ทดลองอ่านนิยาย อิงแอบตะวัน บทที่ 4 – บทที่ 5 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

LOVE

ทดลองอ่านนิยาย อิงแอบตะวัน บทที่ 4 – บทที่ 5

บทที่ 4 อย่าให้ฉันต้องตอบโต้

ฉันรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องเจอกับแซคที่งานเลี้ยงขอบคุณลูกค้าของบริษัทหนึ่งในเครือของคุณไอซ์ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักก่อน แล้วการที่ฉันต้องออกมาคุยโทรศัพท์จนต้องยืนอยู่ตามลำพังตรงระเบียงด้านนอกของสถานที่จัดเลี้ยงซึ่งเป็นบ้านเก่าทรงยุโรปที่ถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหารไทยสุดหรู ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้แซคเล่นงานได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีตัวช่วย ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงตั้งอกตั้งใจที่จะหาเรื่องฉันมากขนาดนี้

แซคสวมสูทสีเข้มสำหรับงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ มีความโก้หรูและเนี้ยบสุดขีดตั้งแต่ปลายผมจดปลายเท้า จากการทำงานกับคุณไอซ์มานานทำให้ฉันมองออกว่าเครื่องแต่งกายของแซคเป็นแบรนด์ระดับใดราคาเท่าไหร่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าแซคไม่ใช่คนสมถะแต่อย่างใด ในขณะที่ฉันสวมชุดราตรีสีครีมเรียบๆ ที่แม้จะไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็ดูจืดชืดสิ้นดีตั้งแต่ปลายผมจดปลายเท้า การเผชิญหน้าของเรามันดูตลกชะมัด เหมือนกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่กันคนละโลกก็ไม่ปาน

"ครอบครัวคุณอยากได้สมบัติคุณยายถึงขนาดต้องมารับท่านไปค้างที่บ้านเลยเหรอ"

พอโดนเข้าไปดอกแรกฉันก็นิ่วหน้ามองเขาอย่างไม่พอใจทันที แต่พยายามตั้งสติไว้ "วันนี้วันเกิดพี่ชายฉัน ป้ามัทเลยอยากไปร่วมงานด้วย"

"บ้ากิจกรรมกันจังนะครอบครัวคุณนี่"

"อย่ามาว่าครอบครัวฉันแบบนี้!" ฉันแหวเสียงเขียวอย่างยอมไม่ได้ในจุดนี้ แต่ก็พอจับต้นชนปลายได้แล้วว่า ดูเหมือนแซคจะหมั่นไส้และเกลียดฉันมาตลอดจากเหตุผลทั้งหมดที่เขาได้แจกแจงมา แต่เขาแค่รอเวลาเปิดเผยให้ฉันฟังตรงๆ พอได้บอกให้ฉันรู้ตัวเสร็จเขาจึงไม่คิดจะเก็บอาการอีกต่อไป เขามุ่งหน้าหาเรื่องระบายอารมณ์ใส่ฉันไม่ยั้งเหมือนคนได้ทีหลังจากเก็บกดมานาน

"หรือจริงๆ แค่หาเรื่องจัดฉากเพื่อจะชวนคุณยายผมไปที่บ้าน คงเห็นคุณยายเป็นเหยื่อชั้นดีเลยล่ะสิ" เขายังตั้งหน้าตั้งตาหาเรื่องต่อไป

"คุณนี่...หน้าไหว้หลังหลอกกว่าที่คิด ต่อหน้าครอบครัวฉันล่ะทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน น่ารักน่าเอ็นดู พูดจาดีมีมารยาทจนพ่อแม่ฉันตายใจหลงรักคุณกันหมด แต่จริงๆ กลับแอบมาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง น่าเกลียดมากเลย" ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล สีหน้าก็เรียบๆ แต่คำพูดที่ใช้ค่อนข้างแรงอย่างตั้งใจ และดูเหมือนมันจะทำให้แซคสะอึกจนนิ่งงันไปเหมือนกัน ยังไงฉันก็ยังเชื่อว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่คนจิตใจหยาบกระด้างเย็นชามากนัก

จะว่าไปแซคอาจจะไม่ได้เกลียดชังครอบครัวฉันจริงๆ อย่างที่เจตนาหาเรื่องแดกดัน แต่แค่พอเห็นหน้าฉันเขาก็หงุดหงิดจนต้องเค้นหาคำพูดเจ็บแสบมาตอกหน้าให้สะใจเล่นเท่านั้น เพราะพอสังเกตดีๆ แล้วฉันก็รู้สึกได้ว่าแซคเสียใจกับสิ่งที่พูดไป เขาดูเหมือนเด็กไม่รู้จักโตที่ขี้อิจฉาแถมยังแพ้แล้วพาล เลยจงใจอาละวาดฟาดงวงฟาดงาใส่ฉันเพื่อระบายความหงุดหงิดกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจเท่านั้น แต่เชื่อว่าเขาไม่น่าจะใช่ผู้ใหญ่ใจบาปที่งกสมบัติอย่างแท้จริง

"ทีหลังคุณก็อย่าไปเหยียบบ้านฉันอีกล่ะ ฉันสงสารพ่อกับแม่ที่ท่านรู้สึกเอ็นดูคุณอย่างจริงใจ"

"ผมจะทำอะไรมันก็เรื่องของผม"

"อ้าว... แต่นั่นมันครอบครัวฉัน พ่อแม่ฉัน ฉันไม่อยากให้คุณไปยุ่งกับพวกเขา"

"แล้วไง... ผมจะทำตามความพอใจตัวเอง ผมจะเลิกยุ่งด้วยก็ต่อเมื่อพ่อแม่คุณเป็นคนเอ่ยปากเอง"

"อะไรเนี่ย...ทำไมคุณหน้าด้านแบบนี้ ทำไมนิสัย...!"

ฮือออ... พ่อแก้วแม่แก้วช่วยหนูด้วย หนูงงไปหมดแล้วค่ะว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ติ่งสายรักสงบ (ซึ่งชอบกินเผือกนิดหน่อย) อย่างฉันเคยฝันใฝ่เอาไว้เลยสักนิด!

ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนอย่างฉันต้องมาทำสงครามประสาทกับแซคอย่างจริงจังขนาดนี้ด้วย ฉันไม่ชอบเรื่องทำนองนี้ มันเครียดและเสียสุขภาพจิต แต่ครั้นจะปล่อยให้แซคมาระรานโดยไม่ตอบโต้เลยก็ใช่ที่ จะยอมพ่ายแพ้แล้วเป็นฝ่ายหนีไปโดยไม่สู้เลยก็คงคาใจไปตลอดชีวิต ว่าสรุปแล้วฉันมองคนผิดไปจริงๆ หรือนี่ เพราะถึงจะรู้ว่าเขาเหลวแหลกในหลายๆ เรื่อง แต่ลึกๆ ก็เชื่อมาตลอดว่าแซคเป็นคนที่แอดติจูดดีมีมนุษยธรรมเกินมาตรฐานค่าเฉลี่ย ซึ่งเขาไม่น่าจะเป็นคนโลภมากหวงสมบัติอย่างหน้าเลือดถึงขั้นนี้ได้เลย...

"งั้น...ถ้าคุณไม่อยากให้ป้ามัทไปค้างที่บ้านฉัน พอออกจากงานเลี้ยงนี้คุณก็ไปรับแกกลับสิคะ แล้วต่อไปฉันจะไม่ให้แกไปที่บ้านอีก"

"คุณก็รู้ดีว่าทำแบบนั้นมันใจร้ายกับคุณยายมาก ควรจะหาวิธีที่ดีกว่ามาจัดการ"

"แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันกับป้ามัทใช้ชีวิตด้วยกันแบบนี้มานานแล้ว แต่อยู่ๆ คุณก็โผล่มาโวยวายหาเรื่องฉัน ฉันคิดไม่ออกหรอกว่าตัวเองควรทำยังไง!" ฉันเผลอขึ้นเสียงอย่างยั้งไม่อยู่

"เอาเป็นว่า...ผมจะไม่ยุ่งกับคุณอีกเลย ถ้าคุณยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่แตะต้องมรดกของคุณยายแม้แต่ชิ้นเดียว"

"..."

