ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย หงส์คืนจันทร์ บทที่ 5
บทที่ 5
เซิ่งเสวี่ยก้าวลงไปในสระน้ำก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยๆ ลากแขนสตรีนางนั้นให้ลงมาในสระด้วยกัน โชคดีที่น้ำในสระไม่ลึกมาก ศีรษะของพวกนางทั้งสองยังสามารถลอยพ้นเหนือน้ำได้
เซิ่งเสวี่ยหันไปมองสตรีข้างกายก็เห็นว่าสีหน้าของนางนั้นไม่ใคร่จะสู้ดีนัก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่ ตนเองจึงเอ่ยขึ้นเสียงเบาด้วยความไม่สบอารมณ์ “หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ของข้ากล่าวเอาไว้ว่ายามเห็นความตายมิอาจไม่ช่วยแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะวุ่นวายเรื่องของเจ้านักหรอก และข้าขอเตือนเจ้าไว้อย่าง อีกสักครู่หากยังอยากจะมีชีวิตก็จงหลบซ่อนอยู่ในสระนี้ด้วยกันกับข้า หากพวกเราโชคดีก็อาจจะหลบพ้น!”
ไม่รู้ว่าเซิ่งเสวี่ยตาฝาดไปเองหรือไม่ ยามที่นางเอ่ยคำว่าอาจารย์ สายตาของสตรีตรงหน้านี้ก็ฉายแววแปลกประหลาดขึ้นมา
“นายท่าน?” คนด้านนอกเอ่ยเรียกอีกครั้ง เมื่อไม่มีเสียงขานรับ สาวใช้จึงเอ่ยต่อ “หากท่านยังไม่ขานรับ บ่าวจำต้องฝืนคำสั่งบุกเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ!”
เซิ่งเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็คว้าแขนสตรีข้างกายคิดจะดึงตัวนางมุดลงใต้น้ำด้วยกัน ไฉนเลยจะคาด สตรีผู้นั้นไม่เพียงไม่ร่วมมือแต่ยังดิ้นรนปัดมือของตนเองออก สตรีผู้นี้ถูกพิษสลายเส้นเอ็นแต่ก็ยังเหลือเรี่ยวแรงเช่นนี้ได้ เซิ่งเสวี่ยนึกนับถือยิ่งนัก! เพียงแต่หากนางยังไม่ร่วมมือหลบอยู่ในสระน้ำจนถูกสาวใช้ที่ด้านนอกพบเข้าล่ะก็ เซิ่งเสวี่ยย่อมต้องโดนหางเลขไปด้วย นางไม่อยากตายเพราะช่วยคนหรอกนะ!
คิดได้เช่นนั้นเซิ่งเสวี่ยด้วยความร้อนใจก็ยื่นมือหนึ่งออกไปคว้าศีรษะของอีกฝ่าย แล้วออกแรงกดลงไปใต้น้ำ
ไม่ผิดจากที่คิด เกิดเป็นมนุษย์ต้องโหดร้ายเสียบ้างจึงจะดี!
ที่ก้นสระ เซิ่งเสวี่ยมองลอดผ่านรอยแยกของกลีบดอกไม้บนผิวน้ำก็เห็นแสงไฟจากโคมแก้วภายในห้อง นางมั่นใจ บรรดาสาวใช้ที่อยู่ริมสระไม่มีทางหาพวกนางพบแน่
“นายท่าน?”
“นายท่านอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
“พี่ไป๋จั่น ท่านรีบมาดูเร็วเข้า ตรงนี้มีรอยเลือด!” สาวใช้สองนางหลังเดินหาจนทั่วอยู่หนึ่งรอบแล้ว หนึ่งในสาวใช้นั้นก็พลันกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก เสียงดังทะลุผิวน้ำเข้ามาถึงหูของเซิ่งเสวี่ย นางรีบดึงร่างสตรีข้างกายที่เคลื่อนไหวอยู่ไม่สุขให้จมลึกลงไปอีก
“อืม เป็นรอยเลือดจริงด้วย! ดูท่า จะต้องมีคนทำร้ายนายท่านเป็นแน่!”
