LOVE
ทดลองอ่านนิยาย ในม่านกาล บทที่ 4
บทที่ 4
เริ่มแรก ไลลาคิดว่าตนฝันไป
…เป็นฝันประหลาดโลดโผน คล้ายตัวเองกำลังแหวกว่ายอยู่กลางเวิ้งดาราจักร ดำดิ่งและพุ่งทะยานเหมือนลูกโป่งที่ถูกปล่อยลม ครู่หนึ่งก็ไปอยู่ในทางช้างเผือกพริบพราวระยับตา ประเดี๋ยวรอบตัวก็มืดสนิทราวหลุดเข้าไปในหลุมดำ…เป็นเช่นนั้นกระทั่งหญิงสาวรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา
ไลลาลืมตาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะมุ่นคิ้วเมื่อไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ควรมีสักนิด
…หรือเธอจะตายไปแล้ว
แสงสว่างขาวโพลนค่อยๆ รางเลือนก่อนภาพเบื้องหน้าจะก่อตัวขึ้นทีละน้อย…แล้วเธอก็มองเห็นชัดเจน
…ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหลับใหล ห่างจากเธอเพียงไม่กี่คืบ ใบหน้าราวหินอ่อนแกะสลักมองดูคล้ายภาพฝันมากกว่าจะสัมผัสได้จริง ชวนให้นึกถึงเทพสักองค์ในปกรณัมกรีก…
อา…เธอตายไปแล้วจริงๆ หรือนี่…จึงได้มาอยู่ในสรวงสวรรค์ร่วมกับเทวดาที่งดงามเช่นนี้
หญิงสาวรำพึงพลางเหลือบมองเรือนผมสีปีกกาที่ดูยุ่งนิดๆ ของเขา แล้วมือก็เอื้อมขึ้นไปก่อนใจคิด แตะเส้นไหมดำสนิทนั้นด้วยหวังจะสัมผัสอย่างแผ่วเบาที่สุด ทว่าคิ้วเรียวกลับต้องขมวดมุ่น เมื่อมือของเธอกลับทะลุผ่านบุรุษตรงหน้าไปราวคว้าอากาศธาตุ
ไลลาอ้าปากเหวอ แปะป่ายมือไปมาหากก็ไม่สามารถแตะต้องเขาได้เลย ร่างระหงขยับเข้าไปใกล้อีกนิดพลางจับจ้องชายหนุ่มด้วยความรู้สึกสงสัย…หรือนี่จะเป็นคนที่เธอบังเอิญเสกสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจการตายโดยไร้ความรักของตัวเอง ว่ากันว่าเมื่อเป็นนางฟ้าแล้วจะเสกอะไรขึ้นมาก็ได้มิใช่หรือ…
ความคิดในหัวลื่นไหลไร้สาระได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อคิ้วเข้มของคนตรงหน้าขมวดมุ่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาสีนิลขึ้นมาสบกับเธอพอดิบพอดี
…เนิ่นนานราวเวลาไม่เคยเคลื่อนไหวและอากาศรอบกายไม่จำเป็นอีกต่อไป ไลลารู้สึกคล้ายตนเองถูกประกายดำสนิทนั้นดูดกลืนเข้าไปจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เหมือนมีเถาวัลย์เกี่ยวกระหวัดทั้งร่างให้ดำดิ่งลงสู่วังน้ำวน…วิงเวียนและมึนงงอย่างที่สุด
“สะ…สวัสดี”
หญิงสาวกลั้นใจเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเพราะความประหม่า ก่อนจะนึกสงสัยขึ้นมาว่าจะเขินอายอะไร ยิ่งเห็นเขามีสีหน้าตกตะลึงไม่แพ้กันด้วยแล้ว จึงกลืนน้ำลายลงคอพร้อมส่งยิ้มไปให้ใหม่
“เอ้อ…เราควรแนะนำตัวกันก่อนไหม”
พรึบ!!
