LOVE
ทดลองอ่านนิยาย ในม่านกาล บทที่ 2
บทที่ 2
หากมีคนถามว่าฝันประหลาดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไลลาก็คงตอบไม่ได้เสียแล้ว
เพราะภาพในหัวยามหลับตาเกิดขึ้นมาเนิ่นนานจนมองไม่เห็นจุดเริ่มต้นและสาเหตุ คล้ายภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปซ้ำมากระทั่งจำได้ขึ้นใจ ไม่ว่าจะอยากให้ปรากฏหรือไม่ล้วนไม่ใช่สิทธิ์ของเธอที่จะได้ตัดสิน บางคราวความฝันนั้นก็เลือนรางคล้ายถูกบดบังด้วยหมอกขาว บ้างก็ชัดเจนขึ้นมาจนเหมือนจะจับต้องได้ หากเธอก็ไม่สามารถอธิบายได้เช่นกันว่าอำนาจปริศนาอะไรมาดลบันดาลให้เกิดเรื่องพิกลเช่นนี้กับตัวเอง
ไลลาไม่ใช่คนเปล่าดาย เธอมีครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมและอบอุ่นอย่างยิ่ง บิดาซึ่งเป็นชาวอเมริกันทำงานในบริษัทด้านการลงทุนที่มั่นคงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หญิงสาวจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองที่ขึ้นชื่อว่าสภาพแวดล้อมหรูหราอย่างกรีนิช นอกจากมารดาชาวไทยแล้ว ชีวิตของไลลาก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยอเมริกันชนมาโดยตลอดทั้งด้านสังคมและความเป็นอยู่ จึงไม่มีสาเหตุใดเชื่อมโยงกับความฝันของเธอได้เลย…ภาพที่เกิดจึงคล้ายดังดวงไฟไร้ที่มาผุดวาบขึ้นกลางน้ำ ขัดแย้งทั้งในด้านรูปลักษณ์และนามธรรม เป็นทวิธาตุขั้วตรงข้ามที่ไม่มีทิศทางให้บรรจบ
แต่หากจะให้เธอปล่อยความฝันนี้เวียนวนแทบทุกค่ำคืนโดยไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะแค่นึกถึงเสียงปริศนาของชายหนุ่มซึ่งปลอบประโลมในทุกห้วงสุดท้ายก่อนลืมตาตื่น ก็คล้ายมีเกลียวคลื่นยักษ์โหมลงในหัวใจ พลันให้ปวดหนึบจนเหมือนถูกบีบอัดจนแทบหายใจไม่ออก…ทั้งถวิลหาและอาดูรอย่างยากจะอธิบาย ผลักดันความอยากรู้ให้พอกพูนอยู่ข้างในกระทั่งไม่อาจทานทนไหว
ชั่วชีวิตของไลลาไม่เคยปรารถนาสิ่งใดอย่างแรงกล้า เธออยู่อย่างสุขสบาย ทุกสิ่งที่ต้องการก็ได้มาง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามอะไรมากนัก ทว่าเพียงเพราะความฝันที่ตามติดมาตลอด หญิงสาวถึงกับต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อหาคำตอบด้วยตัวเอง จิตใจของเธอผูกติดกับสิ่งนี้โดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว…จะอย่างไรก็ต้องได้คำตอบ…ให้ตายก็ต้องรู้ให้ได้!
