อิงแอบตะวัน
ทดลองอ่านนิยาย อิงแอบตะวัน บทนำ – บทที่ 1
บทนำ
"นี่...อย่าบอกนะดีดี้ ว่าเธอหลงรักแซคเข้าแล้ว!"
คุณพริ้งหรือ 'เพชรพริ้ง' มองผู้ชายที่ยืนควงสาวสวยทรงเซียะราวกับหุ่นโชว์เสื้อสองนางซ้ายขวา...อยู่ตรงมุมหนึ่งในห้องจัดเลี้ยงแห่งนั้น สลับกับหันมาถลึงตาใส่ฉันพร้อมตั้งคำถามอย่างเอาเรื่อง...
"เปล่าค่ะ..." ฉันตอบเสียงเบา มองคนถามตาปริบๆ 'ดีดี้' คือชื่อเล่น ส่วน 'จิรวดี' คือชื่อจริงของฉันเอง
"อย่าเชียวนะเธอ ห้ามลืมเด็ดขาดว่าเขาเคยดูถูกเธอไว้ยังไง เขาว่าไงบ้างนะซี!" คุณพริ้งหันไปถามซี หรือ 'ศรีอาภา'
"ผมไม่กล้าเซจนล้มใส่คุณหรอก กลัวหัวแตก นมก็ไม่มี... แซคเขาว่าเงี้ยยย" ซีให้คำตอบแบบใส่อารมณ์อย่างชัดถ้อยชัดคำ "แล้วตอนที่ดีดี้โดนแซงคิวแล้วไปแขวะผู้หญิงที่แซงคิวว่า...ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็แปลว่าโง่ แซคนี่รีบสวนทันทีเลยว่า...คนสวยเวลาเขาทำตัวงี่เง่าบ้างบางทีมันก็น่ารักน่าเอ็นดูดีออก อย่าไปอิจฉาเขาเลย... ด้วยล่ะค่ะคุณพริ้ง"
"ฮึ่ยยย ฟังแล้วขึ้นแทน ยิ่งมองหน้าเขาฉันยิ่งอยากเอาหอกคลิปโตไนต์ไปเสียบปอดซ้ายทะลุปอดขวา เพราะหน้าเขาเหมือนซูเปอร์แมน... อย่าถามว่าภาคไหน เพราะทุกเวอร์ชั่นมันก็โครงหน้าเดียวกันหมด!"
"ใจเย็นค่ะคุณพริ้ง..." 'ณชา' รีบปรามขุ่นแม่ของหล่อน "หนูว่า...พี่ดีดี้ไม่ได้คิดอะไรกับแซคหรอก เพราะพี่ดีดี้รู้เรื่องชวนสยองของแซคดีทุกอย่าง แล้วดูจากสายตาละห้อยเมื่อกี้นี้...มันก็เป็นแค่สายตาติ่งทั่วไป อย่าลืมว่าพี่ดีดี้เคยไปถือป้ายไฟเชียร์แซคอยู่หน้าเวทีเดอะสเตจแอ็คเทอร์รอบชิงด้วยนะคะ หนูว่า...น่าจะแค่ติ่งแหละ"
"แค่ติ่งเดอะสเตจแค่นั้นจริงๆ นะดีดี้!" คุณพริ้งหันมาคาดคั้น
"เอ่อ...ค่ะ... ดี้ก็คิดว่าน่าจะแค่นั้น..."
ฉันว่า...น้ำเสียงตัวเองนี่มันฟังดูไม่ค่อยมั่นใจเอาซะเลย ทำไมเป็นแบบนี้นะ...
บทที่ 1 มรดกก้อนโตพร้อมผู้ฯ หล่อล่ำ 1 อัตรา
"จะออกไปไหนกันหรือจ๊ะสาวๆ"
"ป้ามัท... สวัสดีค่า"
'สาวๆ' ที่ว่าอันประกอบด้วยตัวฉัน ซี และแป้ง หรือ 'พรประภา' หันไปยกมือไหว้พลางขานรับคำทักทายของหญิงชราวัยเจ็ดสิบเศษๆ อย่างร่าเริงพร้อมเพรียงกัน พวกเราอยู่ในล็อบบี้ของ 'D-RISE CONDOMINIUM' ซึ่งเป็นที่พักอาศัยของฉันเอง 'ป้ามัท' หรือ 'คุณยายมัทรี' นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกตัวหนึ่งตามลำพัง
ป้ามัทยังมีท่าทีกระฉับกระเฉงและแลดูสุขภาพดีอย่างเหลือเชื่อ แต่ฉันกับเพื่อนๆ ยังจดจำได้ดีว่าตอนเจอแกครั้งแรกเมื่อสามสี่ปีก่อน ป้ามัทไม่ใช่คนที่ดูมีความสุขมากนัก แกดูเครียดและหม่นหมองอย่างหนักแตกต่างจากตอนนี้ลิบลับ เนื่องจากมีปัญหาครอบครัวในระดับร้ายแรงอย่างเรื้อรังมายาวนานเกือบสามสิบปี จึงทำให้กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายและมีแต่ความตึงเครียดครอบงำตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้แกจะดูดีขึ้นจากเดิมมาก แต่พลังลบก็ยังพอจะมีหลงเหลือให้คนรอบข้างรู้สึกได้บ้าง...