ณ ก้นสระ เซิ่งเสวี่ยเริ่มกลั้นหายใจได้ลำบากขึ้นทุกที เกรงว่าหากสองสาวใช้คู่นี้ยังไม่ออกไปอีก นางคงได้จมน้ำตาย! ในใจอดไม่อยู่พลางนึกปรามาสสตรีข้างกายว่าทำอะไรไม่รู้จักรอบคอบ จะฆ่าคนทั้งทีก็ไม่รู้จักวางแผนให้รัดกุมเสียหน่อย!
คิดได้เช่นนั้นนางถึงค่อยพบว่าสตรีข้างกายนางผู้นี้แน่นิ่งไม่ไหวติง
หรือว่านางขาดอากาศหายใจตายไปแล้ว!
เซิ่งเสวี่ยลูบใบหน้าของสตรีผู้นั้นอย่างระมัดระวังก็พบว่าดวงตาทั้งสองข้างของอีกฝ่ายปิดแน่น นางพลันตระหนก รีบปลดผ้าคลุมหน้าของตนเองออกแล้วทาบทับริมฝีปากลงไป ถ่ายเทอากาศส่วนหนึ่งผ่านเข้าไปในปากของคนที่กำลังหมดสติทันที
สตรีตรงหน้าคงเพราะรู้สึกได้ถึงอากาศที่ไหลเข้าไปในปาก อีกฝ่ายจึงพลันดูดกลืนอากาศที่เหลืออยู่ภายในปากของนางไปอย่างละโมบ
เซิ่งเสวี่ยตะลึงลาน เนตรงามเบิกกว้างอยู่ใต้น้ำถลึงมองอีกฝ่ายอย่างดุร้าย คิดในใจว่าสตรีผู้นี้โลภมากยิ่งนัก! หากไม่ติดว่าคนตรงหน้าเป็นสตรีเฉกเช่นเดียวกันแล้วล่ะก็ คงถูกนางถีบกระเด็นออกไปนานแล้ว รู้เช่นนี้น่าจะปล่อยอีกฝ่ายตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด!
ทว่ายามที่นางลืมตาขึ้น อีกฝ่ายก็พลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน พริบตานั้นดวงตาทั้งสองคู่ก็สบประสาน
ดวงตาคู่งามที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมคู่นี้ ทั้งที่อยู่ใต้น้ำ อีกทั้งยังเป็นตอนกลางคืน แสงจากโคมไฟไม่นับว่าสว่างไสว ทว่าเซิ่งเสวี่ยกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความร้อนแผดเผาที่อยู่ภายในแววตาของอีกฝ่าย ดวงตาคู่นี้…คล้ายจะเคยรู้จักกันมาก่อน!
ตอนที่เซิ่งเสวี่ยสลัดหลุดจากริมฝีปากไม่รู้จักพอของสตรีตรงหน้าได้อย่างยากลำบากแล้ว ด้วยความร้อนใจนางจึงเผลอกลืนน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง อีกเพียงนิดก็แทบจะสำลักออกมา ยังดีที่นางยกมือขึ้นปิดปากของตนเองไว้ได้ทัน
ขณะเดียวกันเสียงสาวใช้ที่ด้านบนก็ดังขึ้น “ไปเถิด เรื่องใหญ่เช่นนี้ พวกเรารีบไปรายงานท่านพ่อบ้านให้ตามหานายท่านกันดีกว่า!”
“พี่ไป๋จั่น แต่พวกเรายังไม่ได้ตรวจดูในสระน้ำนี่กันเลยนะ”
“พวกเราเข้ามานานถึงเพียงนี้ หากมีคนอยู่จริง ก็คงขาดอากาศหายใจตายไปนานแล้วล่ะ!”
