านกินตอนเที่ยงได้หรือไม่…โอ๊ย!”
ยังพูดไม่ทันจบเด็กหนุ่มชุดเขียวครามก็ยื่นกรงเล็บมาดึงหูนางหมับพร้อมยื่นหน้ามาตรงหน้านางแล้วด่าว่า “ในสมองหมูของเจ้าใส่อะไรเอาไว้ ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วว่าเช้านี้จะออกเดินทางไปกราบอาจารย์ที่เขาเซิ่งจื้อ แล้วก็จะอยู่บนเขาตลอด ตอนเที่ยงยังจะมากินไก่ฟ้าห้าสีอะไรได้อีก”
เมื่ออยู่ใกล้ก็มองเห็นได้ชัดเจนว่าเด็กหนุ่มหน้าตาดีเป็นที่สุด เรียวคิ้วดุจดาบ ดวงตาดุจดวงดาว ในเครื่องหน้าที่หล่อเหลาประณีตบรรจงแฝงไว้ด้วยความเย็นชาและเสน่ห์ดึงดูด แม้จะหน้าตาถมึงทึงด้วยความโมโหก็ยังคงน่ามองอย่างยิ่ง
จูจูพรรณนาไม่เป็น เพียงแต่คิดถึงคำพูดหนึ่งที่ดูขัดแย้งกันขึ้นได้…‘แม้นเย็นชาไร้น้ำใจก็ยังชวนให้หวั่นไหว’
ไฉนนางจึงคิดถึงคำพูดที่สุภาพสละสลวยเพียงนี้ขึ้นมาได้เล่า เหมือนว่านางจะไม่เคยเข้าสำนักศึกษาและก็ไม่เคยได้ร่ำเรียนเขียนอ่านอะไรเลยนี่นา…พลันอาการใจลอยที่นางเป็นจนเคยชินก็ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บที่หูอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วซ้ายขึ้น มองประเมินนางอย่างดุร้ายดูแคลน แววตานั้นแสดงออกอย่างชัดเจนว่าถ้าไม่ให้คำชี้แจงที่น่าพอใจแก่เขา เขาจะบิดหูนางให้หลุด!
จูจูเจ็บจนน้ำตารื้น กล่าวอย่างนอบน้อมสงบเสงี่ยม “ชะ…เช่นนั้นข้าจะไปทำมาให้ท่านกินตอนนี้เลย…”
หากแถข้างๆ คูๆ มีแต่จะถูกใช้กำลังกำราบ ยอมรับความผิดอย่างซื่อตรงแล้วแก้ไขเสียเดี๋ยวนี้ยังพอจะมีทางรอด
เด็กหนุ่มชุดเขียวครามแค่นเสียงหนักออกมาเสียงหนี่ง เขาปล่อยหูนางออกแล้วว่า “รอเจ้าทำเสร็จฟ้าคงมืดค่ำกันพอดี แล้วจะออกเดินทางไปทันได้อย่างไร สัมภาระเก็บเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ รีบกินให้เสร็จแล้วตามข้าไป!”
“หา? สัมภาระ?” จูจูงุนงง นางจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนเด็กหนุ่มเคยบอกกับนางเรื่องที่จะขึ้นเขาเซิ่งจื้อไปกราบอาจารย์เพื่อฝึกวิชา หากแต่เขาอยู่บ้านข้างๆ ไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน แล้วนางจะไปเก็บสัมภาระให้เขาได้อย่างไร ไม่สิ! เขาว่าให้ตามเขาไป!?
หูที่เพิ่งจะรอดพ้นภัยกลับมาตกอยู่ในเงื้อมมือมารอีกครั้ง เด็กหนุ่มบิดมันอย่างแรงพลางพูดด้วยโทสะ “เจ้าหมูโง่! แน่นอนว่าเจ้าต้องไปเขาเซิ่งจื้อด้วยกันกับข้า เรื่องนี้ต้องให้ข้าสั่งให้ข้าเตือนด้วยหรือ!”
จูจูทางหนึ่งพยายามช่วยชีวิตหูของตนอย่างเต็มที่ อีกทางก็พูดเสียงค่อย “ข้าไม่ได้อยากบรรลุมรรคผลเป็นเซียนอมตะเสียหน่อย จะไปเขาเซิ่งจื้อทำไมกัน”
เด็กหนุ่มตะลึงไปก่อนพูดด้วยความโมโห “โอกาสที่ผู้อื่นขอให้ตายยังไม่ได้มา ข้าอุตส่าห์ยอมพาเจ้าไปด้วย เจ้ายังจะเล่นตัวอีก!?”
“ข้าไม่อยากบำเพ็ญเซียน อยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว” จูจูดิ้นหลุดจากกรงเล็บมารมาได้อย่างยากลำบาก นางป้องหูไว้พลางวิ่งหนีอย่างรวดเร็วชนิดแทบจะบิน
“เจ้าอยู่ที่นี่ไม่มีญาติไม่มีเพื่อน หิวตายก็ไม่มีใครสนใจ ตามข้าไปกราบอาจารย์ที่เขาเซิ่งจื้อ ขอเพียงสามารถเข้าเป็นศิษย์ชั้นนอกได้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องกินอยู่ไปชั่วชีวิต มีสำนักเซิ่งจื้อให้ที่กินที่อยู่ไปจวบจนวันที่เจ้าตายไม่ดีหรือไร” เขาระงับเพลิงโทสะพลางแค่นเสียงกล่าว ในก้นบึ้งดวงตาของเด็กหนุ่มชุดเขียวครามวาบประกายเจ้าเล่ห์
เขาอยู่กับจูจูมาเกือบหนึ่งปี จับความคิดของนางได้พอสมควรแล้ว จึงย่อมรู้ดีว่าสิ่งใดมีพลังดึงดูดนางมากที่สุด หนทางไปเขาเซิ่งจื้อไกลแสนไกล ให้เร็วอย่างไรก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน หากเกลี้ยกล่อมให้นางสมัครใจตามไปด้วยไม่ได้ก็เป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว
จูจูได้ฟังก็หวั่นไหวตามคาด แต่ยังคงลังเลอยู่บ้าง “มีเรื่องดีเช่นนี้เชียว? เป็นศิษย์ของพวกเขายากหรือไม่ ต้องทำอะไรบ้าง”
เด็กหนุ่มแค่นเสียงตอบ “ไม่ยาก ขอเพียงเจ้าผ่านการทดสอบวัดพลังธาตุของพวกเขาก็เป็นได้แล้ว เวลาปกติก็กวาดลานปลูกสมุนไพร สบายอย่างยิ่ง หากมิใช่เคยรับปากท่านยายของเจ้าว่าจะดูแลเจ้า ข้าก็ไม่อยากจะมายุ่งยากเช่นนี้หรอก! ไม่หัดตักน้ำส่องดูเงาตนเองเสียบ้าง กระทั่งตาเฒ่าที่เปล่าเปลี่ยวเดียวดายที่สุดในหมู่บ้านก็ยังไม่ยอมมาแต่งเจ้า วันหน้าใครจะเลี้ยงดูเจ้า!”
พูดก็พูดไปสิ ไม่เห็นต้องเหยียดหยามกันขนาดนี้เลย!
นางก็ส่องดูสารรูปตนเองในอ่างน้ำอยู่ทุกเช้านั่นล่ะ! ท่านยายบอกว่านางเป็นหญิงที่งามที่สุดในหล้า ต่อให้ตอนนี้ไม่ใช่ แต่อิสตรีโตขึ้นก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ต้องมีสักวันที่นางจะงดงามขึ้นแน่นอน! จูจูเน้นย้ำอยู่ในใจ แต่นางก็ไม่ได้โง่จนพูดมันออกมา มิเช่นนั้นเจ้าคนโฉดตรงหน้าผู้นี้ต้องหัวเราะเยาะเย้ยนางอย่างไม่ไว้หน้าเป็นแน่
เมื่อพิจารณาดูเด็กหนุ่มอย่างละเอียดแล้ว แม้เขาจะรังแกและเรียกใช้นางจนเคยชิน แต่ก็ไม่เคยหลอกลวงนางเลย หรือสมควรกล่าวว่าไม่เห็นค่าที่จะหลอกลวงนางมากกว่า ด้วยสารรูปเช่นนี้ของนาง แม้แต่พ่อค้ามนุษย์เห็นนางก็ยังเดินอ้อมผ่านแต่ไกล ในตัวรึก็มีเศษเงินอยู่ไม่เท่าไร ไร้ทั้งทรัพย์ไร้ทั้งโฉมเช่นนี้ก็ไม่คุ้มค่าให้คนลงมือ
ท่านยายจากไปแล้ว พอเจ้าคนโฉดจากไปอีกคน พวกอันธพาลในหมู่บ้านจะต้องถือโอกาสมารังแกนางอย่างแน่นอน นางตัวคนเดียวโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง เป็นไปได้มากว่าจะต้องอ้างว้างในบั้นปลายชีวิตจริงๆ
เด็กหนุ่มเห็นนางเริ่มเปลี่ยนใจก็ไม่โน้มน้าวอีก เขานั่งลงก่อนยกชามใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาซดกินด้วยท่าทางวางโต จูจูรูปโฉมไม่น่ามอง แต่ฝีมือปรุงอาหารกลับยอดเยี่ยมยิ่ง
ในที่สุดจูจูก็คล้ายว่ายอมรับชะตากรรมแล้ว นางเคลื่อนร่างกลับไปที่โต๊ะทีละก้าวๆ ก่อนจัดการกินอาหารในชามของตนอย่างไม่รับรู้รส จากนั้นก็ลุกขึ้นเก็บชามเก็บตะเกียบแล้วกลับห้องไปเก็บสัมภาระอย่างว่าง่าย
เด็กหนุ่มมองดูเงาหลังที่ยุ่งง่วนของนาง ในใจก็รู้สึกยินดีขึ้นมา ท่านแม่เคยบอกว่าอาหารที่สำนักเซิ่งจื้อแย่ยิ่งนัก เรื่องอย่างซักผ้าปัดกวาดเช็ดถูตามปกติเหล่าศิษย์ต้องลงมือทำกันเอง หลอกพาหมูโง่ตัวน้อยผู้นี้ขึ้นเขาไปด้วยก็ไม่ต้องกลุ้มกับเรื่องจุกจิกเหล่านี้แล้ว แถมยังนับว่าได้ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับท่านยายของจูจู ยิงเกาทัณฑ์ครั้งเดียวได้นกสองตัวโดยแท้
ครั้นนึกถึงท่านแม่ อารมณ์ลิงโลดของเด็กหนุ่มก็สลดลงทันที เขาก้มหน้าเม้มปากไม่พูดไม่จา
จูจูมิใช่ไม่รู้ว่านางตามเด็กหนุ่มขึ้นเขาไปกราบอาจารย์แล้วต้องถูกเขาเรียกใช้เป็นทาสต่อไป ทว่าอย่างไรก็ดีกว่าอยู่ในหมู่บ้านคนเดียว พอแก่ตัวไม่มีคนดูแล ต้องหิวตายตามลำพัง
อีกทั้งนับแต่เขากลายมาเป็นเพื่อนบ้านของนาง จำนวนครั้งที่นางฝันร้ายก็เหมือนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อก่อนนางถูกฝันร้ายทำให้สะดุ้งตื่นแทบจะทุกสองสามวัน แต่หลังจากเขามา บางทีเป็นหนึ่งเดือนก็ยังไม่ฝันร้ายสักครั้ง…ฝันร้ายเองก็คงจะกลัวคนโฉดเช่นกัน
เฮ้อ! นางทำเวรทำกรรมอะไรมา! ในฝันถูกคนวิปริตรังแก ตื่นมายังต้องถูกคนโฉดเรียกใช้อีก!