"เรากำลังจะไปงานเลี้ยงรุ่นกันค่ะ" ฉันตอบ มองหญิงสูงวัยด้วยรอยยิ้มหวานละไม ฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลยในการที่ต้องพยายามเผื่อแผ่ความรักความอบอุ่นให้แก่ป้ามัท หลังจากที่ป้าเคยพูดออกมาว่า...การอยู่ใกล้ฉันทำให้แกรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ฉันก็มีความสุขมากที่ได้ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อคนแก่ผู้มีชีวิตอย่างเดียวดายคนหนึ่ง และรู้สึกดีเสมอเมื่อสัมผัสได้ว่าป้ามัทรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆ ของฉัน ซึ่งเพื่อเห็นแก่ความดูสาวเกินอายุของป้า ฉันกับเพื่อนๆ จึงขออนุญาตเรียกแกว่าป้าแทนยาย จุดนี้แกดูแฮปปี้มากเลยทีเดียว
"แล้ววันนี้คุณท็อปไม่ไปส่งพวกหนูหรือจ๊ะ" ป้ามัทถามอย่างสงสัย
"หนูขอไว้เองล่ะค่ะ มันอึดอัดทุกทีเวลาสามียายซีมาตามเทกแคร์อย่างใกล้ชิด ยิ่งตอนเราไปงานติ่ง ทั้งคอนเสิร์ต ทั้งแฟนมีต..." แป้งพูดพลางถอนใจเฮือกอย่างไม่คิดจะเก็บอาการเหนื่อยหน่ายสามีเพื่อนเอาไว้แค่ในใจ "ดูคอนฯ จบระหว่างทางกลับบ้านจะหวีดลูกแรงๆ ก็เกรงใจคุณท็อปที่มารับ ถ้าผัวเพื่อนไม่ใช่เจ้านายหนูก็ว่าไปอย่าง นี่เกร็งกันจนหวีดไม่ออก" ลูกที่ว่านั้นหมายถึงศิลปินเกาหลีที่เธอชื่นชอบ บางครั้งพวกเราก็ชอบอุปโลกน์ตัวเองเป็นคูมแม่ของศิลปินเพื่ออรรถรสในการติ่ง
"แต่พวกแกจะเลิกคบฉันเพราะคุณท็อปไม่ได้ สัญญาแล้วนะ" ซีรีบดักคอไว้ก่อน
"งั้นทำไมหนูไม่บอกสามีไปตรงๆ ล่ะว่าไม่ต้องมาคอยรับส่ง เพื่อนอึดอัด"
คนที่ได้รับคำแนะนำถึงกับยิ้มเจื่อน ออกอาการอึกอักเบาๆ
"ขืนบอกไปสามีนางก็จะน้อยใจเอาน่ะสิคะ เดี๋ยวก็จะหาว่าเมียรำคาญ เมียไม่รัก เมียสนใจแต่เพื่อน สนใจแต่สามีมโนมากกว่าสามีตัวจริง แค่คุณท็อปเขายอมตามใจปล่อยซีมาติ่งกับเพื่อนได้นี่ก็ถือว่าเป็นบุญของนางมากแล้ว พวกหนูเลยต้องยอมทนเพื่อเห็นแก่ความสุขและชีวิตคู่ของเพื่อน" ฉันช่วยให้ความกระจ่างแทนศรีฯ "อีกหน่อยซีก็ไม่มีเวลามาสนุกกับเราแล้วล่ะค่ะ เพราะตอนนี้นางท้องแล้ว พอมีลูกคงต้องลาวงการ"
“แค่ชั่วคราวล่ะย่ะ พอลูกโตฉันก็จะพาลูกไปติ่งด้วย” ศรีฯ รีบบอก
ส่วนป้ามัทพอได้ยินเรื่องที่ซีท้องก็เลยอุทานออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ ดวงตาที่เย็นชาเป็นนิจของแกส่องประกายระยับ ฉันเห็นแล้วรู้สึกใจฟูขึ้นมาทันที ความผูกพันตลอดสามปีของเราคงทำให้ฉันเห็นป้ามัทเป็นเหมือนญาติสนิทคนหนึ่ง... ป้ามัทรีบแสดงความยินดีกับว่าที่คุณแม่อย่างจริงใจ...
"แล้วนี่สามีซีไม่ห่วงแย่เลยหรือจ๊ะ ไม่ยิ่งตามประกบหนักกว่าเก่า?"
"โชคดีที่คุณท็อปเขาพอจะมีเหตุผลค่ะ รู้ว่าคนท้องไม่ใช่คนป่วยหนัก ไม่ต้องคอยประคบประหงม ก็เลยไม่ค่อยห้ามอะไรเมียมาก เพราะแค่ที่ห้ามๆ อยู่นี่มันก็เยอะแล้วค่ะ" ฉันตอบพลางเหลือบมองศรีฯ ยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่าแม้คุณท็อปจะยอมปล่อยภรรยาที่กำลังท้องกำลังไส้ให้ใช้ชีวิตได้อย่างตามสบาย แต่ลึกๆ แล้วเขาก็คงเป็นห่วงอย่างหนักอยู่นั่นเอง เพียงแต่พยายามยั้งใจตัวเองไม่ให้ก้าวก่ายเกินเหตุจนซีรำคาญ...ซึ่งเอาจริงๆ ศรีฯ นางทั้งรักทั้งหลงสามียังกับอะไรดี คงไม่มีทางรำคาญอยู่แล้ว แล้วปกติคุณท็อปเองก็งานยุ่งมาก การที่ภรรยามีวิธีหาความสุขง่ายๆ ในยามที่เขาไม่มีเวลาให้จึงน่าจะทำให้คุณท็อปเบาใจไปได้บ้าง
"พวกหนูไปก่อนนะคะ แท็กซี่มาแล้ว" ซีบอกเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาในล็อบบี้แล้วส่งสัญญาณบอกพวกเธอเกี่ยวกับรถแท็กซี่ที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบ
"ไปเถอะจ้ะ นี่ป้าก็รอแซคมารับอยู่ อีกสิบนาทีน่าจะมาถึง บอกแล้วว่าไม่ต้องมาก็ไม่ยอมฟัง ตื๊อจะมาให้ได้ พักนี้ชักจะน่ารำคาญขึ้นทุกวันเลยพ่อคนนี้เนี่ย!" ป้ามัทพูดถึงหลานชายคนเดียวด้วยสีหน้าเอือมระอาแกมขุ่นเคืองชัดเจน ซึ่งฉันก็ไม่แปลกใจเลย เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าป้ามัทไม่ได้รักใคร่ไยดีหลานชายคนเดียวอย่างแซคมากนัก แต่ทว่าตอนนี้ฉันพอจะจับสังเกตได้ว่าความชิงชังที่เคยมีอย่างท่วมท้นในใจของป้ามัทเริ่มจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด พูดง่ายๆ คือดูเหมือนจะค่อยๆ ใจอ่อนกับหลานรักมากขึ้นทุกที...
แต่อย่างไรก็ตาม ฉันมักจะอดตื่นเต้นไม่ได้ทุกทีที่ได้ยินป้ามัทเอ่ยถึงเขา สาเหตุก็เพราะฉันเป็นติ่งตัวยงของแซคคารี โลแกน!
"อุ๊ยยย... นี่แซคจะมาหรือคะ"
"ดีดี้ หยุดเดี๋ยวนี้ เลิกทำท่าระริกระรี้เลยนะ!" ซีเบรกเสียงแหลมปรี๊ด "ไปกันได้แล้ว ได้ยินชื่อผู้ชายแล้วหูผึ่งตาโตแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวเถอะ!"