"ทำได้ไหมดีดี้"

"..."

"มองผมแบบนี้หมายความว่าไง คุณอยากได้มรดกคุณยายไว้เอง?"

"ตอนแรกก็ไม่ได้อยากหรอกนะ แต่ตอนนี้ชักเริ่มต้องการขึ้นมาแล้วล่ะ ถึงจะไม่ได้อยากจนตัวสั่นอย่างคุณก็เถอะ!"

"..."

"คุณไอซ์โทรตามแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ" ว่าแล้วฉันก็เผ่นหนีไปทันที

ซึ่งก็รับรู้ได้ถึงสายตาแข็งกร้าวที่มองตามหลังมาได้อย่างชัดเจน... แม่จ๋า...หนูกลัววว!

เท่าที่จำความได้ ถ้าไม่นับเรื่องงานแล้ว ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยทะเลาะหรือมีเรื่องต้องปะทะกับใครตรงๆ อย่างรุนแรงเหมือนกับเหตุการณ์ตอนเผชิญหน้ากับแซคเมื่อคืนนี้มาก่อนเลย แล้วนั่น...มันคือหนึ่งในไอดอลสุดเลิฟที่ฉันตามติ่งมาเกือบปีเชียวนะ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงโดนเขาคุกคามราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตมาแต่ชาติปางก่อนได้เนี่ย เขาเป็นผู้ชายที่ฉันเรียกว่าที่รักอยู่ตั้งนานเลยนะนั่น!

"เป็นอะไรดีดี้ หน้าตาเหมือนคนอดนอน"

ฉันสะดุ้งเบาๆ เมื่อถูกเจ้านายทักขึ้นมาระหว่างกำลังช่วยเตรียมเอกสารอยู่ภายในห้องทำงานเพื่อจะตามเขาเข้าประชุมด้วยในช่วงเช้า "คือ... เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะค่ะ"

"ไม่ใช่ว่ามัวไปตามประเด็นดราม่าไอดอลที่ไหนจนเช้า หรือมัวแต่นั่งกดโหวตรางวัลอะไรให้เขาอีกรึเปล่า ไหนสัญญากับผมแล้วว่าจะติ่งอย่างมีสติโดยไม่ให้เลยเถิดจนเสียงาน"

"แหม... เปล่าค่ะคุณไอซ์ ไม่ใช่อะไรแบบนั้น ช่วงนี้งานติ่งของดี้ไม่มีแคมเปญหรืออีเวนต์พวกนั้นหรอกค่ะ" ฉันแก้ตัวพลางหัวเราะแห้งๆ "พอดี ดี้มีปัญหาส่วนตัวนิดหน่อย"

"เกี่ยวกับแซครึเปล่า ได้ยินว่าเมื่อคืนมีเรื่องกันที่งานเลี้ยง"

"นี่เขาบอกหรือคะ" ฉันเบิกตาโต

"พริ้งบอก ไม่ใช่แซค"

"ตายจริง คุณพริ้งรู้ได้ไงเนี่ย!"

"เมียผมเคยเป็นซีไอเอไม่รู้รึไง"

ฉันฟังแล้วหลุดขำพรืดเบาๆ ก่อนจะเล่า "ดี้เพิ่งรู้ค่ะว่าแซคเขาเกลียดขี้หน้าดี้มาก เริ่มตั้งแต่ที่ไปเห็นเขาอยู่กับสาวสองคนในวิลล่าคราวก่อนโน้น จนพานมาเกลียดเรื่องที่ดี้บังอาจไปติ่งเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต จนตอนนี้...เขาไม่พอใจเพราะคิดว่าดี้จะมาแย่งสมบัติจากคุณยายเขา หมายถึงป้ามัทน่ะค่ะ..."

"เรื่องอื่นผมพอเข้าใจได้ แต่แซคเนี่ยนะหวงสมบัติ ไม่จริงหรอก"

คุณไอซ์รู้จักป้ามัทเนื่องจากฉันเคยพาป้ามัทไปทานข้าวที่บ้านคุณพริ้งกับคุณไอซ์มาแล้วสองครั้ง และคุณไอซ์ก็ทราบแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นยายของแซค

"จริงๆ นะคะ เขาพยายามข่มขู่ให้ดี้เลิกยุ่งกับป้ามัท เพราะเขาคิดว่าป้ามัทจะยกมรดกให้ดี้"

"แต่แซคไม่ใช่คนแบบนั้นจริงๆ แล้วที่ว่าเขาเกลียดคุณ...เป็นไปได้ไง ปกติเขาชอบผู้หญิงจะตาย"

"เขาชอบผู้หญิงสวยไหมล่ะคะบอส"

"อ้าว... มั่นใจหน่อยสิ คุณก็ไม่แย่"

"แล้วสวยไหมล่ะ"

ก็...”

แถมไม่อึ๋มอีกต่างหาก จริงไหมคะ

คุณไอซ์เงียบ และทำสีหน้าลำบากใจที่จะตอบ... ถ้าจะแบบนี้ควรด่ากันตรงๆ เลยดีกว่า บอสมาทำท่าอึกอักพูดไม่ออกแบบนี้มันช่างน่าเจ็บปวดสิ้นดี!

"แต่ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนแซคเขาดีกับคุณมากนะ เขารู้สึกดีกับคุณและเคยชมคุณให้ผมฟังบ่อยๆ ด้วย ยังไงเขาก็น่าจะไม่ได้เกลียดคุณแน่นอน"

"นั่นมันตั้งแต่ตอนรู้จักกันใหม่ๆ ไหมคะ ดี้ช่วยเหลืออะไรเขาตั้งหลายอย่าง ตอนนั้นเขาอาจจะรู้สึกดีจริงๆ แล้วลักษณะดี้...ใครเห็นก็รู้สึกเป็นมิตรเพราะมันดูไม่มีพิษภัย แต่พอเกิดเรื่องที่วิลล่าตอนไปประชุมคราวนั้นแล้ว...ทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยค่ะ เปลี่ยนไปหมดเลย ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะ...แซคน่ะเรื่องแค่นั้นก็ต้องโกรธด้วย" ฉันพูดพลางถอนใจเฮือก

"แต่เรื่องหวงสมบัติ ยังไงก็ไม่น่าใช่นะ" คุณไอซ์ยังกังขา

"มันเรื่องจริงนะคะ เอาไว้ดี้จะหาหลักฐานมาเล่าให้คุณไอซ์ฟังชัดๆ"

"มันต้องมีอะไรผิดปกติสักอย่างแน่ แซคไม่มีทางอยากได้สมบัติใครหรอก ต่อให้เป็นของคุณยายเขาเองก็เถอะ ขนาดของพ่อเขาตั้งเท่าไหร่...ยัดเยียดให้เขายังไม่รับเลยสักแดง ปล่อยให้พ่อเอาไปยกให้ลูกบุญธรรมหน้าตาเฉย ที่สำคัญแซคยังเด็กมาก เขาเลยเหมือนเด็กที่ยังรักอิสระและยังไม่อยากมีพันธะกับอะไรทั้งนั้น ทุกวันนี้เหมือนเขาหาเงินเพื่อความสนุกมากกว่าอยากได้เงินจริงๆ ด้วยซ้ำ"

"ดี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตอนนี้คือเขาพยายามกีดกันไม่ให้ดี้แตะต้องสมบัติของป้ามัทอยู่ เขาหาเรื่องตามรังควานจนดี้จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย"

"มีอะไรก็คุยกันดีๆ สิ อย่าให้มันบานปลาย เรื่องนี้ผมคงยุ่งไม่ได้ เรื่องส่วนตัว"

"ดี้คงจะไม่รบกวนคุณไอซ์ เพราะคิดว่าอาจจะพอจัดการเองได้"

คิดซะว่าแซคเป็นน้องคนหนึ่งละกัน สำหรับผมเขายังเด็กจริงๆ ความคิดบางอย่างก็อาจจะยังไม่เป็นผู้ใหญ่พอ

ค่ะ ดี้เข้าใจ ถึงเขาจะหน้าแก่แต่อายุก็น้อยกว่าดี้หลายปีฉันยิ้มปลงๆ

"แล้วคุณตั้งใจจะรับมรดกจากป้ามัทรึเปล่า ถ้าไม่...ก็บอกเขาไปชัดๆ ซะจะได้จบ เพราะถ้าแซคแน่ใจว่าคุณไม่เอา...เขาก็คงไม่มาวุ่นวายด้วยอีก"

"ตอนแรกดี้ก็ไม่คิดจะยุ่งกับสมบัติป้ามัทหรอกนะคะ แต่พอเห็นแซคทำแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะขวางหูขวางตาจนอยากหาเรื่องกวนประสาทเขาเล่น คือบางทีเขาก็ดูเหมือนโลภมากจนตาวาว ทำให้ดี้เป็นห่วงป้ามัท"

"ผมว่าคุณห่วงตัวเองก่อนเถอะดีดี้"

"..."