จากนั้นก็แว่วเสียงฝีเท้าของคนทั้งสองเดินจากไป
ครั้นพวกนางจากไปแล้ว เซิ่งเสวี่ยก็รีบโผล่ขึ้นเหนือน้ำก่อนจะดึงผ้าคลุมหน้าขึ้นมาปิดให้มิดชิดพลางไอสำลักไม่หยุด ระหว่างที่สำลักก็ยังไม่ลืมที่จะดึงร่างสตรีผู้นั้นให้ขึ้นมาจากน้ำด้วย
สตรีผู้นั้นยามขึ้นเหนือน้ำท่วงท่าสง่างามยิ่งกว่าเซิ่งเสวี่ยอยู่มากโข ไม่เพียงไม่มีอาการสำลัก แต่ยังจ้องมองเซิ่งเสวี่ยด้วยสายตาแปลกประหลาด ท่าทางคล้ายกำลังยิ้ม แต่หากมองให้ละเอียดกลับไม่รู้สึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าของนางเลยสักนิด ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
“แค่กๆ แม่นาง ข้าคิดว่าพวกนางคงไม่กลับมาแล้วล่ะ หรือต่อให้กลับมาจริง เจ้าก็ลงไปหลบอยู่ในสระน้ำอีกสักรอบคงจะพอหลบพ้นได้ชั่วคราว รอฤทธิ์ยาในร่างของเจ้าคลายลง เจ้าก็สามารถหลบหนีได้โดยง่ายแล้ว”
กล่าวจบเซิ่งเสวี่ยก็ปีนขึ้นไปบนขอบสระ ปล่อยให้อีกฝ่ายยืนอยู่ในสระน้ำเพียงผู้เดียว สายตาจ้องมองเซิ่งเสวี่ยอย่างสับสนงุนงง
“เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น ตัวข้าเองยังเอาชีวิตแทบไม่รอด คงช่วยเหลือเจ้าได้เพียงเท่านี้แล้ว!”
เซิ่งเสวี่ยพูดจบก็เห็นนางขยับริมฝีปากพูดอะไรบางอย่าง เซิ่งเสวี่ยเพ่งมองริมฝีปากบางได้รูปนั้นขยับขึ้นลงหลายครั้ง ทวนซ้ำประโยคเดิมอยู่หลายรอบ นางถึงค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดสิ่งใด
ครุ่นคิดอยู่ครูหนึ่ง นางค่อยถามย้ำ “แม่นาง เจ้ากำลังถามข้าว่าเหตุใดจึงช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ”
อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยท่าทางองอาจ
เซิ่งเสวี่ยตอบกลับไป “นั่นเป็นเพราะข้อห้ามสามข้อที่อาจารย์ของข้าสั่งเอาไว้ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ถูกชะตากับบุรุษที่ใช้ประโยชน์จากสตรี! แม่นาง บุรุษหน้าไม่อายเช่นนี้เจ้าก็อย่าอาลัยอาวรณ์นักเลย มีรูปโฉมล่มเมืองเช่นนี้ของเจ้า ไยต้องกลัวว่าจะหาบุรุษดีๆ มิได้”
ไม่ได้สนว่าอีกฝ่ายจะตอบสนองเช่นไร เซิ่งเสวี่ยหลังจากสาละวนอยู่กับการบิดน้ำออกจากเรือนผมและเสื้อผ้าจนเรียบร้อยแล้วก็หันไปโบกมือให้นาง “ไว้พบกันใหม่ รักษาตัวด้วย!”
จากนั้นนางก็เดินออกจากห้องอาบน้ำของหอสุ่ยหลิง ทิ้งให้คนในสระน้ำจมอยู่ในภวังค์เพียงลำพัง
ตอนที่เซิ่งเสวี่ยแอบย่องออกมา นางก็พบว่าคฤหาสน์ทั้งหลังได้จุดโคมไฟส่องสว่างดุจยามกลางวัน!