ฉันทำหน้าเหลอหลาพลางหัวเราะเก้อๆ ขยับแว่นตาเล็กน้อย รู้สึกขัดเขินกับการออกนอกหน้าของตัวเองนิดๆ เหมือนกัน แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา ก็ตอนนี้ฉันยังปลื้มแซคอยู่ อีกทั้งเมื่อไม่นานมานี้ฉันเคยคลั่งไคล้เขาในระดับโคม่าอยู่หลายเดือนเลยล่ะ จนกระทั่งเมื่อประมาณห้าเดือนก่อนหน้านี้ก็มีสาเหตุบางอย่างมาทำให้อาการที่หนักหน่วงค่อยๆ ทุเลาเบาบางลงไปเรื่อยๆ
'แซคคารี โลแกน' หรือ 'แซค เดอะสเตจแอ็คเทอร์ ซีซั่น 1' เป็นชายหนุ่มหล่อล่ำลูกครึ่งไทยอเมริกันที่ฉันปักใจใหลหลงมาตั้งแต่รอบคัดเลือกของเดอะสเตจแอ็คเทอร์ ซีซั่น 1 รายการประกวดเรียลลิตี้คัดเลือกนักแสดงชายของค่ายวีรากรที่จบลงไปแล้วเมื่อราวห้าเดือนก่อน
แต่ครั้งนั้นแซคได้สร้างความเสียหายให้แก่รายการและต้นสังกัดอย่างวีรากรค่อนข้างสาหัส ด้วยการทิ้งเวทีการประกวดและการประกาศผลในรอบสุดท้ายไปอย่างไม่ไยดี ทั้งที่เขาเป็นหนึ่งในสี่ของผู้เข้ารอบชิงแท้ๆ ภายหลังได้มีข่าวลือถึงขนาดที่ว่าจริงๆ แล้วแซคเป็นผู้ที่จะได้รับชัยชนะในรายการนี้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาทิ้งการประกวดไปต่างประเทศก่อนถึงวันประกาศผลบนเวทีรอบสุดท้ายแค่วันเดียว ซึ่งวันประกาศผลจะมีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ด้วย จึงทำให้ทางรายการต้องเปลี่ยนตัวผู้ชนะเป็นคนอื่นแทนอย่างกะทันหัน สร้างความโกลาหลให้กับทุกฝ่ายเป็นอย่างมาก กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้ 'บุรัสกร' หรือ 'คุณโบว์' ผู้บริหารแห่งวีรากรกรุ๊ปซึ่งนั่งแท่นเป็นผู้จัดรายการเดอะสเตจต้องกุมขมับด้วยความเครียด
แซคฉีกสัญญาของวีรากรอย่างไร้เยื่อใยและเรียกได้ว่าไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง โดยยอมจ่ายค่าปรับฐานละเมิดสัญญาเป็นเงินก้อนโตอย่างไม่อิดออดและไม่ต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น จนทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์และโดนประณามอย่างหนัก
ทว่าทั้งที่เห็นชัดๆ ว่าเขามีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก แต่ฉันกลับยังชื่นชอบเขาในฐานะแฟนคลับเดอะสเตจไม่ยอมเลิกรามาจนถึงทุกวันนี้ แม้อาการคลั่งไคล้จะบรรเทาลงไปจากช่วงแรกมากแล้ว...แต่ความประทับใจก็ยังคงหลงเหลืออยู่ไม่น้อย จึงเป็นเหตุให้เพื่อนๆ ในกลุ่มพากันขัดหูขวางตาเป็นอย่างยิ่ง ถ้าแซคเป็นแค่ไอดอลทั่วๆ ไปเพื่อนคงไม่ว่าอะไร แต่นี่เขาเป็นคนที่อยู่ในแวดวงสังคมของบรรดาสามีเพื่อนๆ ฉันด้วย ทั้งยังเป็นผู้ชายที่เพื่อนในกลุ่มของฉันมีอคติอย่างแรงกล้า
แม้ว่าภายหลังจะมีข้อมูลออกมาชี้แจงการกระทำของแซคว่า สาเหตุที่ทำให้ต้องทิ้งเวทีการประกวดไปอย่างกะทันหันก็เนื่องมาจากผู้เป็นแม่ที่อยู่ต่างประเทศในขณะนั้นประสบอุบัติเหตุรถชนบาดเจ็บสาหัส ทว่าถึงกระนั้นคุณโบว์ก็ประกาศชัดเจนไปแล้วว่าจะไม่ให้อภัยและไม่ให้โอกาสเขาอีกแล้ว ตั้งแต่ไปต่างประเทศคราวนั้นแซคก็ได้ห่างหายจากวงการบันเทิงไปจนกระทั่งตอนนี้...
"อย่าถือสาเลยน่า ฉันเป็นติ่งแซคนี่นา มันก็ต้องมีตื่นเต้นกันบ้างสิ" ฉันออกตัวเสียงอ่อย รู้ดีว่าซีเกลียดแซคมากแค่ไหน เนื่องจากซีเป็นภรรยาคุณท็อป ซึ่งคุณท็อปเป็นพี่ชายคุณโบว์ ทั้งยังเป็นผู้บริหารระดับสูงของวีรากรกรุ๊ป ทำให้ซีเป็นเดือดเป็นแค้นแทนสามีและคุณโบว์อย่างยิ่งเมื่อคราวที่แซคสร้างความเสียหายแก่เดอะสเตจ...
"ป้าเองก็เตือนหลายครั้งแล้วนะดีดี้ ว่าผู้ชายพรรค์นั้นไม่คู่ควรกับการที่คนดีๆ อย่างหนูจะไปชอบ อย่าไปรู้สึกดีด้วยไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม" ป้ามัทตักเตือนฉันด้วยน้ำเสียงดุๆ หน้าตาเคร่งเครียดจริงจัง "แซคเป็นพวกรักง่ายหน่ายเร็วไม่ต่างอะไรจากพ่อแม่เขาหรอก ที่สำคัญเขาเหมือนคุณตาเขามาก...เจ้าชู้ไม่เลือกหน้า ดูจากข่าวฉาวของเขาที่ถูกขุดออกมาในช่วงที่ประกวดเดอะสเตจสิ มีแต่เรื่องชู้สาวที่น่ารังเกียจทั้งนั้น ถ้าหนูไม่อยากต้องทุกข์ใจอย่างที่ป้าเคยเป็นเพราะคุณตาของแซค ก็ไม่ควรไปยุ่งกับผู้ชายเจ้าชู้อย่างเจ้านั่นเด็ดขาด"
"โธ่... ป้ามัทคะ ดี้แค่ติ่งเขาจากเดอะสเตจ ไม่ได้จริงจังขั้นนั้น ก่อนเขาประกวดเดอะสเตจดี้ก็ไม่เคยสนใจเขาเลย เพราะดี้เองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเขาดีที่สุด เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทเจ้านายดี้"
ที่ฉันรู้เรื่องเสื่อมเสียของเขาแทบทุกอย่างโดยละเอียดมาตั้งแต่ก่อนลงประกวดเดอะสเตจ ก็เพราะฉันเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของคุณ 'นริศ' หรือคุณ 'ไอซ์' และคุณไอซ์เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทกับแซคมาก ถึงแซคจะอายุน้อยกว่าคุณไอซ์หลายปีแต่ก็สนิทสนมเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน ทั้งพวกเขายังลงทุนในธุรกิจหลายประเภทร่วมกัน การทำงานให้คุณไอซ์อาจจะทำให้ฉันรับรู้มาตลอดว่าแซคเป็นหนึ่งในนักลงทุนรุ่นใหม่ไฟแรงที่สามารถวิเคราะห์การตลาดได้แบบไม่เคยผิดพลาด และเลือกลงทุนได้อย่างถูกต้องเสมอ แต่การที่เขาสนิทกับคุณไอซ์มันก็ทำให้ฉันได้มีโอกาสรู้เห็นพฤติกรรมอันเหลวแหลกของแซคอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน
"ดี้มาโดนใจคาแร็กเตอร์ก็ตอนที่เขาประกวดเดอะสเตจ มันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์ของติ่งคนหนึ่ง เชื่อดี้สิคะ" ฉันพยายามอธิบายเสียงเข้มกว่าปกติ
"แต่การเห็นผู้ชายแบบนั้นเป็นไอดอล มันไม่น่ารักเลยนะจ๊ะคนดี" ป้ามัทพูดเสียงหวานแต่ทำตาดุใส่ โดยรวมเลยถือเป็นการตำหนิแรงๆ "ยังไงป้าก็อยากให้หนูเลิกชื่นชมเขาไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม"
"แหม แต่ถึงจะคิดว่าเขาน่ารักมาก และดี้ก็ชอบจนมั่นใจว่ารับข้อเสียเขาได้ทุกอย่าง แต่ก็คงไม่เอาเขามาเป็นแบบอย่างไปทุกเรื่องหรอกค่ะ ป้ามัทอย่าห่วงเลย" ฉันออกตัวพลางหัวเราะ
"ยังไงป้าจะพยายามเชื่อหนู แต่ตอนนี้พวกหนูไปกันได้แล้วล่ะลูก ไว้เราค่อยมาคุยกันนะ" ป้ามัทบอกพลางโบกมือไล่เมื่อเห็นว่าเราปล่อยให้แท็กซี่รอนานแล้ว
พอเข้านั่งประจำที่ในแท็กซี่ ฉันก็ถูกเพื่อนสัมภาษณ์เรื่องแซคทันที...