"ถ้ารู้สึกว่ามันจะเป็นปัญหาจริงๆ ก็อย่าไปยุ่งดีกว่า อย่าไปล้อเล่นกับใครเพราะเรื่องแบบนี้ สมบัติป้ามัทไม่ใช่น้อยๆ มันอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ทีหลัง"

"ดี้ทราบค่ะ"

"งั้นก็ระวังตัวด้วยล่ะ อย่าให้มันเลยเถิด ถึงแซคจะเป็นเพื่อนผมและผมก็มั่นใจว่ารู้จักเขาดีพอ แต่ก็คงรับประกันได้ไม่เต็มปากว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นคนยังไง"

ฉันพึมพำรับคำเจ้านายเบาๆ ซาบซึ้งมากที่สัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างแท้จริงจากคุณไอซ์ เขาช่างเป็นบอสสุดคูลที่จิตใจดีและมีน้ำใจต่อลูกน้องเหลือเกิน คุณพริ้งโชคดีมากเลยที่ได้สามีแบบนี้...

"เพราะถ้าขืนคุณเป็นอะไรไป ผมก็ต้องมาลำบากหาเลขาฯ ใหม่อีก มันยุ่งยากเข้าใจไหม"

เออะ... คุณพริ้งคะ...ดี้ขอถอนคำพูดเรื่องที่เผลอคิดไปเมื่อกี้นี้ด้วยค่ะ!

แม่ฉันเป็นคนรักเด็ก บางทีก็ชอบรับฝากลูกชาวบ้านแล้วเอามาช่วยเลี้ยงโดยไม่คิดมูลค่าอย่างมีน้ำใจ แต่บางครั้งก็มักลืมนึกไปว่าจริงๆ ตัวเองก็ไม่ได้ว่าง วันนี้ก็เช่นกัน ทั้งที่แม่มีนัดไปทำบุญต่างจังหวัดกับกลุ่มเพื่อนสตรีสูงวัย แต่กลับลืมตัวรับปากเพื่อนบ้านว่าจะช่วยดูแลลูกเขาให้ทั้งวัน ทีนี้เมื่อเพื่อนแม่มารับแม่ออกไปจากบ้าน ฉันเลยต้องมารับภาระดูแลลูกคนข้างบ้านวัยเจ็ดขวบแทนแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามีน้ำใจอะไรหรอก แต่มันไม่มีทางเลือกจริงๆ

เนื่องจากฉันมีธุระเรื่องงานของบริษัทที่สำนักงานใหญ่วีรากรกรุ๊ปตอนเก้าโมงครึ่งในวันเสาร์ จึงทำให้ต้องหอบกระเตงเด็กชายผู้เป็นภาระในวันนี้ติดตัวมาด้วย แล้วหลังจากเสร็จธุระของเจ้านายฉันก็มีนัดทานข้าวเที่ยงกับซีต่ออีก...

"ผู้ใหญ่ไม่มีวันหยุดเหรอครับน้าดี้ วันนี้วันเสาร์ก็ยังต้องมาทำงานอยู่อีก ไม่มีเวลาเล่นเลย" เด็กชายถามเมื่อฉันพาเดินจากลานจอดรถเข้าไปในอาคารสำนักงานของวีรากร

"ส่วนใหญ่คนทำงานไม่ค่อยได้มีวันหยุดหรอกออกัส มีแต่เด็กนักเรียนบางคนเท่านั้นแหละที่จะได้สิทธิพิเศษในการหยุดพักผ่อนวันเสาร์อาทิตย์เต็มๆ ดังนั้นตอนยังเป็นเด็กก็ต้องใช้วันหยุดให้คุ้มค่า เข้าใจไหม"

ยิ่งงานเลขานุการของเจ้านายระดับผู้บริหารยิ่งไม่ต้องถามหาวันหยุด ฉันอาจจะโชคดีตรงที่คุณไอซ์ไม่ใช่เจ้านายผู้ชอบเรียกใช้งานทุกอย่างทั้งเรื่องบริษัทและเรื่องส่วนตัวแบบไม่สนใจเวล่ำเวลา เพราะถ้าไม่จำเป็นจริงๆ คุณไอซ์ก็แทบจะไม่จิกอะไร อีกทั้งฉันเองก็ยังมีผู้ช่วยอีกคนไว้ใช้งานต่อได้ด้วย แต่ถึงกระนั้นในวันหยุดฉันก็ต้องสแตนด์บายรอคำสั่งเจ้านายตลอดเวลา และไม่สามารถปฏิเสธได้หากมีงานด่วนเข้ามากะทันหันไม่ว่าจะเรื่องอะไร แล้วถ้าลูกคุณไอซ์โตขึ้นอีกนิดฉันอาจจะต้องทำหน้าที่รับส่งลูกเขาบ้างเป็นบางเวลา หรือบางครั้งอาจจะต้องพาลูกเจ้านายไปเที่ยว...ไปช็อปปิ้งก็เป็นได้...

"หูยยย... ดูนั่น ฮีโร่แขนเหล็กนี่นา กัสชอบเรื่องนี้มากเลยน้าดี้!" ดูเหมือนออกัสจะไม่ได้สนใจฟังฉันพูด เขาชี้ไปที่ป้ายสแตนด์ขนาดใหญ่บริเวณหน้าลิฟต์ในชั้นล็อบบี้ของอาคารอย่างกระตือรือร้น จากนั้นเด็กชายผู้แสนจะไฮเปอร์ก็ร้องเพลงประกอบละครเรื่อง 'ฮีโร่แขนเหล็ก' ดังสนั่นจนฉันต้องรีบดุว่าให้เบาเสียงลง

"ดีดี้!"

ฉันหันขวับไปตามการเรียกชื่อดังกล่าว สุ้มเสียงนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นแกมตกใจอย่างเห็นได้ชัด ฉันมองหน้าคนที่ตรงรี่เข้ามาหาอย่างงงๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่งเพื่อทบทวนความทรงจำ ก่อนจะเบิกตากว้าง...

"พุฒิ!" เขาคนนี้คือแฟนเก่าฉันสมัยมหาวิทยาลัย ไม่อยากจะเชื่อเลย!

"บังเอิญจังเลย ดี้มาทำอะไรที่นี่"

"มาคุยธุระให้เจ้านาย" บอกไม่ถูกเลยว่าเห็นหน้าเขาแล้วรู้สึกยังไง แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกผิดที่เคยมีต่อเขามันยังมีเหลืออยู่นิดๆ จริงๆ แล้วเขาเป็นคนดีนะ ที่เลิกกันตอนนั้นคนที่ผิดมากกว่าก็คือฉันเอง...