นอกจากนี้ ขณะที่นางเตรียมจะก้าวออกจากประตูเรือน ก็เหลือบไปเห็นที่ไกลๆ หลังแสงโคมไฟเหล่านั้นมีเงาร่างหลายร่างกำลังเร่งฝีเท้ามาตามทางสายเล็กนี้ หากนางคาดเดาไม่ผิด คนเหล่านั้นกำลังมุ่งตรงมาที่นี่ ยามนี้ต่อให้นางอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้นเสียแล้ว!
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายนางก็ตัดสินใจกลับเข้าไปข้างในอีกครั้ง
ครั้นม่านถูกเลิกขึ้น นางก็ต้องตะลึงงันอีกรอบ! สตรีผู้นั้นไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในสระน้ำแต่กลับเอนร่างพักเอาแรงอยู่บนม้านั่งหยกริมสระอย่างสบายอุรายิ่ง ช่างรนหาที่ตายยิ่งนัก!
ยามนี้เรือนผมเปียกชื้นสีน้ำหมึกของสตรีผู้นั้นแผ่สยายอยู่บนหมอนหยกสีแดง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเท้าแก้ม ผินใบหน้ามองเซิ่งเสวี่ยผู้ปิดบังใบหน้าที่บุกกลับเข้ามาอีกครั้ง ครั้นเห็นชัดว่าเป็นนาง สตรีนางนั้นกลับส่งยิ้มชั่วร้ายให้เซิ่งเสวี่ย รอยยิ้มชั่วร้ายนั่นเมื่ออยู่บนใบหน้างามอันเย้ายวนนั้นกลับยิ่งมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
“เจ้า!…เจ้ายังจะยิ้มออกอีกหรือ! โง่เง่าอะไรเช่นนี้ ไม่แปลกใจแล้วที่เจ้าดันหลงรักบุรุษไร้ยางอายเช่นนั้น!” เซิ่งเสวี่ยย่างสามขุมเข้าไปคว้าแขนของนางพลางบ่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่ายามนี้บรรดาบ่าวไพร่ของเขากำลังตรงมาที่นี่กันแล้ว พวกเรารีบหนีไปจากตรงนี้ก่อนจะดีกว่า ในเมื่อเจ้าขึ้นมานั่งบนตั่งได้ ข้าเดาว่าแค่เดินไม่กี่ก้าวเจ้าก็น่าจะไหวกระมัง รีบลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ครั้นแขนข้างที่ใช้เท้าแก้มของนางถูกเซิ่งเสวี่ยดึงออกกะทันหัน ศีรษะที่วางเท้าแก้มไว้ก็พลันลื่นไถล ส่งผลให้คางกระแทกลงกับหมอนหยกอย่างแรง ฉับพลันโลหิตก็หลั่งริน เส้นสายสีแดงสดหลายเส้นย้อมปลายคางขาวผ่องของนางให้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
เซิ่งเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบคลายมือข้างที่คว้าแขนของอีกฝ่ายไว้ทันที “ขอ…ขออภัยด้วย! ข้า…”
เซิ่งเสวี่ยรู้สึกแปลกใจกับตนเองในวันนี้เป็นอย่างยิ่ง ยามปกตินางนับเป็นสตรีเฉลียวฉลาดผู้หนึ่ง ไฉนยามนี้จึงมือเท้างุ่มง่ามขึ้นมาได้เสียเล่า สาเหตุคงมิใช่เพราะตนเองกำลังถูกคนไล่ล่าอยู่กระมัง ทว่าจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้ เมื่อนึกถึงตอนแรกที่นางหนีการตามล่าของตงเยวี่ยอ๋อง ตอนนั้นนางยังเยือกเย็นกว่านี้หลายเท่าตัวนัก
นางคิดว่าสาเหตุคงเพราะรูปโฉมของสตรีตรงหน้างดงามมากเกินไป ขนาดนางที่เป็นสตรีด้วยกันมองแล้วยังรู้สึกหวั่นไหว ไม่เช่นนั้นมีหรือจะส่งผลให้นางทำพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ได้
สตรีผู้นั้นถูกเซิ่งเสวี่ยปล่อยแขนโดยไม่ทันได้ตั้งตัว พริบตาต่อมาร่างทั้งร่างก็ลื่นไถลลงจากตั่งตกลงไปสัมผัสแนบชิดสนิทสนมกับพื้นหินอวี่ฮวาที่ด้านล่างแล้ว
“อ๊ะ!” เซิ่งเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็อุทานออกมาก่อนจะรีบกล่าวขอโทษขอโพย “ขออภัยด้วย เป็นเหตุไม่คาดฝัน เป็นเหตุไม่คาดฝันจริงๆ!”