อันที่จริงจูจูไม่มีสัมภาระอะไรให้เก็บนัก ของที่ต้องเอาไปมีแค่เสบียงกรัง น้ำสะอาด และเสื้อผ้าสำหรับผลัดเปลี่ยนไม่กี่ชุด หลังเก็บกวาดห้องหับจนสะอาดอย่างง่ายๆ นำของจิปาถะใส่ลงหีบ ฝากเพื่อนบ้านให้ช่วยดูบ้านสักหน่อยก็เป็นอันเสร็จ มีแต่สิ่งของไม่มีราคาค่างวด ต่อให้ตัวนางไม่อยู่บ้านก็ไม่มีโจรคนไหนให้เกียรติมาเยือน
ก่อนเดินทาง จูจูไปเคารพสุสานของท่านยายที่เขาด้านหลังหมู่บ้าน จากนั้นก็สะพายเข่งไม้ไผ่ใส่เสื้อผ้าและอาหาร ลูบกำไลทองแดงวงเล็กบนข้อมือที่ท่านยายทิ้งไว้ให้นางเบาๆ หันกลับไปมองหมู่บ้านเล็กๆ ที่นางอาศัยมาสองปีแวบหนึ่งก่อนหมุนตัวเดินตามเด็กหนุ่มชุดเขียวครามไป
เด็กหนุ่มชุดเขียวครามเดินตัวปลิวโดยไม่ได้ถือสัมภาระใดๆ เขาพาจูจูมาขึ้นเกวียนเทียมวัวที่เขาจ้างมา จากนั้นตนเองก็หาตำแหน่งสบายหลับตานั่งสมาธิ
จูจูมองดูต้นไม้ใบหญ้าที่คุ้นเคยด้านข้างเกวียนส่ายไหวถอยห่างออกไป แต่กลับไม่ได้รู้สึกอาลัยอาวรณ์เสียเท่าไร นางพลันนึกปัญหาสำคัญข้อหนึ่งขึ้นได้…เมื่อครู่เด็กหนุ่มบอกว่าหากจะไปอาศัยอยู่กินที่เขาเซิ่งจื้อก็ต้องผ่านการทดสอบวัดพลังธาตุเสียก่อน!
จูจูถูกหลอกพาตัวมาแล้วถึงค่อยคิดได้ว่านางไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าพลังธาตุคืออะไร และยิ่งไม่รู้ว่าจะผ่านการทดสอบอย่างไร ถ้าเกิดนางผ่านไม่ได้จะทำอย่างไรเล่า!
แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่อยากให้ความสนใจนาง และนางก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงได้แต่แอบจ้องเขาไม่วางตา
จ้องอยู่ครึ่งค่อนวันจนจูจูใกล้จะตาเขแล้ว เด็กหนุ่มพลันลืมตาขึ้นพูดอย่างหยิ่งยโส “แอบมองมาทั้งเช้า มองพอแล้วหรือยัง จะมองก็มองตรงๆ เลย ข้าเข้าใจ คนเราย่อมชอบมองสิ่งสวยงามกันทั้งนั้น ข้าให้เจ้ามองนานสักหน่อยก็ไม่สึกหรอ”
หลงตนเอง! จูจูลอบด่าในใจ ทว่าบนหน้ากลับยิ้มปะเหลาะ “ขะ…ข้าอยากถามท่านเรื่องหนึ่ง”
“หืม?”
“พลังธาตุคืออะไร”
“บอกว่าเจ้าเป็นหมูเจ้าก็ไม่ยอมรับ ป่านนี้เพิ่งรู้จักมาถาม มัวแต่ไปทำอะไรอยู่” เด็กหนุ่มไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้เยาะหยันนาง
จูจูกล้าโกรธแต่กลับไม่กล้าพูด เกวียนจากหมู่บ้านมาเป็นระยะทางครึ่งวันแล้ว เกิดเด็กหนุ่มไล่นางลงจากเกวียนขึ้นมา นางที่จำทางกลับไม่ได้ อยู่กลางป่าเขารกร้างหากโชคร้ายไปเจอะสัตว์ป่าเข้า พวกมันคงไม่ละเว้นไม่กินนางเพราะนางไร้ทรัพย์ไร้โฉมแน่นอน
“วางใจเถอะ! มีข้าอยู่ เจ้าต้องอยู่ที่เขาเซิ่งจื้อได้แน่” เด็กหนุ่มบิดขี้เกียจ รื้อหาเสบียงกรังจากในเข่งไม้ไผ่ของนางออกมากินคำใหญ่ ไม่มีทีท่าจะพูดอะไรต่อแม้แต่น้อย
จูจูหารู้ไม่ว่าเพื่อจะให้เด็กหนุ่มรับปากดูแลจูจู ท่านยายของนางต้องเสียลูกกลอนสร้างฐานไปถึงสามเม็ด
แต่เด็กหนุ่มกลับรู้ดียิ่งว่าเจ้าลูกกลอนสร้างฐานนี้เป็นลูกกลอนวิเศษหายากที่บรรดาสำนักบำเพ็ญเซียนมีให้ศิษย์ผู้เป็นเลิศในจำนวนจำกัด ท่านยายของจูจูมีของเช่นนี้ได้ก็แสดงชัดว่าเป็นผู้บำเพ็ญเซียน อีกทั้งย่อมมีตบะไม่อ่อนด้อย
ตั้งแต่เล็กเด็กหนุ่มก็ได้เห็นความยึดถือลาภยศผลประโยชน์ของเหล่าผู้บำเพ็ญเซียนมามาก ดูจากท่าทีของท่านยายของจูจูก็มองออกได้ว่าในความรักใคร่โปรดปรานที่นางมีต่อจูจูนั้นแฝงด้วยความระมัดระวังอันผิดประหลาดที่ถึงขนาดเป็นความนอบน้อมเลยก็ว่าได้ ถ้าจูจูเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาย่อมไม่มีทางจะได้รับความสำคัญเป็นพิเศษจากผู้บำเพ็ญเซียน แม้ว่าทั้งสองจะเป็นยายหลานที่ใกล้ชิดกันที่สุดก็ตาม
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงสงสัยมาตลอดว่าตัวจูจูจะมีความลับซุกซ่อนอยู่ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นเหมือนตนเอง คือเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนบำเพ็ญตนอย่างยิ่งยวด
ต่อให้เขาทายผิด ด้วยสติปัญญาของตน เมื่อไปถึงสำนักเซิ่งจื้อแล้วย่อมได้รับความสำคัญอย่างมากแน่นอน แค่พาแม่นางน้อยผู้หนึ่งไปอยู่ด้วย คิดว่าคนในสำนักคงไม่น่าจะคัดค้านอะไร
ด้านจูจู นางถูกเขากดขี่ข่มเหงจนชินแล้ว ทั้งตอนนี้ก็ขึ้น ‘เกวียนคนโฉด’ มาเรียบร้อย นอกจากเชื่อฟังเขาก็ไม่มีทางออกอื่นอีก นางจึงควานหาเสบียงกรังออกมากัดกินอย่างแรง
ครั้นจินตนาการว่าสิ่งที่เคี้ยวอยู่ในปากคือเนื้อของเด็กหนุ่ม ในสมองของจูจูก็พลันมีภาพชายหญิงที่ต้องโทษแล่เนื้อในความฝันปรากฏวาบขึ้นมา นางอดไม่ได้รีบปิดปากสูดหายใจลึกหลายคำรบเพื่อข่มอาการคลื่นไส้กลับลงไป
จู่ๆ ถุงใส่น้ำถุงหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้ารำคาญ “แค่กินแผ่นแป้งยังติดคอ ไม่เคยเห็นใครโง่เช่นเจ้าเลย!”