ร่างสูงกระโดดลุกออกจากเตียงทันที เขาคว้ากระดิ่งบนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะสั่นอย่างแรงขณะที่ไลลาทำได้เพียงยันตัวขึ้นนั่งและกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความงงงวย เริ่มจะเข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่แดนสวรรค์อย่างที่คิดในตอนแรก
ยามนี้เธออยู่บนเตียงสี่เสาขนาดใหญ่ ภายในห้องนอนซึ่งตกแต่งไว้อย่างหรูหราหากก็ดูมีระเบียบ เครื่องเรือนทุกอย่างใหม่เอี่ยมเป็นมันปลาบ ส่วนมากคล้ายนำเข้ามาจากยุโรป แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดม่านโปร่งสีขาวข้างหน้าต่างบ่งบอกว่าเป็นเวลาเช้าตรู่ ขณะที่กลิ่นหอมเย็นจากดอกไม้ถูกสายลมพัดหอบขึ้นมากรุ่นติดอยู่ในอากาศ ไลลาอาจรื่นรมย์กว่านี้หากเสียงกรุ๋งกริ๋งจากกระดิ่งจะไม่ฟังเร่งเร้า กระทั่งเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้น
“เข้ามา”
ชายหนุ่มเอ่ยโดยไม่เหลือบมาทางเธอสักนิด
ไลลาหันไปมองชายอีกคนที่คลานเข่าเข้ามาก่อนจะนั่งพับเพียบลงกับพื้นบ่งบอกสถานะ หน้าตาดูเหลอหลา ด้วยพยายามเก็บซ่อนความแปลกใจเอาไว้
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ร่างสูงเอ่ยพลางชี้มาที่เธอ น้ำเสียงมีริ้วแววความไม่พอใจชัดเจน
ชายที่นั่งอยู่หันมาทางเตียงนอนอย่างงุนงง แต่กลับกวาดสายตาผ่านเธอไปราวหญิงสาวเป็นเพียงอากาศธาตุอันไร้ตัวตน ก่อนจะกล่าวกับผู้เป็นนายด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
“ฝ่าพระบาททรงหมายถึงใครหรือกระหม่อม”
ไลลาแทบอ้าปากเหวอ ดีดตัวเองไปจนสุดเตียงทั้งยังยืดหลังตรงจนแทบโงนเงน ถลึงตาใส่ผู้พูดเต็มที่ หากคนถูกมองกลับไม่มีทีท่าจะสนใจเธอสักนิด
…ไม่ใช่แค่หญิงสาวเท่านั้นที่ตกใจ ร่างสูงหันมามองเธอก่อนเอ่ยกับคนรับใช้อีกครั้ง
“นี่อย่างไร คนที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียงนี้”
คราวนี้ชายที่นั่งอยู่เริ่มยืดคอสำรวจเตียงอย่างถ้วนถี่ หากก็ยังกวาดสายตาผ่านเธอไปหลายต่อหลายครั้งจนไลลาทนไม่ไหว กระโดดลงไปยืนจ้องเขานิ่ง ก่อนความรู้สึกประหวั่นในใจจะไหลอาบเข้ามา เมื่อไม่มีแม้แต่ร่างเงาของเธอในแววตานั้นสักนิด!