หลังจากคุยกับซิลเวียเสร็จเมื่อช่วงสาย ไลลาก็เอนตัวพิงเก้าอี้หนานุ่มจนเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนกระทั่งงัวเงียตื่นตอนเย็นย่ำ เพราะแสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ส่องลอดกิ่งก้านไม้เลื้อยเข้ามากระทบตาพอดิบพอดี นักท่องเที่ยวบางส่วนเริ่มกลับเข้าที่พักแล้ว บ้างก็นั่งพูดคุยเสียงจ้อกแจ้ก บ้างก็นอนพิงเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ หากทุกคนก็มีสีหน้าเบิกบาน ทุกครั้งที่สบตาก็ส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้อย่างไม่เขินอาย
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงทักดังขึ้นพร้อมกับร่างท้วมๆ ของคุณอิงอรที่เดินเข้ามาพอดี
“น้าเห็นเรานอนหลับสนิทเลยไม่อยากปลุก เป็นยังไง หิวไหม”
“ไม่ได้หลับเป็นตายแบบนี้นานมากแล้วค่ะ” ว่าพลางบิดขี้เกียจไปมาแล้วลูบท้องตัวเองป้อยๆ “น้าอรทักปุ๊บ ท้องก็ร้องปั๊บเลย”
“มากินข้าวกัน นี่น้าเพิ่งทำเสร็จพอดี อาหารไทย…ชอบไหม”
ผู้มากวัยกว่าพยักพเยิดไปยังหม้อกับข้าวสองสามอย่างที่ทำไว้เผื่อให้แขกมาเลือกตักกินได้ตามใจ กลิ่นเครื่องแกงและควันฉุยๆ ทำให้ไลลาดีดตัวเองใส่โต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว
“ชอบที่สุดเลยค่ะ”
“โอ้โฮพี่ หน้าฝรั่งแบบนี้นึกว่าจะกินแต่ขนมปังกับชีสซะอีก” เด็กบอยที่ยกกับข้าวมาเพิ่มทักขึ้น
หญิงสาวย่นจมูกใส่ทันที
“ไม่ชอบหรอก กินเยอะๆ แล้วเลี่ยนจะตาย น้าอรขา ขอข้าวพูนๆ เลยนะคะ”
“สมกับเป็นลูกมาริสา สมัยอยู่อเมริกาแม่เราก็ชอบบังคับน้าทำอาหารไทยให้กินแทบทุกวัน” คุณอิงอรกล่าวยิ้มๆ ขณะตักข้าว
ไลลานั่งรอกระทั่งเจ้าของบ้านและหลานชายร่วมนั่งทานอาหารบนโต๊ะก่อนจึงลงมือบ้าง กินไปได้สักพักนัยน์ตาสีประหลาดก็เหลือบไปมองตู้หนังสือขนาดใหญ่ใกล้กัน เธอพินิจพิจารณาเหล่าหนังสือเล่มหนาที่แออัดยัดเยียดในนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนความคิดจะแล่นวาบเข้ามาในหัวราวสะเก็ดไฟปะทุ
“หนังสือในตู้นั่นของน้าอรหมดเลยเหรอคะ”
หญิงสาวกล้อมแกล้มถามคล้ายหาเรื่องชวนคุยหากก็จดจ่อกับคำตอบอย่างชัดเจน สตรีร่างท้วมผละสายตาไปมองตู้หนังสือก่อนหันกลับมาตอบ
“ใช่จ้ะ ทำไมเหรอ”
“น้าอรมีหนังสือพวก…รวมภาพบ้านเก่าๆ บ้านโบราณ อะไรทำนองนี้ไหมคะ” เธอเข้าประเด็นทันที
“อืม…ไม่แน่ใจนะ เราหมายถึงบ้านแบบไหนจ๊ะ แบบวังเก่าๆ หรือเปล่า”
เพียงเท่านั้นคิ้วเรียวก็ยกขึ้นเป็นเชิงสงสัย คุณอิงอรจึงขยายความต่ออย่างรวดเร็ว
“เรามีเจ้านายหลายพระองค์…คำนี้เข้าใจไหม น้าหมายถึงเชื้อพระวงศ์…ถ้าบ้านโบราณที่ไลลาสนใจ ให้หรูหราโอ่โถงหน่อยส่วนมากก็คงเป็นวังเก่า ไม่ก็บ้านผู้ลากมากดีสมัยก่อนกระมัง เอาเข้าจริงๆ ก็มีอยู่ทั่วกรุงเทพฯ เลยล่ะ ทั้งที่ทายาทยังรักษาไว้อย่างดี บ้างก็กลายเป็นสถานที่ราชการ บ้างก็ผุพัง โดนรื้อออกแล้วสร้างตึกทับก็มี”