ท่านสิโง่! จูจูรับถุงน้ำมาดื่มอย่างเงียบๆ เริ่มผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวและอาการคลื่นเหียนในใจสลายไปในพริบตาเนื่องจากถูกเด็กหนุ่มขัดจังหวะ
ตกเย็นพวกนางก็มาพักค้างคืนยังเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง ออกจากเมืองนี้ไปเขาเซิ่งจื้อจำต้องเดินผ่านทางบนเขา ไม่อาจนั่งเกวียนต่อไปได้ เด็กหนุ่มพาจูจูเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมแห่งเดียวของเมือง ไม่รู้ล้วงเหรียญทองแดงสองพวงใหญ่ออกมาจากที่ใดก่อนเอ่ยกับหลงจู๊ “ขอห้องที่ดีที่สุดห้องหนึ่ง”
หลงจู๊มองเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลางามสง่าตรงหน้า ก่อนเหลือบมองจูจูผู้มีกลิ่นอายบ้านนอกไปทั้งตัวที่ยืนอยู่ข้างเขา จากนั้นก็กวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ให้พาพวกเขาขึ้นไปที่ห้องโดยไม่มีข้อทักท้วงใดๆ
หลังเสี่ยวเอ้อร์ออกจากห้องไปแล้วจูจูก็เอ่ยแนะขึ้นอย่างอดไม่ได้ในที่สุด “ชายหญิงแตกต่าง พวกเราแยกห้องกันจะดีกว่ากระมัง” นางไม่ได้เป็นญาติสนิทกับเด็กหนุ่ม จะค้างคืนในห้องเดียวกันได้อย่างไร!
เด็กหนุ่มปรายตามองนางปราดหนึ่งอย่างเหยียดหยามก่อนว่า “ตัวกระจ้อยอย่างเจ้าจะมีปัญญาทำมิดีมิร้ายกับข้าด้วยหรือ”
ใครจะทำมิดีมิร้ายกับท่านกัน! ข้ากลัวท่านจะทำมิดีมิร้ายกับข้าต่างหาก!
จูจูเกือบจะโมโหจนช้ำใน แต่จากนั้นก็ค้นพบอย่างน่าเศร้ายิ่งว่าด้วยสารรูปของนาง กระทั่งตัวนางเองยังไม่เชื่อเลยว่าเด็กหนุ่มจะคิดมิดีมิร้ายกับนางได้ มิน่าเล่า เมื่อครู่หลงจู๊ผู้นั้นเห็นนางกับเขาจะพักด้วยกันจึงไม่มีท่าทางติดใจอะไรสักนิด
เพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกม้านั่งและไม้กระดานเข้ามาวางพาดเป็นเตียงเล็กอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโดยไม่ต้องให้ร้องขอ จูจูยืนกลุ้มใจไม่หยุดอยู่อีกด้าน นางอยู่คนเดียวจนชินแล้ว ไม่คุ้นเคยกับการร่วมห้องกับคนแปลกหน้า หากแต่ในตัวนางมีเพียงเศษเงินไม่กี่เหรียญ ถ้าไม่อยู่กับเด็กหนุ่มก็ต้องไปเร่ร่อนตามถนนแล้ว
แขนยาวของเด็กหนุ่มยื่นมาหิ้วเข่งไม้ไผ่บนหลังนางไปวางข้างเตียงเล็กก่อนแค่นเสียงพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าอยากอยู่กับเจ้ามากนักหรือ ข้าก็แค่กลัวเจ้าอยู่คนเดียวแล้วกลางดึกฝันร้ายหวีดร้องให้ผู้อื่นตื่นตระหนกจนนำความยุ่งยากมาให้ข้า หากรู้จักสำนึกบุญคุณก็ลงไปทำอาหารมาให้ข้ากินซะ”
จูจูอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะจำเรื่องที่นางชอบฝันร้ายได้ นางก้มหน้าลงคิด ในที่สุดก็รับเหรียญทองแดงที่เขายื่นมาให้อย่างว่าง่าย ก่อนออกไปยืมครัวของโรงเตี๊ยมเพื่อทำอาหารเย็น
เด็กหนุ่มไม่เพียงแค่ปากร้ายแต่ยังเลือกกินอีกด้วย เมื่อหนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ได้กินอาหารฝีมือจูจูแล้วรู้สึกถูกปาก นับแต่นั้นเขาก็เกาะติดนาง หนึ่งวันสามมื้อล้วนมาฝากท้องที่บ้านนางโดยไม่ได้รับเชิญ หากล่าสัตว์ได้ก็มาโยนให้นางจัดการเป็นเรื่องปกติ
จูจูถูกบังคับกดขี่เป็นเวลานานจนเลิกต่อต้านไปแล้ว นางคอยปลอบใจตนเองเป็นประจำว่าถูกคนเรียกใช้นิดหน่อยแต่สามารถมีเนื้อกินทุกวัน ซ้ำยังสามารถนำขนสัตว์หรือแผ่นหนังไปแลกของจำเป็นในชีวิตประจำวันมาได้อีก นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดียิ่งหรอกหรือ
แน่นอนถ้าเด็กหนุ่มจะไม่เอาแต่ด่าว่านางโง่กับดึงหูนางก็จะยิ่งดีกว่านี้มาก
ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกันทั้งคืน ตอนเช้าตื่นมาเด็กหนุ่มก็พาจูจูออกเดินทางขึ้นเขา จูจูขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเป็นประจำ ทางบนเขาโดยทั่วไปจึงไม่ได้ลำบากสำหรับนาง คนทั้งสองดูทิศทางแน่ชัดแล้วก็เดินทะลุผ่านไปตลอดทาง พอหิวก็เด็ดผลไม้ป่ามาประทังท้อง
จูจูคล้ายว่าเกิดมาก็เข้าใจคุณลักษณะเฉพาะของต้นไม้ใบหญ้าเป็นอย่างดี นางมักจะสามารถหาผลไม้ที่ปลอดภัยและรสชาติดีที่สุดออกมาได้อย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มค้นพบ ‘จุดเด่น’ ประการนี้ของนางนานแล้ว ดังนั้นจึงมอบหน้าที่หาอาหารให้แก่นางอย่างปราศจากความเกรงใจ
เดินๆ หยุดๆ จนฟ้าเริ่มมืด เด็กหนุ่มจึงเลือกที่ลาดเนินเขาริมลำธารค้างแรม จูจูกำลังพะวักพะวนเรื่องที่ไม่มีเตียงไม่มีผ้าห่มอยู่ก็เห็นเด็กหนุ่มดีดนิ้ว บนพื้นพลันมีกระโจมหลังหนึ่งเพิ่มมา ทำเอานางอดมองตาค้างไม่ได้
เด็กหนุ่มเขกศีรษะนางทีหนึ่งก่อนพูดยิ้มๆ “หมูโง่ แหวนเก็บของเจ้าไม่เคยเห็นหรือไร กำไลบนข้อมือเจ้ายังใส่ของได้มากกว่าแหวนของข้าเสียอีก”
“แหวนเก็บของ? กำไล?” จูจูมองกำไลทองแดงที่ดูธรรมดาอย่างยิ่งที่ท่านยายทิ้งไว้ให้บนข้อมือของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าคงไม่ได้ไม่รู้อะไรเลยหรอกนะ ท่านยายเจ้าไม่เคยบอกเจ้าเลยหรือ” เด็กหนุ่มพูดอย่างหมดแรง
จูจูส่ายหน้า สีหน้างุนงง
เด็กหนุ่มมองออกนานแล้วว่ากำไลทองแดงของจูจูไม่ใช่เครื่องประดับธรรมดา แม้ว่าบนนั้นจะไม่มีกลิ่นอายพลังใดๆ แต่ลวดลายที่เหมือนเมฆเคลื่อนน้ำวนบนผิวกำไลนั้นกลับราวกับออกมาจากพิมพ์เดียวกับแหวนเก็บของของเขา
ลือกันว่านี่เป็นเอกลักษณ์ของผลงานของปรมาจารย์ผู้เลื่องชื่อด้านการหลอมของวิเศษที่เร้นกายอยู่ในแคว้นตันท่านหนึ่ง ลวดลายเหล่านี้อันที่จริงเป็นข่ายอาคมล่องหน สามารถเก็บงำกลิ่นอายพิเศษจำเพาะของวัตถุธรรมของวิเศษได้มิดชิด ทำให้มันดูไปแล้วเหมือนเป็นแค่เครื่องประดับธรรมดา
อีกทั้งจุดที่สำคัญที่สุดคือวัตถุธรรมของวิเศษเช่นนี้พอยอมรับเจ้าของแล้วก็จะมีเพียงเจ้าของของมันที่สามารถใช้พลังเปิดมันออกได้ ผู้อื่นไม่มีทางแอบดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เมื่อเจ้าของสิ้นลม สิ่งที่อยู่ข้างในก็ไม่สามารถเอาออกมาได้อีก นอกเสียจากจะมีคนอีกผู้หนึ่งที่สามารถทำให้วัตถุธรรมของวิเศษนี้ยอมรับได้ปรากฏตัวขึ้นมา
เด็กหนุ่มนึกสงสัยอยู่หลายครั้งว่าท่านยายของจูจูจะนำสิ่งของที่จะตกทอดให้แก่จูจูใส่ไว้ในกำไลนี้ เขาหาได้โลภในของของจูจู แต่กระนั้นก็ยังอยากรู้ว่าพวกมันเป็นของสิ่งใดอย่างเลี่ยงไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าจูจูกลับไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วบนตัวของจูจูก็ยังไม่มีกลิ่นอายของผู้บำเพ็ญเซียนแม้เพียงกระผีกอีกด้วย จะให้นางใช้พลังเปิดกำไลเก็บของวงนี้นางจึงทำไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“หมูโง่!” เด็กหนุ่มคร้านจะต่อความยาวสาวความยืดกับนาง หยิบพวกหม้อ กระบวย และเครื่องนอนออกมาจากในแหวนอีกครั้งก่อนสั่งว่า “ข้าจะไปจับไก่จับกระต่ายมาสักหน่อย เจ้าก็จัดการกับของแล้วก่อไฟ อย่าไปไหนไกลล่ะ มิเช่นนั้นถูกหมาป่าคาบไปข้าก็ขี้เกียจจะไปช่วยเจ้า” พูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในป่า
จูจูค้นพบว่าตนเองน่าจะได้เห็น ‘สิ่งมหัศจรรย์’ อย่างแหวนเก็บของเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีความรู้สึกตื่นตะลึงใดๆ กลับกลายเป็นนึกขึ้นได้ว่าตนเองแบกเข่งไม้ไผ่มาตลอดทางอย่างเสียแรงเปล่า ช่างน่าแค้นใจนัก
เจ้าคนโฉดมีของที่สะดวกสบายเพียงนี้ ทำไมไม่เอาเข่งของนางเก็บเข้าไป เจ้าคนใจแคบ!