"นี่แซคกลับจากเมืองนอกแล้วเหรอดีดี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่" แป้งถามด้วยความสนอกสนใจ "คุณโบว์รู้รึยังเนี่ย" แป้งเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของคุณโบว์ พอถามฉันเสร็จก็หันไปทางซี "คุณท็อปล่ะ...รู้ไหม"
"ไม่รู้เหมือนกัน ไม่ได้คุยเรื่องนี้กับเขาเลย" ซีส่ายหน้าตอบอย่างไม่สนใจนัก อารมณ์เกลียดแซคของซีคงเบาบางไปพอสมควรแล้วถ้าเทียบกับตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ
"เขาน่าจะกลับมาได้สักสองอาทิตย์ ตั้งแต่ทิ้งเวทีเดอะสเตจเขาก็ไปๆ มาๆ ตลอดนะ เพราะต้องกลับมาดูงานที่ทิ้งไว้ให้ผู้ช่วยทางนี้จัดการแทนด้วย แต่รอบนี้ดูเหมือนแซคจะกลับมาอยู่ยาวเลย คุณโบว์กับคุณท็อปทราบรึเปล่าอันนี้ฉันไม่รู้ แต่คุณพริ้งกับคุณไอซ์น่ะรู้แล้ว" ฉันให้ความกระจ่างแก่เพื่อน "เพราะสองสามวันก่อนนี้แซคเพิ่งไปหาคุณไอซ์ที่ออฟฟิศ ฉันนี่ตื่นเต้นแทบตายตอนเห็นหน้าเขา ไม่ได้เจอมาตั้งสี่ห้าเดือน กลับมารอบนี้แซคก็ยังหล่อล่ำและเซ็กซี่หัวจดเท้าไม่เปลี่ยนสักนิด แต่ว่านะ...ท่าทางเขาดูร้ายกาจกว่าเมื่อก่อนบอกไม่ถูก หน้าตาดูเหวี่ยงๆ ขี้หงุดหงิด และเย็นชาพิกล ทั้งที่ตอนที่ประกวดเดอะสเตจเขาอุตส่าห์เปลี่ยนไปมากแล้วแท้ๆ ทั้งยิ้มเก่ง พูดมากขึ้น ขี้เล่น กวนประสาทมากกว่าเดิม ท่าทางรวมๆ ก็ดูเป็นมิตร"
ฉันเล่าพลางนึกถึงวันที่เขามาขอพบคุณไอซ์ที่ออฟฟิศ
"แต่ก็ไม่รู้นะ...วันนั้นที่มาออฟฟิศคุณไอซ์เขาอาจจะดูบึ้งๆ ตึงๆ ผิดปกติเพราะว่าอยู่ต่อหน้าฉันก็ได้ ก็เขาเกลียดฉันยังกับอะไรดี..."
ช่วงแรกนั้นแซคเปิดตัวในรายการเดอะสเตจด้วยบุคลิกที่ค่อนข้างนิ่งและเงียบขรึมจนดูขี้เก๊กกว่าคนอื่นเขา ท่าทางเหมือนกับคนที่โดนบังคับหรือถูกเคี่ยวเข็ญให้ลงประกวดโดยไม่เต็มใจ (ซึ่งมันก็มีส่วนจริงอยู่บ้างนิดหน่อย) ทั้งยังชอบใช้สายตาแบบแบดบอยเท่ๆ คูลๆ มองใครต่อใครจนทำให้ผู้หญิงอ่อนระทวยกันถ้วนหน้า แต่แม้จะพูดน้อยหากพอพูดออกมาแต่ละทีก็มีฝีปากค่อนข้างจัดจ้านและกวนประสาทได้น่ารักมาก เขายิ้มไม่เก่งเท่าไหร่ถ้าเทียบกับผู้เข้าประกวดรายอื่น แต่พอหัวเราะหรือยิ้มทีก็สะกดทุกสายตาและเหมือนจะทำให้โลกหยุดหมุนไปเลย เขาอาจจะค่อนข้างนิ่ง...แต่กลับมีเซ็กซ์แอพพีลรุนแรงจนรู้สึกได้ชัด ความสามารถในการแสดงของเขาไม่ได้ดีที่สุดถ้าเทียบกับคู่แข่งในรายการทั้งหมด แต่เมื่อมันรวมเข้ากับความเป็นตัวตนในแบบของเขาแล้วแซคก็กลายเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์น่าค้นหาอย่างประหลาด เขากลายเป็นสีสันสำคัญอย่างหนึ่งของรายการเดอะสเตจที่ดึงดูดผู้ชมได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความดื้อดึงและเอาแต่ใจอย่างหน้าตาเฉยในบางครั้งของเขา ที่เหมือนจะไม่แคร์กระแสต่อต้านจากผู้ชมเลยนั้น มันกลับกลายเป็นสิ่งที่น่ารักสำหรับผู้ชมจำนวนมากโดยเฉพาะในกลุ่มชะนีและเก้งกวาง ดังนั้นพฤติกรรมบางอย่างแทนที่จะถูกด่ายับ ดันกลายเป็นว่ามีแต่คนหมั่นไส้ในเชิงเอ็นดู และพร้อมจะสปอยล์จนเขายิ่งเสียนิสัยขึ้นไปอีก แล้วยิ่งการทำตัวยียวนด้วยท่าทีกวนๆ กับคำพูดคำจาจิกกัดเสียดสีอย่างหน้าตายของเขา ก็มักสร้างกระแสทางโซเชียลไปในเชิงตลกขบขันทุกครั้งไป ซึ่งฉันสังเกตเห็นว่าทุกคำที่เขาพูดออกมานั้นจริงๆ แล้วล้วนผ่านการกลั่นกรองอย่างดีและคำนึงถึงผลที่จะตามมาอย่างรอบคอบ...
สรุปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างของแซคในรายการเดอะสเตจ มันมีความลงตัวอย่างประหลาดและเป็นธรรมชาติเสียจนกลายเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ไม่อาจมองหาได้จากใครอื่นอีก ผู้ชมจึงตกหลุมรักและทำให้ฉันกลายเป็นแฟนคลับที่ต้องตามเชียร์เขาตลอดการแข่งขันอย่างเหนียวแน่น จนแทบจะลืมอดีตและตัวตนในแง่ลบอีกด้านหนึ่งของแซคที่ฉันเคยรู้จักมาก่อนไปเสียสนิท
คุณโบว์ช่วยสร้างสตอรี่ให้แซคในการเข้าประกวดเดอะสเตจครั้งนั้นว่า แซคกับ 'เอริก' เป็นเพื่อนสนิทที่ชอบหาเรื่องเอาชนะคะคานกันมาโดยตลอด เมื่อแซคถูกเอริกท้าให้ลงประกวดรายการนี้กับเขา แซคที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งยังเป็นทายาทนักธุรกิจใหญ่รายหนึ่ง จึงตัดสินใจรับคำท้าของเพื่อนอย่างไม่ลังเล แน่นอนว่ากรณีนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในตอนแรกว่าแซคก็แค่เด็กเส้นที่ถูกดึงมาร่วมรายการโดยไม่ได้จริงจังกับการประกวดเหมือนคนอื่นๆ แต่คุณโบว์ก็สามารถกอบกู้สถานการณ์ครั้งนั้นได้ง่ายๆ ด้วยการให้เอริกโพสต์ข้อความผ่านทางโซเชียลมีเดียว่า...