"จริงๆ เราก็หวังอยู่ว่าอาจจะได้เจอดี้ที่นี่สักวัน เพราะรู้ว่าซีแต่งงานกับคุณท็อป" เขายิ้มกว้างอย่างไม่ปกปิดความยินดี เขาดูยินดีอย่างจริงใจที่ได้เจอฉัน "ไม่ได้เจอกันเกือบสิบปี ดี้ไม่เปลี่ยนเลยนะ"

"แต่พุฒิเปลี่ยนไปมากเลย"

"แก่เหรอ" เขาถามพลางหัวเราะ

"นิดหน่อย แต่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แล้วมาทำอะไรที่นี่"

"มารับเช็ค ตอนนี้บริษัทเราเป็นเอาต์ซอร์ซที่เพิ่งเข้ามาดูแลระบบคอมพิวเตอร์ให้ที่นี่"

ฉันพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงรับรู้ ออฟฟิศบางส่วนของวีรากรเปิดทำการในวันเสาร์ด้วย

"แล้วนี่...ลูกชายเหรอ หน้าเหมือนกันเลย" เขามองหน้าฉันกับออกัสสลับกันไปมาแล้วถามหน้าตาเฉย

"เปล่า ไม่ใช่ หลานน่ะ" ฉันบอกแบบนั้นเพื่อให้เขาเข้าใจได้ง่ายที่สุด แล้วจึงแนะนำออกัสกับพุฒิให้รู้จักกัน

"แล้วดี้แต่งงานรึยัง"

"ยัง"

"อย่าบอกว่ามัวแต่ติ่งเหมือนเดิม"

"ก็ทำนองนั้น"

"ถามจริง!" พุฒิทำหน้าตกใจแกมขำ "นี่เราก็เพิ่ง...เลิกกับแฟนได้ไม่นาน"

"เหรอ" ฉันรับรู้ด้วยเสียงเรียบๆ อย่างไม่ใส่ใจ "เราต้องไปแล้วล่ะพุฒิ"

"ดี้ยังใช้เบอร์เดิมรึเปล่า มือถือ"

ฉันพยักหน้า

"ไว้เราโทรหานะ ถ้าไม่รบกวน..."

"ไม่กวนหรอก โทรมาเถอะ"

"กลางวันนี้ว่างไหม" เขายิงคำถามอย่างต่อเนื่องแบบไม่เคอะเขิน

"นัดกับซีแล้ว"

"อยากไปแจมด้วยจัง เราเองก็อยากเจอซีด้วยเหมือนกัน"

"งั้นเที่ยงๆ ก็ลองโทรมาสิ ถ้าตอนนั้นพุฒิยังอยู่แถวนี้ เรานัดกินข้าวกันแถวใกล้ๆ นี่แหละ"

ฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าคนเราไม่ควรเป็นอะไรกับแฟนเก่านอกจากแค่คนรู้จัก หรือเป็นคนแปลกหน้าไปเลยยิ่งดี แต่ในกรณีที่เขาเองก็เพิ่งเลิกกับแฟน และฉันเองก็ยังไม่มีใคร ฉันจึงสะดวกใจที่จะกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาเหมือนที่เคยเป็นตั้งแต่ก่อนที่จะเลื่อนระดับขึ้นเป็นแฟนกัน

"แกนี่...ใจกว้างเป็นแม่น้ำฮวงโหวเลยนะดีดี้ ผ่านมาเกือบสิบปีแล้วแต่ฉันยังแค้นแทนแกไม่หาย ที่ตอนนั้นเห็นหมอนั่นควงแฟนใหม่เดินลอยหน้าลอยตาผ่านแกไปมาทุกวัน!"

"ใจเย็นไว้ซี แกท้องอยู่นะ ทำจิตใจให้สวยสง่าลาเวนเดอร์เข้าไว้ เพื่อหลานฉัน" ฉันเตือนเมื่อเห็นศรีอาภาออกอาการอารมณ์ขึ้นทันทีที่ได้ยินเรื่องของพุฒิ และรู้ว่าเขาจะมาทานข้าวกับเราที่ร้านนี้ด้วย

"ระวังเขาหลอกเอานะ จริงๆ เขาอาจจะยังไม่ได้เลิกกับแฟน แต่โกหกเพราะอยากจะเข้าหาแก"

"เพื่ออะไรเล่า ไม่หรอกน่า"

"เขาอาจจะนึกเสียดายขึ้นมาเพราะตอนนี้แกน่ารัก"

"หนังหน้าฉันก็เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือแก่ขึ้นอีกต่างหาก"

"หนังหน้าแกดีกว่าเดิมย่ะ ที่สำคัญผ่านมาเป็นสิบปีแกยังใสแบ๊วเหมือนวัยรุ่นตอนปลายไม่มีผิด ทำไมเขาเห็นแล้วจะไม่อึ้ง เขาต้องชอบแน่ๆ"

"พอเถอะค่ะศรีฯ กลับทุ่งลาเวนเดอร์ค่ะ" ฉันปรามพร้อมกับเหลือบมองออกัสที่นั่งทานของว่างรออาหารจานหลักของตัวเองพร้อมกับดูรีวิวของเล่นจากยูทิวบ์ไปด้วย ไม่ได้สนใจเรา

ซีถอนหายใจใส่ฉันเหมือนไม่สบอารมณ์ ฉันมองนาฬิกาแล้วคำนวณในใจว่าอีกไม่เกินสิบนาทีพุฒิน่าจะมาถึง จากนั้นจึงจะขอตัวลุกไปห้องน้ำ...

แล้วตอนที่เดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งฉันก็สะดุ้งเบาๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแซคอย่างไม่คาดฝัน เขาเดินควงมากับผู้หญิงสองคนตามเคย...ตามสไตล์ผู้ชายควบสองของเขา คนหนึ่งคือแทมมี่...สาวสวยหุ่นนางแบบหน้าฝรั่งจ๋า ส่วนอีกคนเป็นสาวหมวยหน้าหวานแนวอินเตอร์รูปร่างอวบอั๋นดูมีความเผ็ดร้อนระดับสิบ...

"อ๊ะ!" ฉันอุทานอย่างตกใจ เมื่อร่างสูงใหญ่ของแซคที่ขยับหลบให้บริกรหนุ่มรายหนึ่งเซมาทางฉันอย่างกะทันหันตอนเดินสวนกัน ตอนแรกฉันตั้งใจแกล้งทำเป็นไม่เห็นเพราะไม่อยากลำบากใจในการทักทายหรือสบตาด้วย ซึ่งปกติฉันก็เป็นคนไม่เด่นสะดุดตาคนอยู่แล้ว ถ้านิ่งๆ ทำตัวกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมเข้าไว้ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็น คราวนี้ฉันจึงคิดว่าตัวเองจะรอดพ้นไปได้โดยไม่ต้องทักทายแซคกับแทมมี่ แต่สุดท้ายก็ไม่รอด...

"ขอโทษ..." เขาหันมาเลิกคิ้วมองฉัน พร้อมกับกล่าวคำขอโทษด้วยท่าทางไว้ตัว

แซคทำหน้าตาเหมือนเซ็งนิดๆ ที่ต้องมาเจอฉัน ทำเอาฉันอดรู้สึกคอแข็งขึ้นมาทันทีไม่ได้ แม้ตัวฉันเองเป็นฝ่ายตั้งใจทำเมินเขาแต่แรก แต่การที่เขามาเอ่ยทักด้วยท่าทางเหมือนเสียมิได้แบบนี้มันน่าโมโหชะมัด

"คุณผิดเองนะ ที่เดินเบียดสวนมาทั้งที่ตรงนี้มันแคบ"

"คุณเองก็ระวังหน่อยสิคะ ตัวใหญ่ยังกับตึกแบบนี้อย่าซุ่มซ่าม ถ้าล้มใส่ใครมีหวังอาการหนักถึงตาย" ฉันสวนกลับเสียงกระด้างนิดๆ โกรธเหลือเกินที่อยู่ๆ เขาก็มาหาเรื่องซึ่งๆ หน้า

"ผมไม่กล้าเซจนล้มใส่คุณหรอกดีดี้ กลัวหัวแตก นมก็ไม่มี..."

ฉันผงะอย่างคาดไม่ถึง เบิกตามองแซคอย่างเหลือเชื่อ ใบหน้าพลันร้อนซู่ปนชาดิกด้วยความโกรธระคนอายอย่างอธิบายไม่ถูก ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงปากจัดและมารยาททรามกับฉันขนาดนี้เนี่ย แล้วเราไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบยะ ฮึ่ยยย!

"คุณ...ทำไมหยาบคาย!"