แม้ในใจจะขุ่นเคือง จูจูก็ยังคงเก็บกิ่งไม้แห้งมาก่อไฟอย่างเชื่อฟัง ค้นเอาหม้อใบหนึ่งจากในกองของที่เด็กหนุ่มทิ้งไว้ออกมา ตักน้ำในลำธารเล็กแล้ววางต้มบนกองไฟ จากนั้นก็หันกลับไปจัดการกับกระโจมและเครื่องนอน
หลังจากง่วนอยู่พักหนึ่ง เพิ่งจะนั่งลงพักก็พลันได้ยินเสียงคนดังมาจากด้านล่างเนินเขา เพียงไม่นานก็มีคนเก้าคนเดินขึ้นมา
คนเหล่านี้มีหกคนแต่งกายในชุดคนรับใช้ พวกเขาแบกสัมภาระห่อเล็กห่อใหญ่ไว้บนหลัง บนตัวพกอาวุธจำพวกดาบกระบี่ ผู้เป็นหัวหน้าเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างบึกบึนกำยำในชุดแพรตัวยาวสีเทาเขียว หนึ่งหญิงหนึ่งชายที่ด้านข้างเขาอายุไล่เลี่ยกับจูจู คือราวสิบห้าสิบหกปี บุรุษหล่อเหลาสตรีจิ้มลิ้มพริ้มเพรา สีหน้าเจือความเย่อหยิ่งอยู่สักหน่อย แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นคุณหนูคุณชายจากตระกูลใหญ่
หน้าตาของพวกเขาสามคนละม้ายคล้ายกันอยู่บ้าง ถึงจะไม่ใช่บิดากับบุตรธิดา แต่ก็น่าจะเป็นญาติสนิทแน่นอน
คนทั้งคณะที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันนี้เองก็เห็นว่าจุดนี้เหมาะแก่การค้างแรม จากไกลๆ ก็มองเห็นแล้วว่าทางนี้มีแสงไฟ ครั้นเดินมาถึงกลับเห็นเพียงแม่นางน้อยท่าทางบ้านนอกนั่งอยู่ข้างกองไฟเพียงคนเดียว
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำลอบขมวดคิ้วเล็กน้อยทว่าก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาโบกมือให้บ่าวอารักขาที่ด้านหลัง ให้พวกเขาลงมือตั้งกระโจม ตระเตรียมอาหารเย็น
จู่ๆ จูจูก็เห็นคนมากมายเพียงนี้ แต่ละคนล้วนไม่ใช่ผู้ที่ตนมีเรื่องได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงนิ่งเงียบ ทุกอย่างรอเด็กหนุ่มกลับมาค่อยว่ากัน!
นางไม่มีเรื่องกับใคร ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่มีเรื่องกับนาง
น้ำบนกองไฟตรงหน้าเดือดในเวลาเพียงไม่นาน จูจูนำผักป่าเห็ดป่าที่เก็บมาตลอดทางเทใส่ลงไป ตั้งใจว่าจะต้มเป็นน้ำแกง ขอเพียงปรนนิบัติปากท้องของเด็กหนุ่มได้ดี พอเขาอารมณ์ดี ท่าทีที่มีต่อนางก็จะดียิ่งตามไปด้วย
กลิ่นหอมยั่วใจคนลอยฟุ้งไปทั่ว ทำเอาคนที่กำลังผูกกระโจมทำอาหารอยู่อีกด้านของเนินเขาอดลอบกลืนน้ำลายไม่ได้ แม้แต่ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำก็ไม่ยกเว้น เขาคิดว่าตนเองประสบการณ์มากล้นความรู้กว้างขวางแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้กลิ่นหอมที่ชวนให้น้ำลายสอเพียงนี้มาก่อน
เขาคิดเล็กน้อยก่อนลุกขึ้นเดินมาถึงเบื้องหน้าจูจู “เด็กน้อย ข้าให้เจ้าหนึ่งตำลึงเงิน เจ้าขายน้ำแกงหม้อนี้ให้ข้าแล้วกัน” ถ้อยคำเรียกไม่ได้ว่าไร้มารยาท หนึ่งตำลึงเงินซื้อน้ำแกงเห็ดป่าผักป่าถือว่าเป็นราคาสูงลิบจริงๆ หากแต่แววออกคำสั่งอย่างคนที่สูงส่งกว่าในน้ำเสียงกลับชัดเจนยิ่งยวด คุณหนูคุณชายที่เขาพามาก็เดินตามมาดูด้วยความว่างไม่มีอะไรทำเช่นกัน
จูจูอ้าปาก แต่ยังไม่ทันตอบก็พลันได้ยินเสียงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดของเด็กหนุ่มดังมาจากที่ไม่ไกลนัก “ไม่ขาย!”
ชายวัยกลางคนหน้าคล้ำลง คุณชายน้อยที่ด้านข้างเขาตะโกนลั่นขึ้นมาแล้ว “บังอาจ! เจ้าเป็นใคร! ท่านพ่อข้าสนใจในอาหารหยาบๆ ของเจ้าก็เป็นการให้เกียรติพวกเจ้าแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกข้าเป็นใคร!”
เด็กหนุ่มไม่แยแสพวกเขา ค่อยๆ เดินมาหยุดหน้ากองไฟ ยื่นกระต่ายป่าสองตัวที่เพิ่งล่ามาได้จากในป่าให้จูจูก่อนว่า “ไปจัดการทำความสะอาดแล้วมาย่างกิน”
จูจูกวาดตามองเหล่าคนที่ข้างกองไฟแวบหนึ่ง ก่อนหิ้วกระต่ายวิ่งไปริมลำธารเล็กอย่างเชื่อฟัง อันที่จริงนางรู้สึกว่าขายน้ำแกงหม้อนั้นไปก็ไม่เป็นไร นางยังไม่เคยเห็นหน้าตาของเงินหนึ่งตำลึงเงินเลยว่าเป็นอย่างไร!
หากแต่เจ้าคนโฉดบอกว่าไม่ขาย เช่นนั้นนางก็ทำอะไรไม่ได้ สู้นางหลบออกมาก่อนจะดีกว่า ถ้าพวกเขาสู้กันขึ้นมาจะได้ไม่มีลูกหลงมาถึงนางที่เป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนเด็กหนุ่มจะเสียเปรียบหรือไม่นางกลับไม่ห่วงแม้แต่น้อย
เขาไม่ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหายก็นับว่าเกรงใจมากแล้ว
ข้างกองไฟ ชายวัยกลางคนกำลังจะพูดแต่กลับถูกคุณหนูดึงแขนเสื้อก่อนพูดเสียงค่อย “ท่านพ่อ พอแล้วเจ้าค่ะ”
การเคลื่อนไหวของชายวัยกลางคนชะงักไป เขาฟังคำของบุตรสาว ไม่เอ่ยปากอะไรอีก คุณหนูผู้นั้นก้าวออกมาสองก้าว กล่าวกับเด็กหนุ่มว่า “พี่ชายท่านนี้ เมื่อครู่ล่วงเกินอย่างมาก หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ” พูดพลางคารวะต่ำ
ชายวัยกลางคนเห็นบุตรสาวที่ตลอดมามีสายตาเฉียบคมยอมถอยให้เช่นนี้ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดา เขาจึงปรับสีหน้าแล้วประสานมือกล่าวขึ้นทันที “ข้าเลี่ยวเทียนหวา ส่วนนี่คือบุตรสาวนามหย่งฉีและบุตรชายนามหย่งหลิน เมื่อครู่ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด เสียมารยาทแล้ว…น้องชายจะไปฝึกวิชาที่เขาเซิ่งจื้อหรือ”
สกุลเลี่ยวเป็นตระกูลผู้บำเพ็ญเซียนเล็กๆ ที่ระยะนี้ค่อนข้างจะมีอิทธิพลอยู่สักหน่อย บุตรสาวบุตรชายคู่นี้ของเขาเข้าสู่ขั้นฝึกปราณแล้ว โดยเฉพาะบุตรสาวที่อายุยังน้อยแต่บรรลุถึงระดับสามของขั้นฝึกปราณ กระนั้นนางก็ยังเรียกขานเด็กหนุ่มผู้นี้เป็น ‘พี่’ เช่นนั้นอีกฝ่ายก็น่าจะเป็นผู้ฝึกตนเช่นกัน ซ้ำยังมีตบะแก่กล้ากว่าบุตรสาวของเขาอีกด้วย
ไม่กี่วันมานี้สำนักเซิ่งจื้อเปิดประตูรับศิษย์ใหม่ เด็กหนุ่มตรงหน้ามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เก้าในสิบต้องมุ่งไปที่นั่นแน่นอน
เด็กหนุ่มมองเมินท่าทีนอบน้อมของพวกเขา แค่คำเดียวยังคร้านจะเอ่ยตอบ เขานั่งลงข้างกองไฟ ปฏิบัติต่อคนทั้งสามเหมือนว่าพวกเขาไร้ตัวตน
เลี่ยวหย่งหลินเป็นถึงคุณชายใหญ่ ไหนเลยจะเคยมีใครชักสีหน้าใส่เขาเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็กหนุ่มที่โตกว่าตนเองไม่กี่ปี ทว่าเขายังไม่ทันได้แสดงอาการโมโหก็ถูกหย่งฉีผู้เป็นน้องสาวใช้มือหนึ่งจับไว้แล้วบังคับฉุดลากกลับไป
ในใจเลี่ยวเทียนหวาเองก็โมโหอย่างยิ่ง แต่จะอย่างไรเขาก็มีความคิดอยู่บ้าง ดูจากท่าทีของบุตรสาวก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นไปได้มากที่จะเป็นผู้ที่พวกเขามีเรื่องด้วยไม่ไหว ดังนั้นจึงได้ฝืนใจอดกลั้นเช่นกัน
คนสกุลเลี่ยวทั้งสามกล่าวขออภัยแล้วกลับมายังที่พักแรมฝั่งตน ครั้นเห็นว่าห่างจากเด็กหนุ่มเป็นระยะทางพอสมควรแล้วเลี่ยวเทียนหวาก็อดกระซิบถามบุตรสาวไม่ได้ “น้องชายผู้นั้นเป็นมาอย่างไร”