ครึ่งค่อนวันกว่าสตรีผู้นั้นจะยันแขนข้างหนึ่งลุกขึ้นมาจากพื้นได้ นางหันหน้ามาถลึงตาใส่เซิ่งเสวี่ยด้วยความคับแค้น หน้าอกกระเพื่อมไหวอย่างดุดัน
ครั้นเห็นเสื้อคลุมแพรไหมสีม่วงปักลายค้างคาวที่สตรีผู้นั้นสวมอยู่บนร่างขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจอันหนักหน่วง เซิ่งเสวี่ยก็รู้ได้ทันทีว่านางโกรธจริงๆ แล้ว
ดังนั้นเซิ่งเสวี่ยจึงรีบประคองนางขึ้นมาพลางกล่าว “ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เดิมคิดจะพาเจ้าไปหลบอยู่ในสระน้ำชั่วคราว ไฉนเลยจะรู้ว่าเจ้ากลับอ่อนแอถึงเพียงนี้ กระทั่งเรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มี”
สตรีผู้นั้นมองค้อนเซิ่งเสวี่ยอย่างขุ่นเคือง
“เลิกมองได้แล้ว พวกเราควรรีบลงไปซ่อนในสระน้ำก่อนจะดีกว่า ข้าได้ยินเสียงฝีเท้าของพวกเขากำลังตรงเข้ามาในเรือนแล้ว!” เซิ่งเสวี่ยเห็นอีกฝ่ายยังถลึงตามองมาที่ตนก็รีบเอ่ยเร่งเร้า
สตรีผู้นั้นได้ฟัง คิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น สายตาย้ายไปมองยังสระน้ำ เนิ่นนานถึงค่อยหันกลับมาหาเซิ่งเสวี่ยแล้วส่ายหน้า สื่อความหมายชัดเจน นางไม่คิดจะลงไปซ่อนในนั้นอีกแล้ว
เซิ่งเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็ร้อนใจ “เจ้ามันโง่เง่ายิ่งนัก!”