'อย่าด่วนสรุปใครจากเหตุผลเพียงข้อเดียวที่คุณได้ยินมา เพราะมันยังมีสิ่งที่คุณไม่เคยได้ยินอยู่อีกหลายข้อ'
ส่วนแซคกลับตอบโต้การถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในคราวนั้นด้วยความเงียบ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้อย่างง่ายดายไม่น่าเชื่อ เพราะคนส่วนใหญ่รู้สึกดีต่อปฏิกิริยาตอบสนองดังกล่าวของแซคและเอริก รวมถึงรายการเดอะสเตจด้วย ทำให้ทั้งหมดยิ่งได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็พังพินาศลงอย่างไม่เป็นท่าในวันที่แซคทิ้งเวทีการประกวดไปหาแม่ที่บาดเจ็บปางตายจากอุบัติเหตุร้ายแรง คนที่เกลียดและหมั่นไส้เขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว รวมถึงคนที่ไม่ได้รักเขาจริงมาตั้งแต่ต้น ต่างก็ได้ทีเชื่อมโยงเรื่องราวและโจมตีเพื่อขยี้เหตุการณ์ทั้งหมดให้เสียหายบานปลายอย่างเมามัน
"แต่ไม่รู้สิ....ฉันว่าตอนนี้แซคมีออร่าแบดบอยหนักกว่าเดิมอีกอ่ะ เข้มขึ้นนิดๆ เครียดลึกๆ เหวี่ยงหน่อยๆ เหมือนคนที่มีเรื่องอะไรอยู่ในใจ แต่สายตาดูคล้ายจะมีความอ่อนไหวบอกไม่ถูก ดูรวมๆ แล้วน่ารักมากเลย..."
"นี่! แกอย่าเวิ่นเว้อถึงผู้ชายแล้วเคลิ้มแบบนี้ได้ไหมดีดี้ ขอเนื้อๆ เน้นๆ ว่าเขาไปหาคุณนริศทำไม แล้วเขาพูดอะไรให้ฟังบ้าง เขาจะเอาไงต่อกับวงการบันเทิง เพิ่งเคลียร์เรื่องครอบครัวเขาที่เมืองนอกเสร็จแล้วเลยกลับมา... หรืออะไรยังไง" แป้งเบรกฉันแล้วถามต่อเป็นชุด
"เรื่องพวกนั้นเขาจะมาเล่าให้ฉันฟังได้ไงเล่า แล้ววันนั้นเขาก็ไม่ได้เจอคุณไอซ์กับคุณพริ้งด้วย แซคกลับไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย ตอนนั้นคุณไอซ์ให้ฉันไล่แซคกลับไปก่อนเพราะคุณพริ้งอยู่ที่ออฟฟิศด้วย"
เป็นที่รู้กันว่าคุณพริ้งไม่ชอบแซคเป็นการส่วนตัว จะว่าไปแล้วเธอเกลียดแซคเสียยิ่งกว่าที่คุณโบว์และซีเกลียดเขาด้วยซ้ำ คุณโบว์กับซีไม่พอใจเรื่องที่แซคสร้างความเสียหายให้กับเดอะสเตจ...สืบเนื่องไปถึงธุรกิจของวีรากร ในขณะที่คุณพริ้งรังเกียจแซคสุดๆ เพราะปีที่แล้วก่อนจะลงประกวดเดอะสเตจ แซคเคยถือวิสาสะพานางแบบสาวสองรายไปสนุกสุดเหวี่ยงกันบนเตียงที่บ้านเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต จนทำให้เธอสติแตกเพราะเข้าใจผิดคิดว่าคุณไอซ์ร่วมวงกับเขาด้วย
ฉันรู้เรื่องเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศอันโลดโผนดังกล่าวของแซคมานานแล้ว ครั้งแรกที่เห็นกับตาว่าเขามีเซ็กซ์กับผู้หญิงทีละสองคนพร้อมกัน คือเมื่อคราวที่ฉันตามคุณไอซ์ไปประชุมต่างจังหวัดเมื่อราวหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ แซคไปประชุมด้วยในฐานะตัวแทนบริษัทคู่ค้ากับธุรกิจประเภทหนึ่งของคุณไอซ์ ตอนนั้นฉันวิ่งวุ่นตามหาเจ้านายตัวเองอยู่ แต่ดันทะเล่อทะล่าเข้าวิลล่าผิดหลังไปเจอแซคกำลังเริงรักอย่างเร่าร้อนกับผู้หญิงสองคนในสระว่ายน้ำส่วนตัว เขาโกรธมากเมื่อฉันผลุนผลันเข้าไปโดยไม่ได้รับเชิญ แต่สีหน้าเขาตอนนั้นแทบไม่เปลี่ยนเลย...ฉันจำได้ติดตา แซคแค่สบถด่าแล้วไล่ฉันออกจากห้องยังกับหมูกับหมา โดยที่ไม่คิดจะยุติกิจกรรมทางเพศที่กำลังดำเนินอยู่เลยด้วยซ้ำ ผู้หญิงสองคนที่อยู่กับเขาก็เช่นกัน พวกเขาดูเหมือนจะไม่อายและแทบไม่รู้สึกอะไรเลย คนที่เสียมารยาทอย่างฉันจึงเป็นฝ่ายที่ต้องอับอายและช็อกจนตัวแข็งเป็นหินแทน
อาจเพราะตอนนั้นฉันยังไม่ได้เริ่มเป็นแฟนคลับแซค ฉันรู้จักเขาแค่ในฐานะเพื่อนในกลุ่มของเจ้านายตัวเองเท่านั้น จึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าแค่ตกตะลึงและคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่โคตรน่ากลัวจนชวนขนหัวลุก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นฉันคิดว่าเขาเป็นคนดีและแสนจะน่ารัก... แต่ถ้าจะบอกว่าฉันเป็นคนใจแคบและมีนิสัยชอบเหยียดชาวบ้าน...มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ เพราะตอนที่เห็นภาพการเริงรักอย่างนอกกรอบของแซคคราวนั้น ฉันรู้สึกผิดหวังในตัวเขาและขยะแขยงเขาสุดๆ เลยล่ะ!