แม้จะอยู่ห่างกันยิ่ง แต่เพื่อความรอบคอบเขายังคงระวังคำพูดของตนไว้จะดีกว่า
เลี่ยวหย่งฉีขมวดคิ้วตอบเสียงเบา “ข้าก็มองไม่ออกเจ้าค่ะ…”
เลี่ยวหย่งหลินแทบจะกระโดดผลุงขึ้นมา “เช่นนั้นไยพวกเราต้องไปพินอบพิเทาด้วย ข้าฝึกปราณอยู่ระดับหนึ่ง ส่วนเจ้าก็อยู่ระดับสาม ยังจะกลัวเจ้าเด็กอ่อนหัดคนหนึ่งด้วยหรือ”
“พี่ใหญ่ระวังคำพูดหน่อย! ท่านลองคิดดู ขนาดข้าผู้เป็นน้องสาวท่านยังประเมินตบะของเขาได้ไม่ชัด หากพวกเราผลีผลามล่วงเกินเขาไปจะมีจุดจบเช่นไร” เลี่ยวหย่งฉีปรามไม่ให้พี่ชายพูดจาอวดดีด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“เจ้าหมายความว่าน้องชายผู้นั้นมีตบะเหนือกว่าเจ้าอีกหรือ!” แม้เลี่ยวเทียนหวาจะสังหรณ์อยู่ก่อนแล้ว แต่พอได้ยินก็ยังตกใจอยู่ไม่น้อย
สกุลเลี่ยวมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเป็นศิษย์ขั้นสร้างฐานช่วงปลายของสำนักเซิ่งจื้อ ตามที่ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้กล่าวไว้ เลี่ยวหย่งฉีมีพลังธาตุคู่น้ำไม้ อายุเท่านี้สามารถมีตบะถึงขั้นฝึกปราณระดับสามได้ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะแล้ว เด็กหนุ่มเมื่อครู่ดูท่าทางอายุมากกว่านางไม่กี่ปี แต่ตบะถึงกับแก่กล้ากว่านาง เช่นนั้นก็ออกจะน่ากลัวเกินไปแล้ว
“พี่ใหญ่ท่านฟังข้า อย่าไปมีเรื่องมีราวกับเขา มิเช่นนั้นผลลัพธ์ไม่แน่ว่าท่านจะรับไหว” เนื่องจากเลี่ยวหย่งฉีมีพรสวรรค์สูงยิ่งจึงเป็นความหวังของทั้งตระกูล ทั้งยังเคยฝึกฝนอยู่ข้างกายญาติผู้ใหญ่ขั้นสร้างฐานผู้นั้น ประสบการณ์ความรู้จึงไม่มีผู้ใดในสกุลเลี่ยวเทียบได้ ดังนั้นแม้อายุยังน้อย แต่เมื่อนางเอ่ยปาก บิดาของนางก็เชื่อฟังทุกครั้งไป ถึงในใจเลี่ยวหย่งหลินจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
เลี่ยวหย่งฉีเตือนพี่ชายเสร็จก็หันหน้าไปมองกองไฟที่อยู่ไกลออกไปอีกด้าน ในใจเริ่มคิดคำนวณว่าจะผูกมิตรกับเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ล้ำหน้าตนเองผู้นี้อย่างไร
ตอนที่จูจูล้างและเราะหนังของกระต่ายทั้งสองตัวเสร็จแล้วกลับมาถึงข้างกองไฟ คนสกุลเลี่ยวทั้งสามก็ล่าถอยไปแล้ว ส่วนเด็กหนุ่มกำลังดื่มน้ำแกงคำใหญ่อย่างไม่กลัวจะถูกลวก
นางแบะตัวกระต่ายออกเสียบกับแท่งเหล็กแล้วพาดย่างบนไฟ จากนั้นก็เริ่มหยิบโกร่งใบเล็กมาบดลูกไม้ป่าสองสามลูกที่ใช้ปรุงรสได้ซึ่งนางหาพบในระหว่างเดินทาง นำน้ำที่ได้มาทาลงบนตัวกระต่ายที่ย่างจนเริ่มเหลืองแล้วจนทั่ว
กลิ่นหอมโชยมาพร้อมกับเสียงปะทุเบาๆ ของน้ำมันที่หยดลงบนเปลวไฟ ทำเอาเหล่าคนสกุลเลี่ยวที่อยู่อีกด้านอยากกินจนน้ำลายไหลไม่หยุด
เลี่ยวหย่งหลินกัดกร้วมลงบนเนื้อไก่ฟ้าย่างจนกึ่งเกรียมที่บ่าวอารักขาผู้หนึ่งส่งมาให้ ทั้งแห้งทั้งแข็ง ในปากมีแต่รสเกรียมและเนื้อสัมผัสแห้งกระด้าง จึงอดพูดด้วยความอิจฉาไม่ได้ “เด็กคนนั้นย่างอะไรน่ะ ทำไมถึงหอมขนาดนี้!”
สิ่งที่จูจูย่างไม่เพียงแต่หอมยิ่ง รสชาติก็ยังดีเป็นที่สุด คนทั้งสองกินกันจนอิ่มหนำอยู่ข้างกองไฟ เด็กหนุ่มลูบหน้าท้องที่ยื่นออกมาน้อยๆ รู้สึกว่าการที่ตนเองพาจูจูมาด้วยเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดโดยแท้
เลี่ยวหย่งฉีสังเกตสังกาการเคลื่อนไหวทางด้านนั้นโดยตลอด ครั้นเห็นจูจูเก็บหม้อเก็บถ้วยไปล้างที่ลำธารตามลำพังก็รีบลุกขึ้นเดินไปแสร้งทำเป็นล้างมือที่ลำธาร แล้วถือโอกาสหาเรื่องคุยกับนาง
“น้องสาว เมื่อครู่ท่านพ่อข้าไม่ได้ทำให้เจ้าตกใจกระมัง เขาเป็นคนเสียงดังอยู่สักหน่อย ไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก” เลี่ยวหย่งฉีพยายามยิ้มให้ดูอบอุ่นน่าสนิทสนม
“อ้อ…” ในใจจูจูยังคงเศร้าที่ไม่อาจได้เงินหนึ่งตำลึงเงินนั้นมา
“เมื่อครู่รีบร้อนเลยไม่ทันได้ถาม ไม่ทราบว่าคุณชายของเจ้ามีนามว่ากระไรหรือ” เลี่ยวหย่งฉีเอ่ยถาม
“เขาไม่ใช่คุณชายข้า” จูจูตอบลอยๆ ช้อนตามองรอยยิ้มที่แข็งค้างอยู่บนหน้าและแววหมดความอดทนที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มของเลี่ยวหย่งฉี ฉับพลันนั้นก็แจ้งใจ
ที่แท้ผู้อื่นก็เห็นว่านางเป็นสาวใช้ของเจ้าคนโฉดผู้นั้น!
แม้นางจะไม่ใช่สาวงาม แต่ก็ไม่ได้ถึงกับหน้าตาท่าทางเหมือนสาวใช้ด้วยกระมัง! จูจูรู้สึกเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง ก้มหน้าคิดจะส่องใบหน้าของตนบนผิวน้ำ น่าเสียดายที่น้ำในลำธารไหลแรงเกินไปจึงมองเห็นอะไรได้ไม่ชัด
“เช่นนั้นเจ้าร่วมทางมากับเขาก็น่าจะรู้ชื่อแซ่ของเขากระมัง” เลี่ยวหย่งฉีเดิมทีก็ไม่ชินกับการคบค้าสมาคมกับ ‘ชนชั้นล่าง’ พูดไปตั้งหลายคำ อีกฝ่ายกลับยังคงมีท่าทางตะลึงงัน ความอดทนของนางจึงแทบจะหมดลงแล้ว
ถ้ามิใช่ในมือถือหม้อเอาไว้ จูจูคงได้เกาศีรษะไปแล้ว เหตุเพราะนางพลันพบว่านางจำไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มชื่ออะไร!
ตอนที่เพิ่งรู้จักกันดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเคยเอ่ยถึง ทว่าภายหลังยามอยู่ด้วยกันก็เรียกแทนตัวว่าเจ้ากับข้ามาตลอด ปกตินางและเด็กหนุ่มมักอยู่ติดบ้าน ออกไปสัมผัสผู้คนภายนอกน้อยนัก นานวันเข้านางก็นึกไม่ออกแล้วว่าเด็กหนุ่มมีชื่อแซ่ว่ากระไรกันแน่
“เอ่อ…ข้าไม่รู้” จูจูกะพริบตาปริบๆ มองเลี่ยวหย่งฉี ในใจลอบบ่นว่าทำไมอีกฝ่ายต้องมาทดสอบความจำของนางด้วย
เลี่ยวหย่งฉีไหนเลยจะเชื่อคำนาง คิดว่านี่เป็นเพียงการปฏิเสธส่งๆ ตนอุตส่าห์ลดตัวลงมาทำความรู้จักกับเด็กสาวบ้านนอกผู้หนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าจะถึงกับถูกสกัดไว้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม โทสะพลันปะทุขึ้นมา ก่อนจะลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
ครั้นเลี่ยวหย่งฉีเดินจากไปไกลแล้ว เด็กหนุ่มก็พลันเดินออกมาจากเงาไม้ เขกศีรษะจูจูไปทีหนึ่งก่อนพูดยิ้มๆ “นับว่าเจ้าก็ฉลาดเหมือนกัน ถ้าเจ้ากล้าบอกเรื่องของข้าให้ผู้อื่นฟังลับหลังข้า ข้าถีบเจ้าลงน้ำแน่”
เมื่อครู่เขาพบว่าเลี่ยวหย่งฉีแล่นมาทางนี้ก็กลัวนางจะทำอะไรจูจู จึงได้แอบตามมาดู
จูจูหัวเราะแห้งๆ สองทีก่อนก้มหน้าลงปิดบังสีหน้าแล้วขัดหม้อต่อไป ทางหนึ่งก็แอบขยับถอยหลังเล็กน้อย นั่งให้ไกลจากลำธารขึ้นอีกสักหน่อย
เด็กหนุ่มเห็นแววตานางเปล่งแสงวิบวับก็ฉุกใจ พริบตานั้นพลันเข้าใจขึ้นมา เพลิงโทสะพุ่งสูงสามจั้ง* ในทันใด มือหนึ่งดึงหูนางพลางพูดทีละคำด้วยท่าทีอันตราย “เจ้าอย่าบอกข้านะว่าเจ้าจำชื่อของข้าไม่ได้!”