ฝ่ายที่เพิ่งถูกประคองขึ้นมาจากพื้นทำสีหน้าอับจนพูดอะไรไม่ออก คิดจะเปิดปากโต้แย้ง ทว่าริมฝีปากเพียงขยับแต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา
เซิ่งเสวี่ยไม่คิดจะต่อล้อต่อเถียงกับนางอีก ยังคงคิดจะใช้ความรุนแรงเช่นก่อนหน้านี้ผลักนางลงสระน้ำอีกครั้ง
ทว่าตอนนั้นเองที่สตรีผู้นั้นรีบยื่นมือออกมาตบแขนของเซิ่งเสวี่ย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนิ่งงันมองตนเองอยู่เช่นนั้น นางก็ชี้นิ้วไปที่โคมแก้วบนชั้นทองแดงที่ตั้งอยู่ริมสระ ริมฝีปากอ้าแล้วก็หุบพยายามบอกบางอย่างกับเซิ่งเสวี่ย
“เจ้ากำลังบอกว่าด้านหลังโคมนั่นมีเส้นทางลับอย่างนั้นหรือ” ครั้นเซิ่งเสวี่ยอ่านปากของนางจนเข้าใจก็ร้องถามด้วยความตื่นเต้น
นับว่ามีสมองหลงเหลืออยู่บ้าง! สตรีนางนั้นเหลือกตาใส่นางคราหนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างอ่อนใจ
“แม่นาง ในเมื่อมีทางลับไฉนเจ้าจึงไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้เล่า!” เซิ่งเสวี่ยหวนนึกถึงเมื่อครู่ที่ตนเองจวนจะสำลักตายอยู่ในน้ำ ก็อดมองค้อนอีกฝ่ายอย่างโกรธเคืองไม่ได้
สตรีนางนั้นได้ฟังก็หลับตา ลมหายใจเริ่มไม่สงบ คาดว่าคงจะโกรธขึ้นมาอีกแล้ว
สำหรับสตรีที่มีรูปโฉมภายนอกงามเย้ายวนแต่นิสัยกลับแปลกประหลาดผู้นี้นั้น เซิ่งเสวี่ยพลันรู้สึกสนใจขึ้นมาครามครัน นางรีบพยุงอีกฝ่ายขึ้นมาก่อนจะเดินตรงไปที่โคมแก้ว
เซิ่งเสวี่ยอาศัยการชี้นำของสตรีผู้นั้นขยับหมุนโคมแก้วไปมาอยู่หลายที ตรงผนังพลันปรากฏรอยแยกสูงเท่าตัวคนกว้างประมาณหนึ่งฉื่อ หากไม่ใช่เพราะมีร่างกายผอมบาง เซิ่งเสวี่ยคิดว่าตนเองกับสตรีข้างกายผู้นี้คงจะยัดรวมกันเข้าไปไม่ไหวเป็นแน่
รอจนเซิ่งเสวี่ยกับสตรีผู้นั้นค่อยๆ ย้ายเข้าไปในห้องลับเรียบร้อยแล้ว ปากทางเข้าก็ปิดลง ช่วงเวลาสุดท้ายก่อนทางปิดสนิทนั้น นางคล้ายจะได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมากเดินเข้ามา
ดูท่าจะทันแบบฉิวเฉียดทีเดียว หากช้ากว่านี้อีกนิด พวกนางจะต้องถูกจับตัวได้แน่
เมื่อเข้ามาในห้องลับที่มืดสนิทแล้ว เซิ่งเสวี่ยคอยพยุงแขนผู้ที่อยู่ข้างกายพลางเอ่ยขึ้นเสียงเบา “แม่นาง พวกเราน่าจะปลอดภัยกันชั่วคราวแล้ว”
สตรีผู้นั้นกลับปัดมือของนางออกอย่างอ่อนแรง สองมือคลำสะเปะสะปะเพื่อหาอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นสายตาของนางก็พลันสว่างวาบ เซิ่งเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างมากจนอดหันไปมองทิศทางที่มาของแสงสว่างจ้านั่นไม่ได้ จึงพบว่าในมือของสตรีที่อยู่ข้างกายนางนั้นกำลังถือมุกราตรีเอาไว้ “ไฉนเจ้าจึงมีมุกราตรีเม็ดใหญ่เช่นนี้ได้ หรือเจ้าจะเล่นกลเป็น!”
ภายใต้แสงของมุกราตรี เซิ่งเสวี่ยพลันพบว่าที่นี่เดิมทีไม่ใช่ห้องลับ แต่เป็นทางลับสู่ห้องลับเท่านั้น เมื่อมองจากความยาวของเส้นทางก็พอจะคาดเดาออกว่าห้องลับห้องนั้นคงจะมีขนาดใหญ่มากเป็นแน่ เช่นนั้นไหนเลยจะต้องมีทางลับที่ทอดยาวถึงเพียงนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าเขตหวงห้ามของคฤหาสน์สกุลหวาจะเก็บซ่อนทางลับเช่นนี้ไว้!