"ก็คุณว่าผมก่อน"

"พอเถอะน่าแซค" แทมมี่เอ็ดแฟนตัวเองแล้วยิ้มให้ฉัน "บังเอิญจังนะคะดีดี้ สบายดีไหม"

ฉันพยักหน้าและพยายามฝืนยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุด

"นี่รู้จักกันหรือคะ" สาวหมวยอินเตอร์เอ่ยถามอย่างสงสัย

"ดีดี้เป็นเลขาฯ เพื่อนผมเอง แทมมี่เคยเจอเขามาก่อน"

"อ้อ..." สาวหมวยคู่ควงของแซคทำเสียงรับรู้พร้อมกับสแกนฉันหัวจดเท้าอย่างไม่เกรงใจ

"ขอตัวนะคะ" ฉันบอกแล้วเดินเชิดหน้าบึ้งๆ จากไปทันที ทิ้งชายหนุ่มผู้ควงสาวสวยทีละสองไว้เบื้องหลังเหมือนไม่สนใจไยดีอีก แต่ทว่าในใจยังหงุดหงิดแทบตาย!

พอกลับมาถึงที่โต๊ะก็พบว่าพุฒินั่งอยู่กับซีแล้ว เขาถามฉันเป็นคำแรกว่า...

"ดี้รู้จักกันกับแซคด้วยเหรอ"

"หือ?"

"ก็เมื่อกี้เห็นหยุดคุยกัน" พุฒิบุ้ยใบ้ไปยังจุดที่ฉันกับแซคมีเรื่องกันเมื่อครู่

"เขาเป็นเพื่อนกับเจ้านายเราเอง ทำไมเหรอ พุฒิก็รู้จักเขา?"

"ก็ผู้หญิงที่มากับเขานั่น...หนึ่งในนั้นเป็นน้องสาวเราเอง ดี้กับซีคงจำไม่ได้แล้ว เพราะเคยเจอกันครั้งสองครั้งเองมั้ง"

"ถามจริง!" ฉันกับซีอุทานขึ้นพร้อมๆ กัน

"นั่นน้องใบพลูเหรอเนี่ย เปรี้ยวจี๊ดสะใจจนจำไม่ได้เลย สวยมากด้วย!" ฉันอดไม่ได้ที่จะหันไปมองด้านในร้านเพื่อกวาดสายตาหาโต๊ะของแซคกับสองสาว แต่พวกเขาไปนั่งหลบมุมเสียไกลจนมองหาไม่เจอ ร้านนี้ค่อนข้างกว้างและตกแต่งฉากกั้นไว้จนทั่ว

"จริงๆ เรามีธุระกับใบพลูก็เลยนัดให้เขามาเจอที่นี่ เขาจะฝากของไปคืนแม่ เพราะเขาไม่ได้กลับบ้านมาเป็นเดือนแล้วล่ะ"

"น้องเขาย้ายออกจากบ้านไปแล้วเหรอ" ฉันถามอย่างแปลกใจ เพราะถึงจะอยู่ในวัยที่เรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วแต่ฉันก็รู้สึกว่าลูกสาวคนเล็กอย่างใบพลูยังเด็กอยู่เลย

พุฒิถอนใจเฮือกหนึ่งด้วยท่าทางหนักใจ "ก็อย่างที่ซีกับดี้เห็นนั่นแหละ ใบพลูมีปัญหากับที่บ้านตลอดเรื่องความประพฤติ...พูดง่ายๆ ว่ารักสนุกจนเรียกว่าใจแตกมาตั้งแต่ .ปลาย แต่ก็ดีที่ยังมีความรับผิดชอบ...ตั้งใจเรียนจนจบได้ ที่บ้านก็ได้แต่ทำใจกับเรื่องส่วนตัวเขา เรื่องที่ไปยุ่งกับแซคนี่พวกเราก็เครียดมากนะ แต่ก็เครียดเสียจนปลงกันแล้วล่ะตอนนี้ ทำอะไรไม่ได้"

ฉันเหลือบไปทางออกัสแวบหนึ่ง ก่อนจะกระซิบกับพุฒิเบาๆ เสียงเครียด มีความอยากกินเผือกเจืออยู่ในนั้นเต็มเปี่ยม "รู้ใช่ไหม...ว่าแซคเขาไม่ธรรมดา"

"ถ้าหมายถึงพฤติกรรมเรื่อง...บนเตียง ทำไมเราจะไม่รู้ แต่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ก็ได้แต่รอว่าเมื่อไหร่เขาจะเลิกกัน ไม่รู้สิ...น้องเราเคยบอกว่ามันเป็นรสนิยมส่วนตัวอย่างหนึ่งที่คนอย่างเราไม่มีวันเข้าใจ เขาเข้ากับแซคได้ในเรื่องนั้น..."

โอ... ฟังแล้วมึน โลกกลมๆ ใบนั้นมันคงเป็นที่ซึ่งมนุษย์สามัญอย่างฉันไม่อาจเข้าถึงสินะ

"เราอยากมาเจอซีกับดี้ เลยนัดให้ใบพลูมาหาที่นี่เลย เพราะรู้ว่าเมื่อคืนเขาอยู่กับแซค พอดีคอนโดฯ แซคอยู่แถวนี้"

จริงๆ แล้วพุฒิคงไม่ได้อยากพูดถึงปัญหาเกี่ยวกับน้องสาวให้ใครฟัง แต่ด้วยความที่เห็นว่าฉันเองก็รู้จักกับแซค ก็เลยคงจะคิดว่ายังไงเสียฉันก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เขาจึงพูดออกมาตรงๆ แล้วอีกอย่างดูเหมือนพุฒิเองก็อยากระบายความคับแค้นใจเรื่องนี้ให้ใครสักคนฟังด้วย

ไปๆ มาๆ เลยกลายเป็นว่าดราม่าเรื่องน้องสาวคนเดียวของพุฒิ ทำให้ฉันกับซีเห็นใจจนยอมเปิดใจให้เขาอย่างง่ายดาย ขนาดว่าซี...จากที่ตอนแรกยังอคติและเหม็นขี้หน้าเขาอยู่แท้ๆ ตอนนี้กลับมาเห็นใจและยอมเป็นมิตรด้วยอย่างไม่น่าเชื่อ

"บ้านเราเข้มงวดเรื่องการเลี้ยงลูกมาตลอด พอใบพลูเริ่มออกนอกลู่นอกทางพ่อกับแม่เลยเสียใจมาก พวกท่านรับไม่ได้เลย แต่พอมาถึงขนาดนี้แล้วยังทำอะไรไม่ได้ก็เลยต้องทำใจ เพราะตอนนี้ใบพลูย้ายออกจากบ้านและหาเงินใช้เองได้แล้ว จะห่วงก็แต่...เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้วก็ยาเสพติด"

"แต่แซคเขาไม่ยุ่งกับยานะ...เท่าที่รู้" ซีบอกด้วยท่าทางมั่นใจระดับหนึ่ง

"แล้วเรื่องโรคล่ะ..."

เราต่างก็เงียบไปอย่างพูดไม่ออก

"ที่สำคัญ...ใบพลูมีคู่หมั้นแล้ว"

"อะไรนะ!" ฉันกับซีแทบจะแหกปากลั่นพร้อมกันด้วยความลืมตัว แต่ยังดีที่ยั้งระดับเสียงไว้ได้บ้างแม้จะตกใจแค่ไหนก็ตาม

"ใบพลูรับปากกับพ่อแม่ไว้ว่าหลังจากใช้ชีวิตอิสระครบสองปี เขาจะยอมเข้าพิธีแต่งงานกับคู่หมั้นตามกำหนด นี่ก็เหลืออีกตั้งปีครึ่ง ใบพลูเองก็คงรู้ว่าแซคไม่ใช่คนที่จะจริงจังกับใคร และรู้ว่าคู่หมั้นที่ผู้ใหญ่จัดการให้คือคนที่เหมาะกับตัวเองที่สุด แต่ทีนี้...ทางเรากลัวว่าถ้าทางฝ่ายคู่หมั้นรู้เรื่องพฤติกรรมฉาวโฉ่ทั้งหมดขึ้นมา การแต่งงานก็จะถูกยกเลิกไป พ่อแม่เราไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะการแต่งงานของใบพลูกับคู่หมั้นมีความหมายต่อครอบครัวเรามากจริงๆ มันไม่ใช่แค่การแต่งงานของพวกเขาสองคน แต่มีเรื่องธุรกิจระหว่างครอบครัวและความสัมพันธ์ของผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้องด้วย"