"ไหนป้ามัทบอกว่าเกลียดลูกสาวกับหลานชายแบบไม่คิดจะเผาผีกันเลยในชาตินี้ แล้วทำไมอยู่ๆ วันนี้เขาถึงจะมารับป้ามัทไปข้างนอกได้" ซีถามอย่างอดสงสัยไม่ได้ "เขากลับมาญาติดีกันแล้วเหรอ"
"ก็ไม่เชิงหรอก ฉันยังเห็นป้ามัททำท่าตั้งแง่รังเกียจและด่าเขาให้ฉันฟังอยู่บ่อยๆ เหมือนเดิม แต่ก็คงตามประสาคนแก่ล่ะมั้ง ไม่ว่ายังไงสุดท้ายก็ตัดลูกตัดหลานไม่ขาด แต่ก็ยังไม่วายปากอย่างใจอย่าง สำหรับคนแก่...การอยู่คนเดียวมันเหงามากนะ ป้ามัทเป็นคนน่าสงสาร มีเงินเยอะแยะแต่กลับไม่เคยมีความสุขเลย ถึงสามีกับลูกสาวจะเคยทำร้ายจิตใจแกมากขนาดไหน แต่ตอนนี้แกก็คงอดใจอ่อนกับหลานชายคนเดียวไม่ได้ ว่ากันตามจริงแล้วตัวแซคเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไรต่อป้ามัท ป้ามัทคงใจแข็งกับแซคมาตลอดเพราะคดีฟ้องร้องที่ยืดเยื้อมานานมันเตือนใจให้แกเกลียดชังทุกคนที่เกี่ยวข้อง พอคดีจบ...ตอนนี้แกเลยเริ่มใจอ่อน ถึงจะยังปากแข็งขนาดนั้นก็เถอะ"
ป้ามัทเป็นแม่แท้ๆ ของ 'มิรันตี' หรือ 'มิแรนด้า' คุณแม่ของแซค มิรันตีหนีตามพ่อของแซคไปตั้งแต่เธออายุได้ยี่สิบปี ตอนนั้นมิรันตียังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นความรักความภูมิใจของพ่อกับแม่ที่เป็นถึงเศรษฐีใหญ่มีหน้ามีตาในสังคม และมิรันตีก็มีคู่หมั้นเป็นคนในระดับสังคมเดียวกันอยู่แล้วด้วย การที่อยู่ๆ เธอก็หนีตามชายชาวต่างชาติที่ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าไป จึงนับเป็นการทิ้งปัญหาและความอับอายขายหน้าไว้ให้พ่อแม่อย่างมหาศาล
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ชีวิตแต่งงานของป้ามัทกับ 'คุณสรรเสริญ' ผู้เป็นสามีก็ไม่เคยเป็นสุขอีกเลย พวกเขามีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา ครอบครัวเหมือนเกิดรอยร้าวที่ยากจะประสานจนปราศจากความสุขเรื่อยมา ระหว่างที่มีปัญหาจนทั้งสองคนตัดสินใจแยกกันอยู่นั้นคุณสรรเสริญได้ไปมีภรรยาน้อยคนหนึ่ง กว่าป้ามัทจะรู้เรื่องก็ตอนที่สามีของแกมีลูกกับบ้านเล็กแล้วถึงสองคน และเขาก็กลับมาเผชิญหน้าเพื่อขอหย่าพร้อมขอแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดครึ่งหนึ่ง แต่ป้ามัทไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว ทั้งไม่ยอมหย่าและไม่ยอมให้ทรัพย์สมบัติส่วนใดส่วนหนึ่งตกไปถึงมือภรรยาน้อยและลูกเด็ดขาด เพราะป้ามัทถือว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่มีต้นทุนมาจากครอบครัวทางฝั่งป้ามัทเอง อีกทั้งตั้งแต่แต่งงานกันมา ป้ามัทก็เป็นฝ่ายที่ทำงานหนักและมีส่วนทำให้ทรัพย์สินงอกเงยขึ้นมากกว่าในส่วนของคุณสรรเสริญ
ดังนั้นคุณสรรเสริญจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องหย่าจากเหตุที่ทั้งคู่ได้แยกกันอยู่มากว่าสามปี พร้อมกับฟ้องแบ่งสินสมรสคนละครึ่ง ซึ่งป้ามัทก็ได้ดำเนินการฟ้องกลับทั้งสามีและเมียน้อยเช่นกัน แต่ตัวป้ามัทเองก็ต้องตกเป็นจำเลยในคดีอย่างยืดเยื้อยาวนานกว่ายี่สิบปี จนกระทั่งคดีทั้งหมดที่ยื่นฟ้องกันได้มาสิ้นสุดที่คำพิพากษาในชั้นศาลฎีกาเมื่อหลายเดือนก่อน
แค่คิดฉันก็ปวดหัวแทนเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในคดีทั้งหมดนั้นอย่างบอกไม่ถูก เอกสารที่ใช้ยื่นประกอบการพิจารณาคงกองสูงใหญ่เป็นภูเขาเลากา อีกทั้งคดีเกี่ยวกับครอบครัวจะมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อนอย่างมาก ดังนั้นกว่าจะอ่าน กว่าจะตรวจสอบ และกว่าจะพิจารณาตัดสินคดีให้แล้วเสร็จเรียบร้อยทั้งหมดได้จึงต้องใช้เวลายาวนานกว่าคดีทั่วไป
เนื่องจากคุณสรรเสริญเสียชีวิตไปในระหว่างการฟ้องร้องเมื่อประมาณสิบปีก่อน ทายาทคุณสรรเสริญที่เกิดจากภรรยาใหม่จึงเข้ามาเป็นคู่ความแทนโจทก์ในการฟ้องในคดีแบ่งสินสมรส ป้ามัทเคยหลุดปากบอกฉันว่าลูกๆ ของคุณสรรเสริญหน้าตาเหมือนคุณสรรเสริญกับเมียน้อยมาก ฉันเชื่อว่าป้ามัทคงกดดันและเจ็บปวดกับเรื่องนี้อย่างแสนสาหัสมาตลอด
พอคดีทั้งหมดสิ้นสุดลงและป้ามัทเป็นฝ่ายชนะ ได้ทรัพย์สินส่วนใหญ่กลับคืนมา ฉันก็สังเกตเห็นว่าป้ามัทดูโล่งใจและมีความสุขมากขึ้น แต่ตามความคิดฉันแล้วทรัพย์สมบัติมากมายที่ได้มาครอบครองอย่างชอบธรรมก็คงไม่อาจทดแทนความรู้สึกดีๆ ที่สูญเสียไปทั้งหมดได้ และคงไม่อาจเยียวยาความรู้สึกแย่ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาของป้ามัทได้อย่างแท้จริง
ทว่าฉันก็พอจะเข้าใจความรู้สึกที่ไม่สามารถปล่อยวางของป้ามัทได้ ก็ใครมันจะไปทำใจยกทรัพย์สมบัติที่ตัวเองเป็นคนหามาได้ให้กับครอบครัวของเมียน้อยสามีได้ สู้ทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะด้วยการเก็บรักษาสมบัติทุกชิ้นเอาไว้ให้ได้แล้วค่อยยกให้องค์กรการกุศลในท้ายที่สุดเสียยังดีกว่า!