สตรีผู้นั้นเหลือกตาดูแคลนนางอีกคราหนึ่ง ก่อนจะอิงร่างของตนเองกับผนังทางเดิน อาศัยเป็นหลักช่วยพยุงกายก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว สีหน้าแสดงชัดว่าไม่ต้องการให้เซิ่งเสวี่ยคอยประคอง
เซิ่งเสวี่ยไม่ชอบใจท่าทางไม่รู้จักดีชั่วของสตรีผู้นี้เลยแม้แต่น้อย จึงตั้งใจก้าวยาวๆ ขึ้นนำหน้า หมายจะให้อีกฝ่ายมองเงาหลังอันหยิ่งยโสของตนบ้าง ทว่าขณะที่เซิ่งเสวี่ยเพิ่งจะเดินเฉียดกายผ่านนางไปนั้น เสื้อของตนเองพลันถูกอีกฝ่ายดึงไว้จากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็เห็นอีกฝ่ายส่ายศีรษะมาด้วยสีหน้าที่ทั้งขัดเคืองทั้งเหนื่อยหน่าย จากนั้นก็ขยับปากพูดกับนางว่า “เดินตามหลังข้าไว้ มีอาวุธลับ!”
ครั้นเซิ่งเสวี่ยอ่านปากของนางจนเข้าใจก็พลันตื่นตระหนก พริบตาต่อมาก็สงบสติลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม่นาง เหตุใดเจ้าจึงดูคุ้นเคยกับที่นี่นัก”
สีหน้าของสตรีผู้นั้นพลันแข็งทื่อ นัยน์ตาดอกท้อปรากฏแววครุ่นคิด แต่กลับไม่มีทีท่าจะเปิดปาก ผ่านไปครึ่งค่อนวัน นางก็ส่งมุกราตรีขนาดใหญ่พอๆ กับไข่ใก่ให้เซิ่งเสวี่ย จากนั้นก็ใช้สองมือของตนเองยันผนังแล้วเดินหน้าต่อไป
เซิ่งเสวี่ยมองเงาหลังอันสูงเพรียวของนางที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ชั่วพริบตานั้นพลันรู้สึกว่าสตรีผู้นี้ราวกับบุรุษก็ไม่ปาน
คงเพราะเห็นนางหยุดไป สตรีผู้นั้นจึงหันกลับมามองเป็นเชิงถาม เซิ่งเสวี่ยเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวเข้าไป ประคองแขนอีกฝ่ายขึ้นมาอีกครั้ง “แม่นาง เจ้ามีนามว่าจื่ออวี้กระมัง ช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมยิ่งนัก อาภรณ์ม่วงห่มกายา ผิวพรรณโสภาดังหยกขาว* ทั้งรูปโฉมเลิศล้ำงามเด่น สตรีเช่นนี้ไยต้องทำร้ายตนเองด้วย เจ้าอย่าได้ใส่ใจบุรุษที่ไม่รักเจ้าอีกเลย จงมองไปข้างหน้าเถิด เรื่องบางเรื่องสามารถดื้อรั้นดึงดันได้ แต่เรื่องบางเรื่องกลับไม่สามารถ”
เซิ่งเสวี่ยเตือนสตินางขณะเดียวกันก็เตือนสติตนเองไปด้วย