"โหย... ฟังแล้วเครียดแทนเลย" ซีพึมพำด้วยความเห็นใจสุดซึ้ง

"ที่จริงแล้วซีกับดี้ก็รู้จักคู่หมั้นใบพลู"

"จริงเหรอ" ฉันอุทานออกมาอย่างพิศวง ก่อนจะขอกินเผือกด้วยความเกรงใจนิดๆ "บอกได้ไหมว่าใคร"

"พี่สิน"

ฉันกับซีเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง พี่สินหรือ 'สินธร' เป็นชายหนุ่มรุ่นพี่ที่แก่กว่าพวกเราสามปี ครอบครัวเขาสนิทกับครอบครัวของพุฒิมาก เมื่อก่อนฉันกับซีแอบปลื้มเขาอย่างหนัก เราได้รู้จักเขาผ่านพุฒิตั้งแต่ตอนฉันกับพุฒิยังไม่เลื่อนขั้นเป็นแฟนกัน แต่ตอนนั้นพี่สินมีแฟนแล้ว เราก็เลยแอบติ่งกันแบบเงียบๆ โดยไม่ได้คิดอะไร เท่าที่จำได้พี่สินเป็นคนเฟรนด์ลี่ แม้จะหน้าตาค่อนข้างธรรมดา แต่นิสัยดีและดูเป็นคนมีน้ำใจมาก คาดว่าตอนนี้เขาคงโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดูใช้ได้ทีเดียว...

"พี่สินเขารักใบพลูรึเปล่า" ซีขอเผือกเพิ่มขึ้นอีกระดับ

"ไม่รู้สิ เขาก็ดู...รู้สึกดีกับใบพลูมากนะตอนที่หมั้นกัน อาจจะเอ็นดูแบบน้องสาว บุคลิกเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ค่อนข้างใจดี แต่ปกติก็ไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรนักหรอก"

ฉันนึกหน้าพี่สินแล้วอดรู้สึกเห็นใจเขาอย่างสุดซึ้งไม่ได้... "ยังไงก็...ค่อยๆ หาทางแก้ไขไปนะพุฒิ เราเป็นกำลังใจให้"

พุฒิพยักหน้าให้ฉันพลางฝืนยิ้ม เขาถอนหายใจแล้วชวนเปลี่ยนเรื่อง เพราะคงรู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มจะหนักหน่วงจนเกินไปแล้ว

"รู้ไหม...แฟนเราที่เพิ่งเลิกกัน เขาเป็นติ่งหนักกว่าดี้กับซีสมัยเรียนอีกนะ"

"อ้าว... นี่แปลว่าไปได้แฟนเป็นติ่งอีกคนเหรอ เวรกรรม" ฉันพูดออกไปอย่างไม่ทันคิด

พุฒิหัวเราะ "แต่ไม่ได้มีปัญหากันเพราะเรื่องเขาตามไอดอลหรอก เลิกกันเพราะเขาถูกที่บ้านจับแต่งงานกับคนอื่น เราว่า...เรายังไม่พร้อมสำหรับชีวิตครอบครัวน่ะ พ่อแม่ฝ่ายโน้นเขาไม่อยากรอ แล้วก็มีความจำเป็นบางอย่าง... เขาเลยพาลูกสาวหนีไปจากเรา ไปแต่งกับคนที่เขาพร้อม"

และแล้วก็วนไปเจอดราม่าใหม่ของพุฒิอีกจนได้ นี่ชีวิตเขามันมีแต่ดราม่าทุกซอกทุกมุมขนาดนี้เลยเหรอ น่ากลัวจริงๆ พ่อคุณ ช่างเป็นบุคคลที่ฉันไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลย

"เธอสองคนไม่ต้องทำสายตาเห็นอกเห็นใจเราขนาดนี้หรอก" พุฒิมองหน้าพวกเราพร้อมกับทักท้วงขำๆ อย่างไม่ซีเรียส "ถึงจะมีแต่เรื่อง แต่ชีวิตโดยรวมเราก็ปกติสุขดี อย่างน้อยงานการเราก็โอเคนะตอนนี้บริษัทกำลังไปได้สวย อันลักกี้อินเลิฟแต่ลักกี้อินเกมไง"

"งั้นก็ดีแล้วล่ะ" ฉันบอกเขาอย่างโล่งใจ

"นี่ดี้ไม่เกลียดเราเลยจริงๆ เหรอ"

"หือ?"

"ก็เรานึกว่า ดี้คงเกลียดขี้หน้าเราอย่างหนักจนไม่อยากเจอกันอีกแล้วในชาตินี้"

"จำไม่ได้เหรอพุฒิ ว่าดี้เขาพูดยังไงตอนที่เธอสองคนเลิกกัน ดี้เขารู้สึกผิดด้วยซ้ำ ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นฝ่ายผิดเลยสักนิด" ซีช่วยเตือนความจำเขา หากแต่มีแววประชดประชันอย่างชัดเจน

"นั่นสินะ" พุฒิว่ายิ้มๆ

"แต่ตอนนี้ก็อย่ามาหาเรื่องจีบดี้เชียวนะ เราไม่อนุญาต"

"ทำไมล่ะ" พุฒิเลิกคิ้วหน้าเหลอ

"เรื่องที่พุฒิเลิกกับดี้ไปหาคนอื่น ดี้ไม่โกรธแต่เราโกรธมาก ยังไงก็ห้ามมายุ่งกับดี้อีก เข้าใจไหม เพราะเราไม่ให้อภัย"

"งั้นเราขอเป็นแค่เพื่อนได้ไหม"

"แค่เพื่อนห่างๆ น่ะได้"

"เราจะพยายามละกัน" พุฒิยิ้มหน้าละห้อยแบบทีเล่นทีจริง

ทั้งสองคนคุยกันเสมือนฉันไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ ในที่สุดฉันเลยต้องเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง "ถึงพุฒิมาจีบเราก็ไม่เล่นด้วยหรอก เพราะสุดท้ายก็ไปกันไม่รอดเหมือนเดิม ตอนนี้เรายังไม่เลิกติ่งเลยนะ แถมยังหาเงินเองแล้วก็เลยเปย์อย่างสบายใจกว่าเก่าอีก ว่าง่ายๆ คือหนักกว่าเดิม

"แต่กับแฟนคนล่าสุดที่เพิ่งเลิกกัน เรากับเขาเข้ากันได้ดีเลยนะ เรื่องติ่งของเขาไม่เคยมีปัญหากับเราเลย เราคอยซัพพอร์ตเขาด้วยซ้ำ"

"นี่ พูดแบบนี้ตั้งใจจะจีบดี้จริงๆ รึไง ยังไงเราก็ไม่สนับสนุนนะ ไม่โอเค" ซีรีบดักคอ

"เราก็ไม่โอเคเหมือนกัน" ฉันออกตัวสำทับคำเพื่อน

"เปล่าๆ เราไม่คิดแบบนั้นหรอกน่า แค่พูดให้ฟัง" พุฒิปฏิเสธเป็นพัลวัน แล้วก็เปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง คราวนี้เราคุยกันเรื่องงานโดยไม่มีดราม่ามากล้ำกรายอีก...

ระหว่างที่เราทานของหวานปิดท้ายของคาว แซคก็เดินเข้ามาที่โต๊ะ และนั่งลงตรงเก้าอี้ว่าง...

"ใบพลูฝากมาคืนครับ" เขาบอกพร้อมกับวางกล่องนาฬิกาแบรนด์ดังที่ราคาต่อเรือนสูงเกือบเท่าราคารถที่ฉันขับลงบนโต๊ะ "เขาบอกว่าไม่อยากทะเลาะกับคุณ เลยไม่มาคุยเอง"

พุฒิมองแซคด้วยสีหน้าแข็งขืนเล็กน้อย หากก็ถือว่าค่อนข้างราบเรียบไร้อารมณ์... "ทีหลังบอกเขาด้วยว่า อย่าหยิบฉวยของส่วนตัวคุณแม่ไปโดยพลการอีก ในเมื่อคิดว่าเป็นอิสระจากครอบครัวแล้ว...อยากได้อะไรก็ให้เขาไปซื้อเอาเอง"

"ผมเพิ่งซื้อเรือนใหม่ให้เขาแล้วครับ ไม่ต้องห่วง"

"พี่คือแซค เดอะสเตจนี่นา กัสจำได้!"