จูจูปล่อยหม้อทิ้งก่อนร้องด้วยความเจ็บ “ทะ…ท่านเคยพูดถึงแค่ครั้งเดียวเมื่อนานมากแล้ว ขะ…ข้าจะไปจำได้ได้อย่างไร…”
“หมูโง่! ในสมองเจ้ามีแต่ก้อนหินหรือไร แม้แต่ชื่อของข้าเจ้ายังจำไม่ได้ น่าตายนัก!” เด็กหนุ่มโมโหสุดๆ แล้วจึงออกแรงบิดหูนางแรงขึ้น
จูจูเจ็บจนน้ำตารื้น ขอร้องให้ยกโทษอย่างเศร้าสร้อย “ต่อไปข้าจะจำให้ได้ จะจำให้ได้แน่ๆ! ท่านปล่อยข้าเถอะนะ”
“เจ้าฟังข้าให้ดี ใช้สมองหมูของเจ้าจำให้แม่น! ข้าชื่ออิ่น! จื่อ! จาง!” เด็กหนุ่มดึงหูของนางไว้พลางแผดเสียงต่ำริมหูนาง หลังแผดเสียงเสร็จก็ยังไม่ลืมบิดมันทีหนึ่งพร้อมขู่ว่า “ถ้าเจ้ากล้าลืมอีก ข้าจะบิดหูหมูของเจ้าให้หลุด!”
“ไม่กล้าแล้วๆ! ไม่กล้าแล้วแน่นอน!” จูจูสาบานกับฟ้าดินอย่างสัตย์ซื่อยิ่ง
“เฮอะ!”
จูจูนวดหูที่ถูกบิดจนแดงเถือกของตนอย่างระมัดระวังยิ่ง ก่อนพูดอย่างอึดอัดคับข้อง “เช่นนั้นต่อไปหากมีคนถามข้าว่าท่านเป็นใคร ข้าควรตอบอย่างไร”
อิ่นจื่อจางตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็ตอบว่าเจ้าไม่รู้ไปนั่นแหละ”
จูจูนอนร่วมกระโจมเดียวกับอิ่นจื่อจาง โชคดีที่กระโจมใหญ่พอ จูจูที่เหนื่อยมาทั้งวันไม่เหลือแรงจะมาตะขิดตะขวง เอาผ้าห่มห่อตัวแล้วขดอยู่มุมหนึ่ง เพียงไม่นานก็หลับอุตุ
กลางดึกพลันมีเสียงกรีดร้องโหยหวนเสียงหนึ่งดังมา ทำให้คนทั้งหมดบนเนินเขาสะดุ้งตื่น
จูจูลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือก็เห็นอิ่นจื่อจางลุกขึ้นมานั่งตัวตรงแล้ว แววตาเขากระจ่างชัด บนหน้าปรากฏแววขึงขังจริงจังอันเห็นได้น้อยครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น มีหมาป่า? หรือว่าเสือ?” จูจูนึกถึงเสียงกรีดร้องเมื่อครู่แล้วก็คิดได้ในทันทีว่าอาจจะมีคนถูกสัตว์ร้ายจู่โจมเข้าแล้ว
อิ่นจื่อจางไม่ได้ตอบ แต่ลากจูจูออกจากกระโจมไป
บนเนินเขา คนจากสกุลเลี่ยวทั้งนายบ่าวยืนอยู่ด้วยกัน พวกเลี่ยวเทียนหวาทั้งสามคนยืนอยู่ตรงกลาง บ่าวอารักขาหกคนเหลือเพียงห้า ในมือแต่ละคนกุมอาวุธยืนล้อมเตรียมพร้อมรับมือ ครั้นเลี่ยวหย่งฉีมองเห็นอิ่นจื่อจางก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง บริเวณเขาเซิ่งจื้อมักมีผู้ฝึกตนจำนวนมากปรากฏตัวผลุบโผล่ แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีสัตว์ปีศาจดุร้ายอะไร ในที่นี้มีผู้ฝึกตนในขั้นฝึกปราณอย่างน้อยสามคน น่าจะพอรับมือสถานการณ์ส่วนใหญ่ได้
เลี่ยวเทียนหวาเปล่งเสียงพูดกับอิ่นจื่อจาง “เมื่อครู่บ่าวอารักขาคนหนึ่งของข้าลุกมาปลดทุกข์กลางดึก เสียงกรีดร้องน่าจะเป็นของเขา”
อิ่นจื่อจางพยักหน้าน้อยๆ สายตากวาดมองรอบด้านอย่างช้าๆ สุดท้ายก็กวาดผ่านคนสกุลเลี่ยวไปหยุดอยู่ทางด้านเหนือ ในเวลานี้เองก็มีเสียงสวบสาบดังออกมาจากพุ่มไม้ทางด้านนั้น เงาดำสูงเพียงครึ่งตัวคนเงาหนึ่งพลันกระโดดออกมา
ภายใต้แสงจันทร์สามารถมองเห็นได้ชัดเจน นั่นเป็นวานรดำที่มีสีดำขลับไปทั้งตัวและบนหัวมีเขาประหลาดอยู่คู่หนึ่ง มันกำลังลากศพโชกเลือดศพหนึ่งอยู่ กระโดดไม่กี่ทีก็มาหยุดห่างจากพวกเขาราวสองจั้งกว่า
เสื้อผ้าบนร่างศพเป็นชุดบ่าวอารักขาของสกุลเลี่ยว ตรงหน้าอกถูกคว้านเป็นรูใหญ่ เลือดสดๆ ยังพุ่งออกมาไม่หยุด คงจะเพิ่งตายได้ไม่นาน
จู่ๆ จูจูก็เห็นคนตายจึงตกใจจนสั่นไปทั้งตัว อิ่นจื่อจางบีบมือนาง ถลึงตาใส่นางทีหนึ่งคล้ายตำหนิว่านางขี้ขลาด จูจูหลังถูกเขาถลึงตาใส่ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกว่าไม่ได้กลัวถึงเพียงนั้นแล้ว
“วานรดำเขาแรด!” เลี่ยวหย่งฉีหลุดอุทานออกมา วานรดำเขาแรดเป็นสัตว์ปีศาจที่รับมือได้ยากที่สุดในบรรดาสัตว์ปีศาจขั้นหนึ่ง ดุร้ายมากพละกำลังทั้งยังชอบจู่โจมมนุษย์ แม้ลำดับขั้นจะต่ำ แต่การที่ผู้ฝึกตนซึ่งอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับต้นๆ จะต่อกรกับมันก็ยากไม่น้อย
ที่แย่ที่สุดคือโดยทั่วไปพวกมันจะไม่เคลื่อนไหวตามลำพัง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวอย่างน้อยต้องมีสองตัวขึ้นไป
อย่างที่คาด เพียงไม่นานก็มีวานรดำตัวที่สองและสามกระโดดออกมาจากพุ่มไม้ ก้าวช้าๆ เข้ามาใกล้คนสกุลเลี่ยวด้วยแววตาสาดประกายดุร้าย ในลำคอส่งเสียงคำรามประหนึ่งฟ้าร้องครืนคราน
เลี่ยวหย่งฉีมองพวกมันสามตัวพลางขมวดคิ้วลอบโอดครวญ ก่อนกัดฟันหันหน้าไปพูดกับอิ่นจื่อจาง “พี่ชายท่านนี้ ช่วยร่วมมือกับข้าสู้กับเดรัจฉานพวกนี้ได้หรือไม่ หากสามารถฆ่าพวกมันได้สักตัวสองตัว ก็ยกให้เป็นของท่านไปเลย”
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้วานรดำจะต้องผ่านจุดพักแรมของคนสกุลเลี่ยวก่อนจึงจะไปหาอิ่นจื่อจางและจูจูได้ อิ่นจื่อจางสามารถรอให้พวกนางกับวานรดำต่อสู้กันจนสะบักสะบอมค่อยลงมือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ในเมื่อท่าทีที่อิ่นจื่อจางมีต่อคนสกุลเลี่ยวเย็นชามาโดยตลอด เลี่ยวหย่งฉีจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมช่วยพวกนางต้านทานศัตรูที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มหรือไม่
คนสกุลเลี่ยวกระจ่างแจ้งแก่ใจว่าวานรดำเขาแรดเหล่านี้มุ่งมายังพวกเขาแน่แล้ว! เมื่อบ่ายพวกเขาพบซากวานรดำสองซากข้างในถ้ำ เขาบนหัวพวกมันสามารถใช้หลอมยารวมถึงหลอมอาวุธได้ พี่น้องสกุลเลี่ยวนึกโลภจึงได้เฉือนเขาทั้งสองคู่มา เดิมคิดว่าเทพไม่รู้ผีไม่เห็น นึกไม่ถึงว่าจะชักนำสัตว์ร้ายที่คึกลำพองสามตัวนี้มาเสียได้
เลี่ยวหย่งฉีรู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาฆ่าวานรดำสามตัวนี้ นางจึงออกปากด้วยความใจกว้างสักหน่อยเพื่อขอให้อิ่นจื่อจางยื่นมือช่วยเหลือ
“ได้ พวกเจ้าคอยคุ้มครองนางให้ดีแล้วกัน” อิ่นจื่อจางยกมือชี้จูจู
เสี้ยวเวลาที่ได้เห็นวานรดำเขาก็ร่ำร่ำอยากจะลองดูอยู่บ้างแล้ว คู่ต่อสู้เช่นนี้หาได้ไม่ง่าย สิ่งเดียวที่เขาพะวงคืออาจจะยังมีวานรดำตัวอื่นซุ่มอยู่บริเวณใกล้เคียงแล้วฉวยโอกาสจู่โจมจูจูในขณะที่เขาเบนความสนใจไปที่อื่น ยามนี้ข้อเสนอของเลี่ยวหย่งฉีตรงใจเขาพอดี แต่เขาก็ไม่คิดจะร่วมมือกับใครเช่นกัน ขอเพียงมีคนดูแลจูจูสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว
เลี่ยวหย่งฉีดีใจอย่างมาก นางรีบส่งสายตาให้บิดา เลี่ยวเทียนหวาเข้าใจจึงนำบ่าวอารักขาทั้งห้าถอยหลังไปรับจูจูเข้ามาอยู่ในวงล้อม
เลี่ยวหย่งหลินที่อยู่ด้านข้างเป็นแบบฉบับของลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ* เขายกหอกสีทองเล่มหนึ่งขึ้นคิดจะโจมตีไปที่วานรดำตัวหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า ปากก็ส่งเสียงดังว่า “ท่านพ่อ! สัตว์เดรัจฉานไม่กี่ตัวเท่านั้น ท่านคอยดูว่าข้าจะล้มพวกมันอย่างไร!”