“ไม่…ไม่มีใครเลยกระหม่อม”
ร่างระหงนิ่งค้างราวถูกสาป ทั้งสับสนและมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไลลาค่อยๆ หันไปหาชายหนุ่มซึ่งกำลังจับจ้องเธออย่างพรึงเพริดไม่ต่างกัน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ระบายลมหายใจออกเชื่องช้า แล้วกล่าวกับคนรับใช้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเช่นเดิม
“ออกไปก่อน”
ทั้งห้องตกสู่ภวังค์แห่งความเงียบอีกครั้งกระทั่งบุรุษที่สามพ้นออกไป หญิงสาวรู้สึกในหัวมีเสียงอื้ออึงจากคำตอบเมื่อครู่ ตอกย้ำซ้ำๆ ว่าเธอไม่มีตัวตน ดวงตาสีน้ำตาลแกมเขียวกวาดมองโดยรอบคล้ายจะหาที่พึ่งพิง ก่อนจะสบเข้ากับเจ้าของประกายตามืดสนิทนั้น พลันความรู้สึกบางอย่างก็เต็มตื้นขึ้นมาในใจ ผลักดันให้สองขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาเขาช้าๆ
“หล่อนเป็นใคร”
น้ำเสียงน่าเกรงขามหยุดเธอเอาไว้แค่ครึ่งทาง ริมฝีปากอิ่มเม้มชั่งใจแล้วจึงเอ่ย
“ฉันชื่อไลลา” ว่าพลางหันรีหันขวาง “ที่นี่ที่ไหนคะ”
ท่าทางของเขาคล้ายไม่พอใจที่ถูกซักถาม จึงตอบอย่างขอไปที
“วังสวนกระจก”
คำตอบนิ่งๆ นั้นมีผลชะงัดต่อผู้ฟัง ไลลากวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้ง ก่อนถลาไปเกาะหน้าต่างพลางชะโงกหน้าสำรวจทั่วบริเวณเบื้องล่าง นั่นอย่างไร! เรือนกระจกสีขาวที่เธอพะวงถึงมาโดยตลอด เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นบ้านที่เธอตามหาไม่ผิดแน่ บ้านที่มี…มี…
ความคิดของหญิงสาวชะงักกึก เมื่อภาพความฝันในหัวคล้ายจางหายไปเสียสิ้น ราวกำแพงสีที่ถูกชะล้างจนเหลือเพียงผนังเปลือยเปล่า …เป็นไปได้อย่างไร ความฝันที่ตามติดเธอมาชั่วชีวิตจู่ๆ ก็พลันว่างเปล่าเช่นนี้?!!
“คุณ…?” ไลลาหันกลับไปสบตาร่างสูงอีกครั้ง ความมึนงงยังประดังเข้ามาไม่รู้จักจบ
“หม่อมเจ้าดิเรกภาสกร ภานุวรรธน์…เจ้าของวัง” ชายหนุ่มตอบเธอด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งอย่างคนที่คงสติไว้ได้ดีกว่า
“ฉัน…โอ๊ย เดี๋ยวนะ ฉัน…งงไปหมดแล้ว”
…เธอถูกรถชนไม่ใช่หรือ แล้วจะมาโผล่ในวังสวนกระจกในสภาพสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ได้อย่างไร ไหนจะเรื่องที่คนรับใช้คนนั้นมองไม่เห็นเธออีก…หรือจะเป็นฝันอีกแล้ว ฝันประหลาดซ้ำซ้อนของคนใกล้ตายหรืออย่างไร!!
“คุณ…หม่อมเจ้าคะ ฉันขอยืมมือถือได้ไหม…ไม่สิ ขอยืมแล็ปท็อปเลยแล้วกัน ขอฉันสไกป์ไปหาที่บ้านสักห้านาทีก็พอ ฉันต้องติดต่อพ่อกับแม่ก่อน…”
หญิงสาวกล่าวรัวเร็ว สองขาก้าวเข้าใกล้ร่างสูงอย่างร้อนรน หมายจะเอื้อมไปเขย่าแขนของเขาเพื่อขอร้อง หากก็ต้องประหวั่นยิ่งขึ้นเมื่อมือที่ยื่นออกไปกลับทะลุผ่านชายหนุ่มราวคว้าอากาศ ไม่อาจจับต้องได้อย่างใจคิด!
ไลลาค่อยๆ ช้อนนัยน์ตาขึ้นมองคนตรงหน้า ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริก เสียงที่เอ่ยจึงทั้งเพี้ยนและแผ่วหวิว
“ฉัน…ตายแล้ว?!”