"ครับ..." แซคหันไปยิ้มให้ออกัสอย่างเป็นมิตร ใบหน้าหล่อเหลาพลันสว่างไสวเจิดจ้าและเต็มไปด้วยเสน่ห์ดึงดูด เขายิ้มยากกับคนทั่วไป แต่กับเด็กๆ เขาจะยิ้มง่ายอย่างไม่สงวนท่าที

"น้าดี้มีรูปพี่อยู่เต็มบ้านเลย ในมือถือ ไอแพด คอมฯ ก็มีแต่รูปพี่ทั้งนั้นเลยครับ!"

"ตอนนี้ไม่มีแล้วย่ะ!" ฉันรีบบอกหลังจากอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

"ไม่จริง ในไอแพดยังเหลือเต็มเลย วันก่อนกัสเล่นไอแพดน้าดี้ยังเจออยู่ตั้งเยอะ..."

"นี่แอบค้นดูรูปคนอื่นด้วยเหรอ ทีหลังไม่ให้เล่นแล้วนะแบบนี้ เสียมารยาทรู้ไหมออกัส!"

"กัสขอโทษ..." เด็กชายเสียงอ่อยหน้าจ๋อยทันควัน

"ถูกแฉแค่นี้ไม่เห็นต้องอายจนดุเด็กเลย"

ฉันตวัดตามองไปทางแซคทันควัน "ไม่ได้อายค่ะ แต่ฉันไม่พอใจ"

"ไม่พอใจอะไรจะหน้าแดงขนาดนี้..." แซคกล่าวยิ้มๆ แต่ฉันรู้สึกว่าเขาเจตนาเยาะเย้ยมากกว่าหยอกล้อ

"คืนของให้ผมเสร็จแล้วก็กลับไปหาผู้หญิงสองคนของคุณที่โต๊ะเถอะครับ"

สีหน้ายิ้มๆ ของแซคถึงกับสะดุดกึกเพราะคำพูดที่พุฒิโพล่งขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้น เขาเลื่อนไปมองพุฒิด้วยดวงตาเป็นประกายวาววับเงียบๆ แซคไม่ใช่คนที่มีอินเนอร์หรือสีหน้าดุดัน แต่เวลาไม่พอใจสายตาเขาก็น่ากลัวเหมือนกัน

"ไปสิครับ ทั้งแทมมี่และใบพลูคงรอคุณอยู่" พุฒิไล่ส่งดื้อๆ

"ครับ ผมขอตัว"

ว่าแล้วแซคก็ลุกจากไปเงียบๆ อย่างสงบเยือกเย็น แต่ฉันกลับรู้สึกได้ว่าเขาโกรธจนแทบลุกเป็นไฟไปทั้งตัว

"ไปหาเรื่องเขาทำไม ปกติมีเรื่องกับเขาแบบนี้เสมอเหรอ" ซีถามอย่างสงสัยเมื่อแซคจากไปแล้ว

"เปล่าหรอก แล้วก็ไม่เคยได้เจอกันจังๆ แบบนี้เลย แต่เมื่อกี้เราหมั่นไส้ที่เห็นเขาทำเจ้าชู้ใส่ดีดี้"

"ใช่ซะที่ไหน สองคนนี้เขาไม่ถูกกันหรอก" ซีแก้ตัวแทนฉัน

"ดีดี้กับแซคไม่ถูกกัน?"

"ใช่ เขาเคยมีเรื่องกันมาก่อนน่ะ แล้วตอนประกวดเดอะสเตจแซคก็เลยไม่ชอบใจที่รู้ว่าดี้ผันตัวจากศัตรูมาเป็นติ่งเขา เขารู้ว่าดีดี้เคยเกลียดเขามาก่อน แถมยังรู้ด้วยว่าดีดี้เคยแอบนินทาว่าร้ายเขาลับหลังอย่างหนักเลยด้วย..."

"ศรีฯ... นี่เธอจะเล่าทำไมฮึ!" ฉันเอ็ดซีพลางกลอกตาเบาๆ

"แต่ได้ยินแบบนี้เราก็ค่อยสบายใจขึ้น เพราะเราไม่อยากให้ดี้กลายเป็นเหยื่อแซคไปอีกคนเหมือนกับใบพลู" พุฒิว่าพลางมองฉันตาเชื่อมจนน่าขนลุก

"เหลวไหล... เรื่องอย่างงั้นมันจะเป็นไปได้ยังไงเล่า!"

จากนั้นเราก็พากันเปลี่ยนประเด็นสนทนาอีกครั้ง...

 


 

บทที่ 5 เด็กขี้อิจฉา

ตอนนี้โดยรวมแล้วฉันก็ยังให้ความสนใจเรื่องของแซคในฐานะแฟนคลับอยู่ ทั้งที่เขาก็ไม่ได้มีผลงานในวงการบันเทิงอีกแล้ว แม้บอกไม่ได้ว่านาทีนี้รู้สึกชอบหรือเกลียดมากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ คือยังตัดเขาออกจากความคิดไม่ได้จริงๆ ถึงส่วนใหญ่แล้วพักนี้เขาจะทำให้ฉันรู้สึกโกรธและหมั่นไส้มากกว่ารู้สึกดี แถมเวลานี้เขายังเหม็นหน้าฉันแบบคูณสาม... คือเริ่มจากตอนแรกที่แซคไม่พอใจเพราะฉันโผล่ไปเห็นเขาตอนมีเซ็กซ์กับผู้หญิงสองคนโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ทำท่ารังเกียจแถมเอาเรื่องเขาไปนินทา จากนั้นเขาก็รู้สึกไม่ดีที่เห็นว่าฉันผันตัวไปเป็นแฟนคลับเอาดื้อๆ ส่วนตอนนี้...มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะเกลียดฉันเพราะระแวงเรื่องมรดกของป้ามัท

แต่ฉันก็ยังค่อนข้างรู้สึกดีแบบใจฟูและตื่นเต้นเบาๆ เวลาเห็นหน้าเขาอยู่นั่นเอง จิตใจมนุษย์นี่ซับซ้อนชะมัด ขนาดตัวฉันเองยังไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเท่าไหร่เลย...

ตอนประกวดเดอะสเตจ มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่แซคมีโอกาสแสดงความสามารถในการร้องเพลงและเล่นเปียโน เขาเลือกโชว์เพลงที่ฉันชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กบนเวทีดังกล่าว ฉันนี่ดูโชว์ของเขาตอนนั้นแล้วเหมือนโดนอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่กลางใจอย่างแรง จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ร้องเพลงเพราะอย่างน่าตกตะลึง ไม่ได้เล่นเปียโนเก่งระดับมืออาชีพ แต่ความเหงาและความอ้างว้างที่เขาถ่ายทอดผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ออกมานั้น มันมีเสน่ห์อย่างรุนแรงจนสามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของชายหนุ่มรักสนุกที่ชีวิตเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด ให้กลายเป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่แสนโรแมนติกและน่ารักน่าเอ็นดูจนผู้ชมมากมายต่างก็พร้อมจะโอบกอดเขาไว้ในอ้อมแขนได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ตอนนั้นฉันบอกตัวเองว่าฉันตกหลุมรักเขาเข้าแล้วจริงๆ และพร้อมจะสนับสนุนทุกผลงานของเขาไปให้นานที่สุด...

ทว่าในเมื่อตอนนี้แซคไม่ได้มีผลงานอะไรมาให้ฉันสนับสนุนอีกแล้ว อีกทั้งยังมีกรณีพิพาทระหว่างฉันกับเขาเกิดขึ้นด้วย อีกไม่นานฉันคงเลิกสนใจเขาไปเอง หรือไม่...อีกไม่นานเขาคงทำให้ฉันเกลียดจนไม่เหลือความประทับใจที่เคยมีอยู่เลย...