เสียงเพิ่งจะเปล่งออกมา หอกของเขาก็ถูกวานรดำที่พุ่งเข้ามาคว้าไว้แล้วออกแรงสะบัด เขาเซไปด้านข้างพร้อมกับหอกทันที เคราะห์ดีที่การตอบสนองของเขายังนับว่าเร็วอยู่ จึงพลิกตัวตีลังกาสองรอบฝืนทรงตัวไว้ได้ แต่ทั้งหน้ากลับซีดเผือด
วานรดำสูงยังไม่เท่าหมีดำตัวหนึ่ง เลี่ยวหย่งหลินมีตบะอยู่ในขั้นฝึกปราณระดับหนึ่ง พละกำลังและสภาพร่างกายแข็งแรงกว่าคนปกติเป็นสิบเท่า คิดไม่ถึงว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกมันจะสู้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ความมั่นใจของเขาถูกการโจมตีอันแสนรุนแรงนี้ทำเอาแตกเละไม่มีชิ้นดี มองวานรดำที่กระโจนเข้ามาหาตนแล้วก็ได้แต่ถอยกรูด
เลี่ยวหย่งฉีกำลังสกัดวานรดำอีกตัวหนึ่งอยู่ แต่ครั้นเห็นพี่ชายประสบกับอันตรายก็ร้อนใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก ไม่มีเวลาให้สนใจอะไรอื่น สลัดคู่ต่อสู้ของตนทิ้งแล้วผลุบตัวไปช่วยเหลือทันที
อิ่นจื่อจางกวาดตามองสองพี่น้องอย่างเหยียดหยามปราดหนึ่ง ก่อนตะโกนขึ้นอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ถอยไป!”
พี่น้องสกุลเลี่ยวเพียงรู้สึกว่าตรงหน้าพร่ามัว อิ่นจื่อจางมาบังอยู่ด้านหน้าพวกเขาแล้ว เขายกมือสะบัดไปยังหัวของวานรดำตัวที่กระโจนเข้ามา ฝ่ามือทั้งสองของเขาไม่รู้มีแสงสีน้ำเงินปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อใด รัศมีเยียบเย็นแผ่จากปลายนิ้วออกไปราวสามฉื่อ** ควบรวมกันเป็นรูปร่างเหมือนดาบยาวกลางอากาศ
สัตว์ปีศาจขั้นหนึ่งอย่างวานรดำเขาแรดยังไม่มีสติปัญญาคิดอ่าน เพียงแต่มีพละกำลังและร่างกายแข็งแรงถึกทนกว่าสัตว์ปีศาจธรรมดามาก ครั้นเห็นดาบแสงน้ำเงินตวัดมายังตนเองก็เกิดหวั่นเกรงในวัตถุเรืองแสง จึงจับศพของบ่าวอารักขาในอุ้งมือมาบังไว้ด้านหน้า ยังคงกระโจนเข้าหาอิ่นจื่อจางอย่างไม่ลดกำลังลง
อิ่นจื่อจางไม่อยากทำลายศพผู้อื่นจึงขมวดคิ้วแล้วลดดาบกวาดไปยังท้องน้อยของวานรดำ ในเวลาเดียวกันก็เตะเท้าหนึ่งเข้าใส่วานรดำตัวที่สองที่กระโจนตามมา
“กรร…! กรร…!” จุดที่แสงกวาดผ่านมีเลือดสดๆ สาดกระจาย วานรดำทั้งสองตัวกรีดร้องขึ้นมา
วานรดำตัวหน้าเบี่ยงหลบไปได้เล็กน้อย แต่บนขายังคงถูกกรีดเป็นรอยแผลทั้งลึกทั้งยาว ส่วนอีกตัวก็ถูกเตะเข้าที่คอจึงลอยเฉียงไปด้านหลัง กระแทกเข้ากับวานรดำตัวที่สามจนล้มกลิ้งอยู่บนพื้นทั้งสองตัว
เมื่ออิ่นจื่อจางลงมือ วานรดำสามตัวก็มีแต่ถูกฟาดลูกเดียว! วานรดำคำรามลั่นขึ้นมาด้วยความโกรธ ทำเอานกบริเวณโดยรอบตกใจจนบินหนีกระเจิง
คนสกุลเลี่ยวทั้งสามนำบ่าวอารักขาทั้งห้าคนมาชมดูการต่อสู้ ครั้นเห็นเด็กหนุ่มเปี่ยมพลานุภาพเช่นนี้ก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง สองพ่อลูกสกุลเลี่ยวยิ่งนึกดีใจที่ตอนแรกเชื่อฟังคำของเลี่ยวหย่งฉี ไม่ได้ไปล่วงเกินดาวมรณะผู้นี้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงได้มีสภาพอนาถเกินบรรยายเป็นแน่แท้
จูจูเองก็มองออกว่าวานรดำเหล่านั้นทำอะไรอิ่นจื่อจางไม่ได้ แต่ไม่รู้เหตุใดจึงรู้สึกไม่สงบใจอยู่ตลอด คล้ายว่าด้านหลังยังมีอันตรายอะไรอยู่ นางค่อยๆ หันหน้ากลับไปมอง พุ่มไม้ข้างลำธารเล็กที่ห่างไปไม่ไกลคล้ายขยับไหว นางจึงร้องเตือนโดยไม่ต้องคิด “ระวัง!”
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว ข้างลำธารเล็กมีเสียงคำรามดังขึ้น ทันใดนั้นเงาดำสองสายก็กระโจนมายังทิศทางที่คนสกุลเลี่ยวรวมตัวกันอยู่จากด้านหลัง…ยังมีวานรดำเขาแรดอีกสองตัว!
ผู้อื่นถูกเสียงร้องของจูจูทำเอาตกใจจนสะดุ้ง พากันยกอาวุธเข้าต้าน ผลคือวานรดำทั้งสองตัวกวาดแขนยาวฟาดบ่าวอารักขาสองคนที่มาบังอยู่ด้านหน้าจนลอยกระเด็นออกไปโดยไม่แม้แต่จะมอง คนทั้งสองเลือดไหลออกจากจมูก ล้มพังพาบอยู่บนพื้น ดูท่าไม่รอดแน่แล้ว
เนื่องจากจูจูรู้สึกตัวเร็ว ขณะวานรดำกระโจนเข้าหานางก็วิ่งหนีมาได้หลายก้าวแล้ว ด้านสองพ่อลูกสกุลเลี่ยวช้าไปเล็กน้อยจึงถูกวานรดำกระโจนมาดักหน้า เลี่ยวเทียนหวาตัดสินใจดึงตัวบ่าวอารักขาที่ด้านข้างมาผลักเข้าใส่วานรดำ ส่วนตนเองก็ลากบุตรชายสะบัดหน้าเผ่นแน่บ
กรงเล็บวานรดำตะปบลงมา ศีรษะของบ่าวอารักขาที่น่าสงสารผู้นั้นก็แตกโพละทันที ขวางไว้ได้เพียงเท่านี้ก็เพียงพอให้เลี่ยวเทียนหวาหนีพ้นภัยได้ชั่วคราวแล้ว
เลี่ยวหย่งฉีรีบร้อนหมุนตัวกลับมาสกัดวานรดำตัวหนึ่งไว้ แต่อีกตัวยังคงไล่ตามสองพ่อลูกสกุลเลี่ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย บนตัวพวกเขายังมีกลิ่นจากถ้ำของวานรดำเขาแรดอยู่ พวกมันไหนเลยจะยอมปล่อยไป!
สองพ่อลูกตัวสูงขายาว ในพริบตาที่วิ่งผ่านจูจู เลี่ยวหย่งหลินที่ตกอยู่ในอันตรายก็เกิดความคิด เขาสะบัดแขนผลักจูจูไปด้านหลัง หมายจะใช้นางขวางวานรดำที่ไล่ตามมาไม่ลดละ
ตัวเขาไม่ทันคิดให้ดีว่าการกระทำนี้จะเป็นการล่วงเกินอิ่นจื่อจางหรือไม่ ต่อให้คิดได้ว่าอิ่นจื่อจางจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าจะมีปัญหาอะไรเช่นกัน…แค่เด็กสาวชั้นต่ำคนหนึ่ง ตายไปก็ตายไปสิ! เมื่อครู่บิดาเขาก็มิใช่เอาตัวบ่าวอารักขาไปสกัดวานรดำหรือไร อย่างมากพวกเขาชดใช้เป็นวัตถุธรรมหรือไม่ก็ยาลูกกลอนสักอย่างสองอย่างก็ได้แล้ว
จูจูคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโหดเหี้ยมไร้ยางอายปานนี้ นางอยากจะหลบก็หลบไม่พ้น ได้แต่ร้องอุทานพร้อมกับที่หงายล้มไปข้างหลัง
นางรู้สึกชัดเจนว่าตนเองชนเข้ากับร่างที่เหม็นสาบและมีขนยาวสากกระด้าง ทว่าการโจมตีถึงชีวิตและความเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างที่จินตนาการกลับไม่ได้เกิดขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมาด้วยอาการใจหายใจคว่ำ อิ่นจื่อจางยืนอยู่เบื้องหน้านางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ดาบแสงสีน้ำเงินที่มือคล้ายจะสว่างจ้ากว่าก่อนหน้านี้เกินเท่าตัว อกเสื้อครึ่งหนึ่งย้อมเต็มไปด้วยเลือด
จูจูอึ้งไปประเดี๋ยวหนึ่ง ครั้นหันหน้าไปมองก็ตกใจจนทั้งร่างสะดุ้งโหยง…วานรดำที่เมื่อครู่ยังแสดงท่าทางดุร้ายยามนี้กลับนอนตัวตรงแน่วพร้อมกับหัวหายไปครึ่งหนึ่งอยู่ใต้ร่างนางเสียแล้ว กลิ่นคาวของสมองและเลือดสดๆ เต็มพื้นโชยมาเข้าจมูก
เป็นอิ่นจื่อจางตามมาช่วยนางไว้ได้ทันเวลา!