ได้ยินเช่นนั้นพลันความรู้สึกท้อแท้ก็เข้ามาเกาะเกี่ยวในใจหญิงสาวทันที…หากมีมากมายดังที่คุณอิงอรว่าจริง เธอจะต้องตามหาไปอีกนานเท่าใดกันล่ะนี่ ดีไม่ดีบ้านหลังนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็สุดจะคาดเดา ที่เธอเลือกมาเมืองไทยก็เพียงเพราะภาษาพูดของชายหนุ่มซึ่งไม่แม้แต่จะเคยเห็นหน้าในฝันเท่านั้น ไม่มีข้อมูลแน่ชัดสักอย่าง…
หญิงสาวรีบสลัดความกังวลนั้นออกอย่างรวดเร็ว
จะอย่างไรเธอก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แน่ หากมีบ้านอยู่ร้อยหลังเธอก็จะหาทั้งร้อยหลัง หากมีพันหลังเธอก็จะตามจนครบพัน แม้ท้ายที่สุดทุกอย่างจะไม่มีอยู่จริงหรือเป็นเพียงการปรุงแต่งของสมอง เธอก็ยังต้องรู้คำตอบให้ได้ ไลลาปล่อยให้ฝันประหลาดนี้รบกวนจิตใจมานานมากแล้ว ไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้อีก
“แล้ว…บ้านเก่าๆ ที่มีเรือนกระจกอยู่ด้วยล่ะคะ มีเยอะไหม”
คุณอิงอรครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะถอนใจอย่างจนปัญญา
“น้าไม่รู้เลยจ้ะ ไม่เคยศึกษาเรื่องพวกนี้เสียด้วยสิ” เมื่อเห็นหญิงสาวหน้าหงอยลงจึงรีบกล่าวต่อทันที “แต่เดี๋ยวน้าจะลองหาหนังสือที่พอเป็นประโยชน์ให้ดูนะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
“ขอบคุณค่ะน้าอร” ไลลากล่าวพร้อมแววตาที่รู้สึกเช่นนั้นอย่างจริงใจ
คุณอิงอรยิ้มให้ลูกครึ่งสาวตรงหน้าด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเก็บความสงสัยไว้ข้างใน
…ไม่น่าแปลกอย่างไรไหว แทนที่หล่อนจะถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อทั้งหลาย เหตุใดจึงอยากรู้เรื่องบ้านโบราณเสียอย่างนั้น…
หลังจากรับประทานอาหารและช่วยคุณอิงอรล้างจานเสร็จเรียบร้อยไลลาก็ขอตัวขึ้นห้องทันที ลมเย็นๆ พัดมาต้องผิวกายจนรู้สึกยะเยือกตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าห้องทั้งๆ ที่ยังไม่ดึกมากนัก ความมืดข้างนอกผสมกับความเงียบสงัดชวนให้รู้สึกวังเวงอย่างน่าประหลาด หญิงสาวหันไปมองหน้าต่างก็เห็นว่าตนเปิดทิ้งไว้จึงตั้งใจจะเดินไปปิด ก่อนจะต้องชะงักนิ่ง เพ่งมองผ้าม่านที่พลิดพลิ้วอย่างเอื่อยเฉื่อยแทน
ในแสงสลัวที่กระทบเข้ากับม่านสีขาวตรงหน้าพลันปรากฏเงาวูบวาบคล้ายผู้หญิงหันข้างอยู่นอกหน้าต่างนั้นเอง…ไลลาให้นึกสงสัย…ใครจะมายืนตรงนั้นได้ในเมื่อห้องของเธอไม่มีระเบียง
แล้วสองขาก็ก้าวเข้าไปตามใจคิด…หากเงานั้นก็ราวกับจะรู้ตัว จึงค่อยๆ หันหน้ามาหาเธอช้าๆ ยิ่งไลลาเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเท่าใด เงาของหญิงสาวก็คล้ายจะหันมามากเท่านั้น…ขณะที่ข้างหูราวมีเสียงกระซิบเร่งเร้า ผลักเธอให้ก้าวเดินเร็วขึ้น ความอยากรู้อันไร้ที่มาพลุ่งพล่านอยู่ข้างใน
มือเรียวเอื้อมไปจับปลายผ้าไว้แน่น ก่อนจะกระตุกดึงอย่างแรง
พรึบ!!