…เริ่มแรกเธอคิดว่าชายหนุ่มเป็นเพียงภาพฝันหรือนิมิตที่ถูกสรรค์สร้างขึ้นมา จึงไม่แปลกใจมากนักที่ไม่สามารถแตะต้องเขาได้ ทว่าเมื่อหลายอย่างเริ่มชัดเจนจึงได้รู้ เธอต่างหากที่เป็นเพียงอากาศธาตุ…เธอต่างหากคือความว่างเปล่าไร้ตัวตน!!
“นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน” เสียงทุ้มพึมพำกับตัวเองทั้งยังดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงเอ่ยถามอีกครั้งด้วยท่าทีห่างเหิน “แล้วเธอมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ฉันโดนรถชน”
ไลลาพยายามรวบรวมสติเพื่อเรียบเรียงความทรงจำ เสียงกระดูกหักยังกึกก้องอยู่ในหู รสแปร่งปร่าของลิ่มเลือดคล้ายอบอวลขึ้นมาในปากอีกครั้ง
“ฉันโดนรถชนหน้าวังสวนกระจกนี้เอง”
หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรจ้องเธอนิ่ง คล้ายชั่งใจชั่วครู่ก่อนเอ่ย
“วังนี้เพิ่งสร้างเสร็จ ไม่เคยมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นหน้าวังสักครั้ง”
“เป็นไปได้ยังไงคะ จากที่ฉันเห็นข้างนอกก็เหมือนสร้างขึ้นมาตั้งนานจนต้องทาสีกำแพงใหม่ด้วยซ้ำ แถมต้นไม้ยัง…” ไลลาชะงักลง ดวงตาสีประหลาดเบนออกไปนอกหน้าต่าง…นอกจากเรือนกระจกสีขาวและต้นไม้สูงเพียงสามสี่ต้นแล้ว โดยรอบก็เป็นสนามหญ้าโล่งกว้าง ปะปนเพียงสุมทุมพุ่มไม้กระจายไปทั่ว เลยไปถึงกำแพงรั้วที่ล้อมรอบอาณาเขตไว้ ทุกอย่างยังดูใหม่…ไม่มีวี่แววของต้นไม้ใหญ่หนาทึบสักนิด
“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” เสียงที่เอ่ยแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ “…ปีนี้ปีอะไรแล้ว”
แม้จะมีท่าทีประหลาดใจ แต่ร่างสูงก็ยอมตอบแต่โดยดี
“สองพันสี่ร้อยเก้าสิบห้า”
“…บ้าแล้ว” พึมพำกับตัวเองก่อนหันไปมองผู้พูดอีกครั้ง “เรื่องแบบนี้มันบ้าเกินไปแล้ว”
…ทุกสิ่งดูผิดเพี้ยน เป็นเรื่องตลกร้ายที่จะให้เชื่ออย่างไรก็เชื่อไม่ลง เธอจับจ้องใบหน้าราวรูปสลักนั้นอยู่เนิ่นนาน รู้สึกเคว้งคว้างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนเดินมาสุดปลายอุโมงค์เพียงเพื่อเจอกับทางตันเท่านั้น
ไลลาเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันร่างสูงก็เดินไปเปิดประตูห้องก่อนจะหันมาหาเธออีกครั้ง
“ฉันเห็นด้วยว่าเรื่องนี้มันบ้า เพราะฉะนั้นเธอควรออกจากห้องนี้ไปเสียก่อน แล้วฉันจะพาเธอไปส่งบ้านเอง”