ได้ฟังจนจบ สตรีผู้นั้นก็พลันปัดมือของนางออกอีกครั้ง แต่กลับถูกเซิ่งเสวี่ยเกาะกุมเอาไว้แน่นกว่าเก่า “อย่าดันทุรังอีกเลย ข้ารู้ว่าเจ้ามีแรงอยู่จำกัด รอจนประคองเจ้าถึงที่ปลอดภัยเมื่อใด พวกเราก็ค่อยหยุดพัก เมื่อฤทธิ์ยาในร่างของเจ้าเสื่อมลงแล้ว พวกเราค่อยคิดหาทางหลบหนีไปจากที่นี่กัน”
บางทีอาจเป็นเพราะหลังจากนี้พวกนางคงไม่ได้พบกันอีก และอาจเป็นเพราะเห็นท่าทางดื้อรั้นของอีกฝ่ายช่างละม้ายคล้ายกับตนเสียเหลือเกิน เซิ่งเสวี่ยจึงบังเกิดความสงสารสตรีตรงหน้าผู้นี้ขึ้นมาจับใจ
สตรีผู้นั้นพอได้ฟังก็ก้มลงมองนางครู่หนึ่งก่อนจะหันหน้ากลับไป ไม่ได้ปัดป้องมือของเซิ่งเสวี่ยอีก แต่กลับอาศัยแรงจากนางคอยพยุงตนเองเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
คนทั้งสองเดินต่อไปเรื่อยๆ เพียงครึ่งถ้วยชา* ในที่สุดก็มาถึงห้องลับที่ภายในจัดวางโต๊ะเก้าอี้ศิลาไว้พร้อมสรรพ เมื่อเข้ามาแล้ว เซิ่งเสวี่ยก็ประคองสตรีข้างกายให้นั่งลง ก่อนจะวางมุกราตรีลงบนชุดถ้วยชาที่อยู่กลางโต๊ะ รอบด้านจึงพลันสว่างไสวขึ้นมา
เซิ่งเสวี่ยได้มองเห็นถึงรูปแบบการก่อสร้างห้องลับแห่งนี้ว่าเป็นแบบเดียวกับห้องลับใต้ดินในพระราชวังอย่างไม่มีผิดเพี้ยน! ชั้นวางที่ทำจากหยกบนผนังทั้งสี่ด้านล้วนจัดวางม้วนตำราและหยกสลักล้ำค่ามีชื่อเสียง ด้านล่างยังมีหีบไม้สีดำอีกหลายหีบ ทุกหีบยังใส่กุญแจปิดเอาไว้แน่นหนา เห็นได้ชัดว่าของที่อยู่ด้านในนั้นจะต้องมีค่าควรเมืองอย่างแน่นอน
ถ้าหากที่นี่สร้างเลียนแบบห้องลับภายในพระราชวังแล้วล่ะก็ เช่นนั้นด้านหลังชั้นวางหนังสือนั่นย่อมต้องเป็นประตูลับอีกบาน หลังประตูลับนั่นจะต้องมีทางลับอีกสาย ภายในห้องนี้มีชั้นหนังสือทั้งหมดสามตู้ เซิ่งเสวี่ยเดาว่าประตูลับทั้งหมดจะต้องมีสามบาน หมายถึงห้องลับอีกสามห้อง!
สตรีผู้นี้รู้จักที่นี่ได้อย่างไรกัน เหตุใดรูปแบบของที่นี่จึงคล้ายกับห้องลับในวังหลวงอย่างยิ่ง ดูท่าคฤหาสน์สกุลหวาจะไม่ได้ธรรมดาสามัญอย่างที่คิด!
คิดได้เช่นนั้นเซิ่งเสวี่ยก็ลอบกำชายแขนเสื้อที่เปียกชื้นของตนเองเอาไว้แน่น ในใจเริ่มรู้สึกกระวนกระวาย
* จื่ออวี้ ประกอบด้วยตัวอักษรจื่อ (紫) ที่แปลว่าสีม่วง และอักษรอวี้ (玉) ที่แปลว่าหยก
* ‘ครึ่งถ้วยชา’ เป็นคำเปรียบหมายถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำรากล่าวว่าหนึ่งถ้วยชาเทียบเวลาประมาณ 10-15 นาที