…ว่างเปล่า เบื้องหน้าไกลออกไปมีเพียงริ้วเงาเป็นระลอกคลื่นบางๆ บนผิวน้ำเท่านั้น บริเวณหน้าต่างไร้ซึ่งวี่แววของการเคลื่อนไหวหรือวัตถุใดๆ สักนิดนอกจากสายลมเย็นเยียบที่ค่อยๆ สงบนิ่งลง…แล้วเงาวูบวาบที่เธอเห็นเมื่อครู่นั้นเล่า…หรือจะตาฝาด
“ฟู่…”
พลันขนตรงท้ายทอยก็ตั้งชันเมื่อมีลมประหลาดเป่าหวีดหวิวอยู่ข้างหู พร้อมกับเสียงหัวเราะยะเยือกของหญิงสาวที่แผ่วเบาแตะปลายโสต ราวกับว่าถ้าเธอหันหน้าไปยามนี้ก็จะได้สบกับดวงตาที่กำลังจับจ้องห่างเพียงแค่คืบ!
ไลลาหันหน้ากลับอย่างรวดเร็วพลางกวาดมองรอบห้องพร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัว หากก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น ห้องศูนย์หนึ่งยังคงเรียบร้อย ไม่มีร่องรอยของอาคันตุกะอื่นใดนอกจากเธอ หญิงสาวเป่าลมหายใจอย่างโล่งอกพลางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่แตกพลั่กบนหน้าผาก
“ไลลา! ไลลา! มีสติหน่อย คิดมากไปเองหรอกน่า”
เธอกระซิบเรียกความมั่นใจ…แต่ไหนแต่ไรเธอเป็นคนกลัวผีที่ไหนกัน ตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองใจเสาะสักที เวลาเข้าบ้านผีสิงในสวนสนุกก็เป็นเธอทุกครั้งไม่ใช่หรือที่เป็นฝ่ายหัวเราะเยาะซิลเวีย…นี่กลับหวั่นไหวไปกับคำพูดไม่กี่คำของน้าอรและเด็กบอยขนาดนี้เชียวหรือนี่…หญิงสาวนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ
ร่างระหงเดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อเรียกความสดชื่นทันที เหงื่อซึ่งเกาะชื้นบนตัวยังไม่น่ารำคาญเท่าหัวใจที่เต้นถี่จนชวนหงุดหงิด ไลลาอาบน้ำอุ่นจนทั้งห้องกลายเป็นไอขาวเพื่อให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายก่อนจะหมุนก๊อกเปลี่ยนเป็นน้ำเย็นด้วยต้องการจะคืนความตื่นตัวกลับมา เธอมักทำเช่นนี้ทุกครั้งที่รู้สึกมึนตึงหรือไม่สบายใจ ซึ่งก็ช่วยได้มากโข สายน้ำที่ไหลระเรื่อยผ่านร่างราวจะชำระความขุ่นข้องได้อย่างยอดเยี่ยม พลันความกระปรี้กระเปร่าก็ค่อยๆ ฟื้นคืนขึ้นทีละน้อย กระทั่งดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวเหลือบไปมองกระจกที่กำลังขึ้นฝ้าจากไอน้ำจนดูขมุกขมัว…คิ้วเรียวก็ต้องขมวดมุ่นอีกครั้ง
กระจกที่ควรมีหยดน้ำเล็กๆ เกาะพราวกลับมีลวดลายคล้ายข้อความถูกขีดเขียนไว้…เป็นลายมือขยุกขยิกไม่ชัดเจน หากก็พอจะมองเห็นรูปร่างจนสามารถอ่านได้ว่า…‘ออกไป!!’
ไลลาขนลุกซู่ขึ้นทันที เมื่อภาพจากกระจกหลังข้อความที่ปรากฏเพียงเลือนรางนั้นกลับสะท้อนเงาของหญิงสาวเงาหนึ่งยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเธอนั่นเอง!
“ใคร!!”