ฉันรู้จักกับป้ามัทตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่ดีไรซ์เมื่อประมาณสามปีก่อน หลังจากเจอกันหลายครั้งที่ห้องฟิตเนส ห้องสมุด และบริเวณสวนหย่อมของคอนโดฯ ฉันกับป้ามัทก็เริ่มคุยถูกคอและสนิทสนมกันขึ้นเรื่อยๆ แกบอกฉันว่าเลือกมาอยู่ที่นี่แทนบ้านหลังเดิมเพราะมีทำเลอยู่ใกล้โรงพยาบาลกับหมอประจำตัว เดินทางสะดวกด้วยรถประจำทาง รถไฟฟ้า และแท็กซี่... แต่ฉันรู้ดีว่าความจริงแล้วเป็นเพราะป้ามัททำใจกับบ้านหลังเดิมที่เต็มไปด้วยอดีตอันเจ็บปวดไม่ได้ต่างหาก อีกทั้งมันยังเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการฟ้องร้องด้วย ป้ามัทไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นมานานเกือบยี่สิบปีแล้ว แกทิ้งบ้านให้คนอื่นช่วยดูแล ส่วนตัวเองก็ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ตามความพอใจจนมาลงเอยที่ดีไรซ์
ป้ามัทเป็นคนที่มีความเป็นอยู่เรียบง่ายและสมถะจนฉันอดประหลาดใจไม่ได้เสมอ เพราะเท่าที่รู้คือป้ามัทรวยมากจริงๆ แกทยอยขายกิจการที่มีอยู่ไปจนหมด ตอนนี้จึงเหลือไว้แค่บ้านและที่ดิน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ยังก่อให้เกิดรายได้ แกมีรายได้จากการให้เช่าที่ดินและอาคารพาณิชย์หลายแห่ง ซึ่งก็นับว่าเป็นรายรับประจำจำนวนมหาศาลพอสมควร
ป้ามัทเป็นเศรษฐินีตัวคนเดียวที่ไร้ญาติขาดมิตรอย่างสิ้นเชิง คนที่ฉันเห็นว่าไปมาหาสู่แกอยู่ตลอดมีแค่ทนายความกับคนที่แกจ้างไว้เป็นเลขาฯ ส่วนตัวเท่านั้น ตลอดเวลาที่รู้จักกันฉันพบว่าป้ามัทใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยวและไม่ค่อยมีความสุขเอาเสียเลย กว่าแกจะยอมเปิดใจให้ฉันจริงๆ ฉันก็ใช้เวลาพอสมควรทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม...นับจากคดีการฟ้องร้องเรื่องมรดกสิ้นสุดลงเมื่อหลายเดือนก่อน ป้ามัทก็ดูสดใสขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด
ป้ามัทรู้เห็นโดยตลอดเกี่ยวกับการที่ฉันเป็นแฟนคลับที่เหนียวแน่นของแซค แต่แกไม่เคยหลุดปากอะไรออกมาให้รู้เลย จนกระทั่งวันที่แซคมาหาป้ามัทที่ดีไรซ์ก่อนถึงวันประกาศผลบนเวทีการประกวดรอบสุดท้ายเพียงวันเดียว ฉันตกตะลึงเมื่อเห็นแซคออกมาจากห้องป้ามัทตอนที่ฉันขึ้นไปหาแก จำได้ว่าตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองฝันไป แต่หลังจากนั้นป้ามัทก็ยอมเปิดเผยความจริงแก่ฉันว่าแซคคือหลานชายแท้ๆ ของแก เขามาพบเพื่ออ้อนวอนให้แกไปอเมริกาด้วยกันเนื่องจากมิรันตีประสบอุบัติเหตุร้ายแรงและอาจถึงแก่ชีวิต แต่ป้ามัทปฏิเสธอย่างหนักแน่น แซคจึงต้องเดินทางไปดูอาการแม่เพียงลำพังในที่สุด...
"แต่ในเมื่อป้ามัททำท่ารังเกียจ แล้วทำไมตอนนี้แซคถึงมาวุ่นวายกับป้ามัทได้" ซีตั้งคำถามอีกครั้ง
"ยังไงเขาเป็นยายหลานกันอยู่ดีนะ ใครจะไปตัดขาดกันได้จริงๆ แล้วอยู่กับป้ามัทแซคน่าจะขี้อ้อนเอามากๆ ด้วย บางทีฟังป้ามัทพูดถึงเขาแล้วยังสงสัยว่ามันใช่ผู้ชายกวนตีนหน้าเหวี่ยงที่ฉันตามติ่งอยู่ตั้งนานนั่นรึเปล่า"
"ทำเป็นลืม... แกเองก็โดนฤทธิ์ออดอ้อนของเขาในเดอะสเตจจนไปไหนไม่รอดมาจนถึงทุกวันนี้นะดีดี้!" แป้งเตือนอย่างหมั่นไส้
"ถึงจะเคยเห็นเขาอ้อนสาวๆ เป็นลูกแมวในรายการเดอะสเตจมาบ้าง แต่มันก็คนละฟีลกับที่ป้ามัทเล่านี่นา"
"อ้อนแฟนคลับกับอ้อนคุณยายมันจะเหมือนกันได้ยังไงล่ะยะ แต่ว่า...หรือที่เขามาออดอ้อนป้ามัท จะเป็นเพราะเขารู้ว่าป้ามัทมีความคิดที่จะยกมรดกเป็นพันล้านนั่นให้แกอ่ะดีดี้!" แป้งอุทานเสียงหลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน "เขาระแวงก็เลยต้องรีบมาหาทางกันท่าเอาไว้!"
"แกจะบ้าเหรอ เรื่องนั้นป้ามัทแกพูดเล่น ฉันไม่ได้เป็นอะไรด้วยซะหน่อย ป้ามัทจะมายกให้เพื่อ!?"
กรณีนี้เป็นเรื่องโจ๊กระหว่างฉันกับเพื่อนๆ มาได้สักพักแล้ว เพราะหลังจากป้ามัทบอกฉันว่าแซคเป็นหลานแท้ๆ เวลาที่แซคติดต่อมาวอแว แกก็มักจะหลุดปากกับฉันเป็นเชิงบ่นแกมเยาะเย้ยลับหลังหลานชายเสมอว่า ถ้าคิดจะมาตีสนิทเพื่อหวังมรดกของแกก็ฝันไปเถอะ เพราะแกจะทำเรื่องรับฉันเป็นลูกบุญธรรม แล้วทำพินัยกรรมยกมรดกให้ฉันแต่เพียงผู้เดียวหลังจากแกล่วงลับไป ซึ่งถ้าแซคอยากมีส่วนร่วมในทรัพย์สมบัติก้อนนี้ก็เห็นจะมีอยู่ทางเดียวคือเขาต้องแต่งงานกับฉันเท่านั้น
'ถ้าดีดี้รักแซคและตัดใจจากเขาไม่ได้จริงๆ จนอยากจะแต่งงานด้วยก็บอกป้าเลยนะลูก ป้าจะจัดการเรื่องนี้ให้ทันทีเลย ถ้าแซคอยากได้มรดกนักป้าก็จะบอกให้เขาแต่งงานกับดีดี้ก่อน'
ตอนนั้นฉันฟังแล้วขำกลิ้งกับท่าทีจริงจังของป้ามัท ตอนนี้ก็ยังขำอยู่นะ ยิ่งเมื่อจินตนาการถึงสีหน้ารังเกียจของแซคตอนได้ยินป้ามัทพูดแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งขำไปใหญ่