จูจูทั้งตกใจทั้งคลื่นเหียน ทางหนึ่งพยายามยันตัวขึ้นมา ทางหนึ่งก็ปิดปากอยากอาเจียน ใบหน้าซีดเผือด
เมื่อครู่ตอนที่อิ่นจื่อจางได้ยินเสียงร้องเสียงแรกของจูจู ในใจก็รู้ว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว จึงสลัดวานรดำทั้งสามตัวทิ้งแล้วหันหลังกลับพุ่งมาทางนี้ เขาทันได้เห็นเลี่ยวหย่งหลินผลักจูจูเข้าหาวานรดำพอดี ในชั่วเวลาคับขันนั้นเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างปริแตกในร่างกาย พริบตาเดียวทั้งตัวก็คล้ายว่าเบาขึ้นมาก เขาตามมาทันด้วยความเร็วที่เร็วกว่าปกติเป็นเท่าตัว อานุภาพที่รวดเร็วและรุนแรงของดาบนั้นแม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างมาก
วานรดำสี่ตัวที่เหลือเห็นอิ่นจื่อจางแสดงอานุภาพไร้เทียมทานออกมาก็เริ่มใจฝ่อ จึงสะบัดหน้าเผ่นแน่บโดยไม่คิดจะแก้แค้นให้พวกพ้อง
ในใจอิ่นจื่อจางเองก็สะท้านสะเทือนอย่างยิ่งเช่นกัน ทันใดนั้นก็เข้าใจว่าตบะของตนถึงกับก้าวหน้าขึ้นอีกขั้นในระหว่างสถานการณ์ล่อแหลม! เขาทั้งตกใจทั้งดีใจอยู่ชั่วขณะ หากแต่เรื่องที่สำคัญที่สุดในเวลานี้คือสำรวมจิตใจนั่งสมาธิทำให้สภาวะที่เป็นอยู่คงที่โดยเร็วที่สุด วานรดำสี่ตัวหนีไปแล้ว ปัญหาก็หมดไปเปลาะหนึ่ง แต่คนสกุลเลี่ยวกลับไม่ใช่พวกที่รับมือได้ง่าย หากตนเองดึงดันลงมือกับพวกเขาระบายแค้น เกรงว่าจะทำให้รากฐานของตนเสียหาย
เลี่ยวหย่งฉีเองก็เห็นฉากที่พี่ชายของตนผลักจูจูเข้าหาวานรดำเช่นกัน เรื่องพรรค์นี้หากเป็นตอนปกตินางก็หาได้รู้สึกว่าผิดอะไร ทว่าเห็นอิ่นจื่อจางกลับตัวมาช่วยจูจูด้วยความร้อนใจดั่งมีไฟเผา เห็นได้ชัดว่าใส่ใจเด็กสาวนางนี้อยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้เขาได้ฝากฝังให้พวกนางคุ้มครองจูจู นี่เป็นเงื่อนไขในการต้านทานวานรดำเขาแรดแทนพวกนาง ทว่าพวกนางไม่เพียงผิดสัญญา ซ้ำยังผลักจูจูเข้าหาอันตรายด้วยมือตนเองอีกด้วย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ล้วนเป็นความผิดของพวกนาง เรื่องนี้ยากจัดการอย่างแท้จริง
เลี่ยวเทียนหวาก็ลอบโอดครวญว่าแย่แล้วเช่นกัน ประสบการณ์ความรู้ที่เขามีต่อการบำเพ็ญเซียนนั้นจำกัด ทว่าดาบเมื่อครู่นี้ของอิ่นจื่อจางมีอานุภาพรุนแรงไม่ธรรมดา ดูท่าที่สู้กับวานรดำสามตัวก่อนหน้านี้จะยังคงออมมือไว้ บุคคลที่ร้ายกาจเช่นนี้เขากลับปล่อยให้บุตรชายของตนล่วงเกินเสียได้
เขาสบตากับบุตรสาวแวบหนึ่ง กระแอมไอให้คอโล่งก่อนว่า “เมื่อครู่เจ้าลูกสุนัขตกอยู่ในอันตรายจึงขาดสติไป! พลอยทำให้แม่นางน้อยได้รับความตกใจ หวังอย่างยิ่งว่าน้องชายจะไม่ถือโทษ!”
“ไสหัวไป!” ในใจอิ่นจื่อจางอยากให้พวกเขาหายไปเสียโดยเร็วใจแทบขาด จึงเอ่ยปากไล่ตรงๆ อย่างฉุนเฉียวดุดัน ถ้าปล่อยให้พวกเขาค้นพบสภาพยามนี้ของเขาคงได้ยุ่งยากหนักแล้ว!
คนสกุลเลี่ยวทั้งสามสบตากัน ด้วยยังกลัวในอานุภาพเหี้ยมเกรียมเมื่อครู่ของอีกฝ่ายจึงไม่กล้าพูดมาก พากันกุลีกุจอจากไปโดยไม่สนใจศพของบ่าวอารักขาบนพื้น แม้กระทั่งจุดพักแรมก็ยังไม่กล้าเก็บกวาด
ครั้นเร่งจากมาได้ครู่ใหญ่ด้วยอาการใจหายใจคว่ำแล้วเลี่ยวหย่งหลินก็อดถ่มน้ำลายก่อนพูดขึ้นไม่ได้ในที่สุด “รอให้ถึงสำนักเซิ่งจื้อก่อนเถอะ ดูซิว่าเจ้าจะยังกำแหงได้หรือไม่!” ปู่น้อยของเขาเป็นศิษย์ขั้นสร้างฐานช่วงปลายของสำนักเซิ่งจื้อ ในสำนักก็พอมีอิทธิพลอยู่บ้าง รอแค่ถึงขั้นหลอมรวมก็จะได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้อาวุโสของสำนัก มีผู้หนุนหลังเช่นนี้เขาก็รู้สึกว่ามีสิทธิ์จะกำเริบเสิบสาน
เลี่ยวหย่งฉีทำตาขวางใส่เขา ยิ้มจืดเจื่อนก่อนว่า “พี่ใหญ่ ท่านปู่น้อยเคยบอกว่าข้ามีคุณสมบัติเยี่ยมยอด แต่จนบัดนี้ข้ายังมีตบะเพียงขั้นฝึกปราณระดับสาม คนผู้นั้นอายุไม่ได้ต่างจากข้าสักเท่าไร แต่น่าจะมีตบะอย่างน้อยๆ ก็เกินกว่าขั้นฝึกปราณระดับหกไปแล้ว เกรงว่าจะยิ่งมีคุณสมบัติเหนือกว่าข้าเสียอีก เมื่อถึงสำนักเซิ่งจื้อเขาจะต้องได้รับความสำคัญจากอาจารย์แน่นอน การจะสำเร็จขั้นสร้างฐานมีแต่จะเร็วกว่าข้า ไยพวกเราต้องสร้างศัตรูคู่อาฆาตเช่นนี้ขึ้นมาด้วย”
ในใจเลี่ยวหย่งหลินเข้าใจดีว่าที่น้องสาวว่ามามีเหตุผล แต่ก็ไม่อาจทนเสียหน้าได้จึงพูดเสียงกระด้าง “พูดไปพูดมาเจ้าก็ตำหนิว่าข้าล่วงเกินเจ้านั่น!”
เลี่ยวหย่งฉีกล่าวด้วยความอ่อนใจ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังมีอะไรต้องตำหนิอีก เอาเป็นว่าวันหน้าถ้าพวกเราได้เจอเขา พี่ใหญ่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง อย่าไปมีเรื่องมีราวกับเขาก็แล้วกัน”
เลี่ยวเทียนหวาเองก็พยักหน้าเห็นด้วย เลี่ยวหย่งหลินจึงแค่นเสียงแล้วไม่พูดอะไรอีก เลี่ยวหย่งฉีลอบส่ายหน้า พี่ใหญ่ของนางมีคุณสมบัติธรรมดา ตามความเห็นนางสู้เขาอยู่เป็นนายน้อยของตระกูลสูงศักดิ์ในโลกมนุษย์ไปอย่างมั่นคงปลอดภัยเสียดีกว่า เส้นทางสู่การมีอายุวัฒนะเป็นเส้นทางของผู้แข็งแกร่งมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยนิสัยเช่นนี้ของเขา ดีไม่ดีคงได้ก่อเรื่องร้ายอะไรขึ้นแล้วต้องชดใช้ด้วยชีวิตไปเปล่าๆ
* ผลหมาเหอเถา อยู่ในสกุลเดียวกับวอลนัต
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
* ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือ เป็นสำนวน หมายถึงคนหนุ่มสาวที่ยังผ่านโลกมาไม่มาก ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเหตุการณ์ จึงกล้าคิดกล้าทำ พร้อมจะถาโถมเข้าใส่ทุกสิ่ง เปรียบเหมือนลูกวัวแรกเกิดที่ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของเสือจึงไม่รู้จักกลัว
** ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’