“ฉันกลับไม่ได้”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วทันที ท่าทางของเขาไม่ได้เอ็นดูเธอมาตั้งแต่แรกแล้ว กอปรกับความหงุดหงิดที่ต้องตื่นเช้ามาเจอเรื่องรำคาญใจ ยามนี้จึงมีบรรยากาศชวนให้อึดอัดอยู่มากโข
“ทำไม” เสียงทุ้มราบเรียบ
“ฉันไม่รู้ว่าต้องกลับยังไง”
“ไร้สาระ” หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรอดค่อนแคะไม่ได้ “คนเราจะไม่รู้ทางกลับบ้านของตัวเองได้อย่างไร”
“อ้าว ก็ฉันไม่รู้จริงๆ นี่คะ” ไลลาเผลอเถียง ซ้ำยังยู่ปากใส่ร่างสูงด้วยความเคยชิน อย่าว่าแต่หาทางกลับบ้าน…ให้หาคำตอบว่าเธอย้อนเวลามาถึงหกสิบกว่าปีเช่นนี้ได้อย่างไรหญิงสาวก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ เธอมีบ้านที่ไหนกัน ขนาดพ่อกับแม่ของเธอเองเวลานี้ยังไม่ทันได้เกิดเลย
“หรือเธอมีแผนอะไรกันแน่…มีคนส่งเธอมาระรานวังของฉันอย่างนั้นหรือ” เขาเริ่มมองเธอด้วยสายตาจับผิด อาจเพราะท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้รู้ตัวว่าอยู่ในวังสวนกระจกของหญิงสาวเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลก แม้จะดูไร้จริต แต่ก็ไม่อาจวางใจ
“ซิลลี่!”
ไลลาร้องเสียงหลง ยกแขนขึ้นกอดอกขัดใจไม่แพ้กัน แต่กระนั้นก็ยังต้องคลายท่าทีลง ยิ้มแหะๆ ใส่คนตรงหน้าอย่างสอพลอ
“ใครจะมีแผนแบบนั้นกันล่ะคะ…ฉันไม่มีที่ให้ไปจริงๆ ท่าน…หม่อมเจ้า ค่อยๆ นั่งนะคะ ใจเย็นๆ ก่อนแล้วฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง” อย่างไรเสียเขาก็มองเห็นเธอและเป็นเจ้าของวัง หากขออยู่ด้วยสุดท้ายอาจหาทางแก้ไขอะไรได้บ้าง
“ฉันดูเหมือนเพื่อนเล่นของเธอหรือ”
คำถามราบเรียบทำเอาคนที่เริ่มมีแผนการอย่างที่ถูกสงสัยตั้งแต่แรกหน้าม้านทันที กระนั้นไลลาก็ยังยิ้มต่อได้ด้วยนิสัยไม่คิดเล็กคิดน้อย
“แน่นอนว่าไม่เหมือน แต่เรื่องที่ฉันจะเล่าอาจเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าเรื่องเล่าที่เพื่อนของท่านเคยเล่ารวมกันร้อยเรื่องก็ได้”
“ฉันไม่ฟัง และยังยืนยันคำเดิมว่าเธอต้องออกไป”
หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรผลักบานประตูให้เปิดอ้ายิ่งขึ้นพลางส่งสายตากดดันมาให้
“ในเมื่อฉันเสนอว่าจะไปส่งถึงบ้านแต่เธอปฏิเสธ เช่นนั้นก็กลับเองเถิด อย่าก่อความวุ่นวายอีกเลย ทั้งวังนี้และตัวฉันไม่มีประโยชน์อะไรให้ต้องมาเกี่ยวข้องด้วยหรอก”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ…”
ไลลาเริ่มตั้งท่าจะค้าน หากร่างสูงก็ยังเอ่ยเย็นเยียบเป็นการตัดบท
“ออกไป”