ร่างระหงเค้นเสียงพร้อมหันหลังกลับไปดูอย่างรวดเร็ว แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่าเช่นเดิม เรียกโทสะให้คุกรุ่นขึ้นข้างใน เธอรีบแต่งตัวแล้วพาตัวเองออกมายืนกลางห้องพลางกวาดสายตาไปรอบๆ ทันที
“ใครแกล้งฉันอยู่ ไม่สนุกเลยนะ”
แม้น้ำเสียงจะฟังดูไม่พอใจและจริงจังมากขนาดไหน หากห้องศูนย์หนึ่งก็ยังคงสงบเงียบไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้นนอกจากผ้าม่านที่ยังต้องลมอยู่ไหวๆ…ความจริงแล้วออกจะเงียบเกินไปเสียด้วยซ้ำ หญิงสาวจึงทำได้เพียงยืนฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสบถพืดใหญ่ ไถตัวเองลงบนเตียงหนานุ่ม ทำท่าชักดิ้นชักงอเป็นการระบายอารมณ์สักพัก เมื่อเห็นว่าไร้ประโยชน์อันใดที่จะต้องมาเอาความและไม่อยากไปรบกวนคุณอิงอรเพราะตนเองก็พูดเอาไว้เสียดิบดีว่าอยู่ห้องนี้ได้สบายมาก สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้านอนเสียให้จบๆ ไป…
“ออกไป!!”
เสียงกึกก้องในหูทำให้หญิงสาวที่กำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นต้องขมวดคิ้วมุ่น
“กูบอกให้ออกไป!!”
ความเกรี้ยวกราดจากน้ำเสียงทำให้ไลลาต้องลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจทันที นี่สู้อุตส่าห์ข่มตาหลับจนเริ่มจะเคลิ้มได้ไม่นาน พลันความรู้สึกหนักอึ้งก็ทาบทับจนไม่อาจขยับเขยื้อนตัวได้ คล้ายร่างกายถูกถ่วงไว้ด้วยเหล็กหนักหลายร้อยตัน เธอพยายามกลอกตามองรอบตัวก่อนจะต้องพรั่นพรึงแทบกรีดเสียงเมื่อตู้เสื้อผ้าตรงหางตาพลันปรากฏขายาวซีดห้อยลงมาจากด้านบน!
ใคร!…
หญิงสาวพยายามเค้นคำพูดออกมา หากก็สัมผัสได้เพียงน้ำลายเหนียวๆ เท่านั้น ไม่มีถ้อยคำใดสามารถเล็ดลอดออกจากริมฝีปากได้เลย
ไลลาตวัดสายตาไปมองตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง เมื่อขาที่ห้อยอยู่นั้นเกิดกระตุกอย่างแรง ก่อนก้อนเนื้อสีซีดจะร่วงเผละลงใส่พื้นไม้มันปลาบเบื้องล่าง เผยให้เห็นร่างผ่ายผอมจนหนังหุ้มกระดูกของหญิงสาวร่างหนึ่ง ผิวของหล่อนขาวซีดราวกระดาษเปล่า ผมยาวสีดำลีบลงกับศีรษะขณะที่ตัวของหล่อนกำลังสั่นกระตุกคล้ายพยายามตะเกียกตะกายเข้ามาที่เตียง
ดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวหลับแน่น รีบท่องบทสวดอย่างตะกุกตะกักขณะบริภาษตัวเองอย่างเจ็บใจไปด้วย ทำไมหนอเธอถึงได้อิดออดนักเวลาคุณมาริสาชวนสวดมนต์หรือเข้าวัด…โง่เง่านัก ยายไลลา โง่เง่ากว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว…
จู่ๆ เตียงข้างตัวก็ยวบลงอย่างฉับพลัน ก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรค่อยๆ คลานขึ้นมาทาบทับบนลำตัวจนอึดอัดในอกคล้ายคนกำลังจมน้ำ บทสวดที่แต่เดิมก็จำไม่ค่อยได้เท่าไหร่จึงเหลวไม่เป็นท่า
“สวดต่อไปสิ คิดว่ากูจะไปก็ลองดู…”