แม้ว่าแซคจะเป็นลูกชายคนเดียวของมิรันตีกับมหาเศรษฐีนักธุรกิจวัยหกสิบห้าอย่าง 'คริส โลแกน' แต่มิรันตีก็เลิกรากับคริสไปแล้วตั้งแต่ธุรกิจของเขายังไม่ประสบความสำเร็จ แล้วตอนนี้แซคก็ปฏิเสธการรับสืบทอดกิจการทุกอย่างของผู้เป็นพ่ออย่างเป็นทางการ โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่มีความเชี่ยวชาญในการบริหารงานธุรกิจของคริส จึงประสงค์จะยกความรับผิดชอบดังกล่าวให้กับ 'เจส โลแกน' หลานชายของคริส ซึ่งเป็นลูกของพี่ชายแท้ๆ ของคริสเอง ให้เป็นผู้สืบทอดแทนทั้งหมด
เจสเป็นกำพร้า คริสจึงรับอุปการะไว้ตั้งแต่ตอนเจสยังเป็นวัยรุ่น และเจสก็เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันธุรกิจของคริสให้ขยายฐานและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดในปัจจุบัน แต่ถึงกระนั้น...แม้ว่าเจสจะมีความสามารถในเชิงธุรกิจมากกว่าแซคอย่างเห็นได้ชัด และไม่ใช่เพลย์บอยรักสนุกอย่างแซคแต่อย่างใด ทว่าคริสก็มีความหวังมาตลอดว่าลูกชายแท้ๆ จะเป็นผู้สืบทอดธุรกิจของเขาอย่างเต็มตัว ทว่าท้ายที่สุดแล้วแซคก็ไม่ยอมรับข้อเสนอของพ่อ เขาทำทุกวิถีทางเพื่อผลักภาระทั้งหมดไปให้เจส ก่อนจะหันมาใช้ชีวิตอิสระและทำธุรกิจของตัวเองแบบสบายๆ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับคริสอีก
ฉันทราบมาว่าชีวิตวัยเด็กของแซคไม่ได้สวยหรูนัก คริสทำงานหนักมาตั้งแต่ก่อนแซคเกิด จนไม่ค่อยมีเวลาให้ครอบครัวในช่วงที่เริ่มต้นบุกเบิกธุรกิจซึ่งต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายปี แต่ระหว่างนั้นก่อนที่ธุรกิจจะประสบความสำเร็จมิรันตีกับคริสก็มีอันต้องแยกทางกัน มิรันตีไปมีครอบครัวใหม่และย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ตอนที่แซคยังเรียนชั้นประถม แซคที่ต้องอยู่กับแม่ก็เริ่มทำตัวต่อต้านและคอยขัดใจครอบครัวแทบทุกเรื่อง แต่พอถึงช่วงหนึ่งที่คริสล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ แซคที่ผ่านพ้นช่วงวัยคะนองมาหมาดๆ ก็ตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตใกล้ชิดกับพ่อและหันมาทำตัวเป็นลูกที่ดีอย่างเหลือเชื่อชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันก็แค่ระยะหนึ่งภายในเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น เพราะเมื่อวางใจว่าพ่อหายป่วยและกลับมาแข็งแรงดีในที่สุด ทั้งยังมีเจสคอยเป็นมือขวาอยู่เคียงข้างแล้ว แซคก็ละทิ้งครอบครัวอย่างไม่ไยดีอีกครั้ง...
"แต่บางที...ฉันก็รู้สึกเหมือนป้าแกจะไม่ได้พูดเล่นเลยนะ ป้ามัทอาจจะอยากยกมรดกให้เพราะเห็นว่าแกเป็นคนเดียวที่จริงใจกับเขา คอยเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างเขามาตั้งสามปี" แป้งออกความเห็น "ในขณะที่ลูกสาวก็เอาแต่แต่งหย่าแต่งหย่าไม่รู้กี่รอบ แล้วย้ายที่อยู่ไปมาเป็นว่าเล่น ส่วนกับหลานชายก็ห่างเหินกันเกินไป"
มิรันตีแต่งงานมาทั้งหมดสี่ครั้ง ครั้งแรกกับพ่อของแซค ครั้งที่สองกับคนฝรั่งเศส ส่วนสามีคนที่สามกับคนปัจจุบันเป็นคนไทย
"แต่ยังไง...ถ้าฉันเป็นป้ามัท ฉันยกสมบัติให้เลขาฯ กับทนายที่ทำงานอยู่กับแกมานานไม่ดีกว่าเหรอ ถึงจะถูกชะตากับฉันและคิดว่าฉันจริงใจด้วยแค่ไหน แต่ยังไงฉันก็เป็นคนอื่นอยู่ดี ถ้าอยากจะตอบแทนฉันป้ามัทก็อาจจะให้อะไรสักอย่างเป็นของกำนัล ซื้อของแพงๆ ให้สักชิ้นก็ถือว่ามากเกินพอแล้วล่ะ แต่ทรัพย์สินทั้งหมดที่เพิ่งชนะคดีมาได้...ยังไงก็ต้องเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลาน ซึ่งในชีวิตของป้าแกตอนนี้ก็เหลือญาติแค่แซคกับแม่เขา"
"แล้วถ้าสมมติ...ว่าป้ามัททำแบบนั้นจริงๆ ล่ะ ถ้าป้ามัทบอกว่าจะยกมรดกให้แกโดยมีข้อแม้ว่าแกจะต้องแต่งงานกับแซคก่อน" ซีถามทีเล่นทีจริง
"ก็ดีน่ะสิ ฉันจะรีบรับข้อเสนออย่างไม่ลังเล ฉันยังปลื้มแซคอยู่นี่นา ได้ทั้งเงินได้ทั้งผู้ชาย..."
"ดีดี้! ไหนว่าแกแค่ติ่ง ไม่ได้คิดอะไรจริงจังกับแซค เพราะเขาเป็นผู้ชายเหลวแหลก สกปรก น่ารังเกียจ!" ซีโวยวาย
"นี่! ฉันก็ไม่ได้ว่าเขาขนาดนั้นสักหน่อยนะยะ ถึงจะเคยว่า...มันก็ตั้งแต่ก่อนฉันจะเปลี่ยนใจมาชอบจนตามติ่งเขาแล้ว ตอนนี้ฉันก็ยังชอบอะไรหลายๆ อย่างในตัวเขา เพราะฉันรู้สึกถึงความดีที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ถึงมันจะลึกมากจนหยั่งแทบไม่ถึงก็เถอะ แล้วฉันเองก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับใครอยู่แล้วนี่นา ตั้งแต่เลิกกับแฟนคนแรกก็เอาดีทางติ่งจริงจังจนไม่เคยชอบใครจริงๆ เลย ถ้าอยู่ดีๆ ก็มีข้อเสนอที่จะทำให้ได้ครอบครองแซคพร้อมมรดกก้อนโตของป้ามัทขึ้นมา ทำไมฉันต้องปฏิเสธด้วยล่ะ ฉันอาจจะไม่เคยหวังอะไรแบบนั้นมาก่อน แต่ถ้ามันได้มาโดยไม่ตั้งใจก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องปฏิเสธ...จริงไหม"
"นี่แกพูดจริงเหรอดีดี้ แกจะบ้าไปแล้วเหรอ!" แป้งและซีร้องลั่นพร้อมๆ กันอย่างตกอกตกใจจนน่าขัน ทำเอาฉันเห็นแล้วอดหัวเราะไม่ได้
"โอ๊ยยย นี่พวกแกจะตื่นตูมกันทำไมเนี่ย ไม่ยอมรับมุกฉันเลย ที่ฉันพูดแบบนี้...ก็เพราะแน่ใจว่าเรื่องบ้าๆ แบบนั้นมันไม่มีทางเป็นจริง!"