ริมฝีปากอิ่มเผยออ้าคล้ายจะเถียงต่ออีก แต่สุดท้ายก็ต้องค้างเอาไว้อย่างนั้นเมื่อดวงตาสองคู่สบประสานกัน ดวงหนึ่งมีแววดื้อรั้นและวิงวอน…อีกดวงกลับแฝงอำนาจดูห่างเหิน ไลลาทำปากยื่น จ้องมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอ้อนวอน แต่หม่อมเจ้าดิเรกภาสกรก็ยังเฉยชาราวร่างสูงสง่านั้นถูกกางกั้นเอาไว้ด้วยม่านน้ำแข็ง ร่างระหงจึงต้องเดินคอตกออกไปหงอยๆ
…นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่คิดอย่างไรก็หาเหตุผลมาประกอบไม่ออก เกินคาดฝันยิ่งกว่านิยายแวมไพร์หรือมนุษย์หมาป่าที่เคยอ่านมาเสียอีก ให้ตายเถอะ ย้อนเวลา? นี่เธอย้อนเวลามาได้จริงๆ หรือ และไม่เพียงเท่านั้น ตัวเธอเองยังกลายเป็นวิญญาณไร้ตัวตนเสียด้วย…
ไลลาพลันสะท้านใจขึ้นมา ในเมื่อเป็นวิญญาณเช่นนี้แล้วร่างของเธอเล่า หรือจะแหลกเหลวไปกับอุบัติเหตุเสียแล้ว หากยังมีร่างอยู่ดวงจิตก็ต้องอยู่กับตัวเองสิ ไม่ควรโลดโผนขนาดย้อนเวลามาแบบนี้ ถ้าเช่นนั้นจะกลับโลกเดิมต้องทำเช่นไร แล้วถ้าเธอกลับไป…จะเกิดอะไรขึ้น…จะได้เห็นอะไรในอนาคตข้างหน้านั่น งานศพของตัวเองอย่างนั้นหรือ
หญิงสาวสบถพืดใหญ่ หากจะต้องกลับไปเห็นความตายตัวเองให้หดหู่ใจ เช่นนั้นก็ขอท่องเที่ยวอยู่ในอดีตเสียยังดีกว่า เธอไม่อยากเห็นภาพพ่อกับแม่ที่ต้องมาเผาศพลูกสาวคนเดียว เพียงแค่คิดก็เจ็บปวดเสียแล้ว รอยยิ้มและความสุขต่างหากที่เธอปรารถนาจะจดจำ ไม่ใช่เสียงร้องไห้!
เมื่อตัดสินใจจะลองอยู่ในช่วงเวลาพุทธศักราชสองพันสี่ร้อยเก้าสิบห้า ไลลาก็นึกฉุนขึ้นมาตงิดๆ กับเจ้าของวังสวนกระจกคนนั้น ทั้งๆ ที่เขาควรจะเป็นคนที่เธอสามารถพึ่งพิงได้มากที่สุดแท้ๆ เพราะมองเห็นเธอ แต่นี่กลับขับไล่ไสส่งกันอย่างเย็นชา ไม่มีความเมตตาสักนิด …ยายไลลาหน้าโง่ เผลอไปคิดว่าเขาเป็นเทวดาได้อย่างไร นั่นมันซอมบี้ไร้ความรู้สึกชัดๆ เชอะ ถ้าให้ลองนับอายุกันจริงๆ ช่วงปีที่เธอมีชีวิตอยู่เขาก็เป็นตาเฒ่าอายุเกือบร้อยแล้วด้วยซ้ำ…ตอนเธอโดนรถชนก็คงเข็นวีลแชร์ทำหน้าบึ้งอยู่ในวังนั่นแหละ!
เมื่อเห็นว่าตนเดินออกมาถึงหน้าวังแล้ว หญิงสาวก็หันกลับไปทำท่าควงหมัดใส่อากาศทันที
“ตาแก่หงำเหงือก ใจจืดใจดำ!!”
ไลลาตะโกนร้องออกไปโดยไม่คาดหวังสักนิดว่าหม่อมเจ้าดิเรกภาสกรจะมาได้ยิน เพียงได้ระบายความขุ่นข้องออกมาก็รู้สึกโล่งใจ ก้าวเดินจากไป ไม่หันหลังกลับไปมองอีก
…โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าหลังม่านบนหน้าต่างชั้นสองของวัง คนที่เธอกล่าวหาว่าใจจืดใจดำจะยังยืนมองตามร่างระหงนั้นไปจนลับสายตา…