น้ำเสียงเย็นเยียบเย้ยเยาะอยู่ข้างหูจนขนลุกชัน ไลลาเผลอลืมตาด้วยความตกใจ…ก่อนจะสำเหนียกขึ้นได้ว่าตัวเองพลาดเสียแล้ว…
หญิงสาวคนนั้นกำลังนอนทับพลางจ้องหน้าเธอนิ่ง หากดวงตาที่ห่างเพียงไม่กี่คืบกลับกลวงโบ๋ มีเพียงความมืดสนิทอยู่ภายในรูลึกทั้งสองข้าง ริมฝีปากดำเมี่ยมคล้ายกำลังแสยะยิ้ม แย้มกว้างยาวจรดหู ไม่มีฟันสักซี่ พลันกลิ่นสาบสางก็ลอยมาเตะจมูกพร้อมๆ กับเสียงหวีดหวิวของสายลมเย็นยะเยือก
ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อเสียงกรีดร้องที่พรั่งพรูออกมาถูกกลืนหายไปหมด ในหัวทั้งมึนชาและยุ่งเหยิงขณะที่ใจกลับเต้นรัวเร็วจนปวดแปลบราวจะทะลุออกมานอกอก สองตาเริ่มพร่าเลือนคล้ายสติกำลังปลิดปลิวออกไป
…ใครก็ได้
ไลลากระซิบในใจ
…ใครก็ได้…ช่วยด้วย
ก่อนที่ความรู้สึกสุดท้ายจะหลุดลอย พลันกลิ่นหอมเย็นคล้ายดอกไม้อ่อนๆ ก็ลอยเข้ามาเฉียดอยู่ปลายจมูก…เป็นกลิ่นที่คล้ายจะรู้จัก หากก็ไม่อาจบอกได้ว่าเคยคุ้นมาจากที่ใด ชั่วขณะนั้นเอง ความเต็มตื้นท่วมท้นก็อาบเข้ามาในใจราวจะปัดเป่าความพรั่นพรึงให้หายไปเสียสิ้น ร่างกายกลับรู้สึกเบาหวิวดุจจะลอยได้อย่างไรอย่างนั้น…สองหูได้ยินเพียงเสียงบทสนทนาแผ่วเบาเหมือนดังมาจากดินแดนอันแสนไกล
“อย่าแตะต้องเธอ”
เสียงทุ้มกังวานมีแววน่าเกรงขามอย่างยิ่ง คล้ายจะเคยได้ยิน…แต่ก็ไม่รู้จัก
“ท่าน?!!”
คราวนี้กลับเป็นเสียงแหบแห้งของหญิงสาวที่อยู่บนตัวเธอ ไลลาจำได้ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อหล่อนกรีดเสียงเกรี้ยวกราด
“ที่นี่ถิ่นฉัน! ท่านไม่เกี่ยว!!”
“ฉันจะไม่ยุ่งกับหล่อน ถ้าหล่อนไม่มาวุ่นวายกับคนของฉัน”
หญิงสาวแค่นเสียงเย้ยหยัน หากก็มีความกลัวเจืออยู่
“ท่านเองก็ติดอยู่ในห่วงไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่หรอก…เป็นห่วงที่แน่นหนายิ่งกว่าฉันเสียอีก และยิ่งซ้ำร้ายกว่าเพราะท่านเป็นคนสร้างมันขึ้นมาเอง…”
“…ไป ตอนที่ฉันยังเวทนาหล่อนอยู่ หากไม่แล้ว…แม้แต่ดวงจิตฉันก็จะไม่ละเว้น”
เสียงเอ่ยเย็นเยียบนำมาซึ่งความเงียบเนิ่นนานราวเวลาหยุดเคลื่อนไหว ก่อนเงาขมุกขมัวที่ทาบทับบนตัวเธอจะพลันสลายไป เหลือไว้เพียงอากาศโปร่งโล่งและความง่วงที่ประดังเข้ามาฉับพลัน
ไลลาพยายามฝืนเบิกตาเพื่อจ้องมองในความมืด แต่กลับเห็นเพียงเงาเลือนรางของใครคนหนึ่งในชุดสีขาวค่อยๆ นั่งลงตรงหัวเตียง ก่อนสัมผัสแผ่วเบาจะไล้บนเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนนุ่มของเธอ…ราวมีคนกำลังลูบหัวเพื่อปลอบขวัญ
“นอนเสียคนดี…ฉันอยู่นี่แล้ว”
ถ้อยคำอ่อนโยนคล้ายกระซิบอยู่ข้างหู ปัดเป่าความกังวลในใจจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาวละมุนตา โอบอุ้มเธออย่างเชื่องช้า จนกระทั่งหญิงสาวค่อยๆ จมลึกลงสู่นิทราฝันอันผาสุก…