"ขอโทษจริงๆ ที่ป้าห้ามแซคไม่ได้"

ป้ามัทกล่าวกับฉันด้วยท่าทางเสียใจเมื่อพบว่าตอนนี้ได้เกิดข้อผิดพลาดไม่คาดคิดบางประการขึ้น นั่นก็คือ...แซคจะมาเจอป้ามัทที่นี่โดยไม่ได้บอกล่วงหน้ามาก่อน

วันนี้ป้ามัทขอให้ฉันขับรถพาแกมาดูบ้าน หรือถ้าให้ถูกน่าจะเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า เพราะเป็นบ้านหลังใหญ่โตมโหฬารที่หรูหราและมีเนื้อที่กว้างขวางราวกับพระราชวัง บ้านแสงวสุเพิ่งได้รับการบูรณะฟื้นฟูจนแล้วเสร็จไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ป้ามัทยังไม่เคยพูดให้ฉันฟังว่าแกจะย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แต่อย่างใด

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ใช่ความผิดป้ามัทสักหน่อย แต่ถ้าแซคจะมาจริงๆ ดี้ขอตัวก่อนดีกว่านะคะ"

"ป้าเสียใจที่ทำให้หนูต้องเสียเวลาออกมาเสียเที่ยว ทั้งที่สัญญาจะพาหนูไปเลี้ยงข้าวเที่ยงแท้ๆ"

"โธ่ เรื่องแค่นี้เอง ไว้คราวหน้าก็ได้ค่ะ ยังไงวันนี้ก็ว่างทั้งวัน ดี้ยินดีมาส่งป้ามัทอยู่แล้ว"

ป้ามัทมองหน้าฉันพลางถอนใจเฮือก "ป้าก็ย้ำละว่าไม่ต้องเข้ามา แต่เขาก็ดึงดันจะมาให้ได้ บอกว่าขับรถออกมาแล้ว"

ป้ามัทพูดยังไม่ทันขาดคำก็มีรถแล่นมาจอดที่หน้าตึก...

"ตายจริง ทำไมเร็ว แสดงว่าตอนโทรมาเขาอยู่แถวนี้แล้วสิ แซคนี่นะ น่าตีจริงๆ!" ป้ามัทอุทานแกมบ่นหลานชาย

ท่าทางหมอนี่คงกลัวฉันแย่งสมบัติจนตัวสั่น พอรู้ว่าป้ามัทพาฉันมาดูบ้านก็เลยรีบแจ้นมากันท่าแทบไม่ทัน!

ฉันประคองป้ามัทเดินออกไปตรงเทอร์เรซ มองร่างสูงใหญ่ของแซคก้าวออกมาจากรถสีดำคันหรูแล้วเดินขึ้นบันไดหน้าตึกมายืนประจันหน้ากับเรา...

"บอกแล้วว่าไม่ต้องมา!" ป้ามัททำเสียงแข็งใส่ในทันใด "ชอบยุ่งไม่เข้าเรื่อง"

แซคพลันหัวเราะด้วยน้ำเสียงดังกังวานน่าฟังอย่างไม่นำพาการดุของคุณยาย... จริงๆ ฉันควรจะรังเกียจเสียงหัวเราะของเขามากกว่าที่จะคิดว่ามันน่าฟัง แต่ว่า...ก็ช่างเถอะ หลอกตัวเองไปก็ไร้ประโยชน์ ตอนนี้อาจจะยังไม่เกลียดแต่อีกไม่นานฉันก็เกลียดเองนั่นแหละ

"เมื่อไหร่คุณยายจะเลิกพูดแบบนี้เวลาเจอผมซะที"

"ก็เมื่อเธอเลิกยุ่งกับฉันไงล่ะ!"

"แล้วผมจะเลิกยุ่งกับคุณยายได้ไง ในเมื่อคุณยายเป็นยายผม"

"แม่เธอเขายังลืมไปแล้วเลย ว่ามีฉันเป็นแม่"

"ผมกับคุณแม่มันคนละคนกันนะครับ อย่าเหมารวม" แซคกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แต่ป้ามัทกลับมองค้อนเหมือนไม่สนใจความรู้สึกเขา

"งั้น...ดี้กลับก่อนนะคะป้ามัท" ฉันถือโอกาสบอกลาในจังหวะนั้น

"อ้าว... แล้วคุณจะรีบไปไหน"

"ยังจะมีหน้ามาถาม พอเรามาดีดี้เขาก็ต้องรีบเผ่นน่ะสิ ก็เขาเกลียดขี้หน้าเรา" ป้ามัทบอก แต่นั่นมันตรงกันข้าม แซคต่างหากที่เกลียดขี้หน้าฉัน ส่วนฉัน...ต้องถือว่าไม่เกลียดเขาเท่าที่ควรด้วยซ้ำ "ยายกับดีดี้อยู่ด้วยกันดีๆ แท้ๆ ไม่รู้จะมาทำคนอื่นเขาเสียอารมณ์ทำไม"

แซคมองมาทางฉันพร้อมกับเบ้ปากใส่นิดหนึ่งอย่างไร้มารยาท... แต่ตอนนี้นะ...ฉันว่าฉันเริ่มจะชินชากับปฏิกิริยาในเชิงลบทำนองนี้ของเขาแล้วล่ะ มันเหมือนกับเด็กเหลวไหลที่เราไม่ควรเสียเวลาไปถือสาหาความไม่มีผิด!

ก่อนที่แซคจะประกวดเดอะสเตจ ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาฉันคือ เขาเป็นชายหนุ่มมาดเข้มที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแบบเดียวกับคุณท็อปและคุณไอซ์ บางครั้งเขาดูเคร่งขรึมและเย็นชาจนหน้าแก่กว่าอายุไปหลายปี ขนาดที่เคยทำให้ฉันเข้าใจผิดว่าเขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณไอซ์ด้วยซ้ำ แต่ครั้นพอเขาลงประกวดเดอะสเตจ ฉันก็ได้เห็นแง่มุมต่างๆ ในตัวเขาชัดเจนและละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มมองเห็นความเป็นเด็กน้อยในตัวเขามากขึ้นทุกที กระทั่งรู้สึกว่าบางมุมของเขาดูเป็นเด็กกว่าอายุจริงในตอนนั้นเสียด้วยซ้ำ จนมาถึงตอนนี้ฉันก็รู้สึกชัดเลยว่าหมอนี่มันเด็กน้อยไร้เดียงสาชัดๆ แถมยังเป็นเด็กขี้อิจฉาที่เอาแต่ใจและไม่รู้จักโตอีกต่างหาก!

"แล้วเย็นนี้ยายก็มีนัดจะไปกินข้าวกับดีดี้และเพื่อนเขาด้วย นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ดีดี้จะพายายไปเจอเพื่อนชาย"

"คุณมีแฟนด้วยเหรอ" แซคหันมาถามฉัน แต่ฉันไม่ทันตอบป้ามัทก็ช่วยตอบแทน...

"ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่เขาเคยเป็นแฟนเก่าสมัยเรียน ยังไงยายก็อยากไปทำความรู้จักกับเพื่อนคนนี้ของดีดี้เอาไว้ เลยไม่อยากให้ดีดี้หนีกลับก่อน" ป้ามัทอธิบายละเอียดลออ "อ้อ... จริงสิ ดีดี้บอกว่าเขาเป็นพี่ชายของแฟนแซคด้วยนี่ แฟนคนไหนเหรอ ยายเคยเจอไหม"

"ใบพลู?" แซคพูดพลางมองหน้าฉันเป็นเชิงถาม ฉันเลยพยักหน้า

"เห็นว่าเป็นเด็กเหลวไหลที่ทำให้ทางบ้านปวดหัวกันมาก แล้วยิ่งตอนนี้เขามาคบกับเธอ..." ป้ามัทพูดพลางมองหน้าแซคด้วยสายตาตำหนิติเตียนแกมกล่าวหา "ที่บ้านคงต้องทำใจอย่างหนัก"

"แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว"

"แล้วเรื่องที่เขามีคู่หมั้นล่ะ เธอรู้ไหม"

"..."

"การที่เขานอกใจคู่หมั้นมาคบกับเธอ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยรึไง"

"ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขามีคู่หมั้น ใครบอกคุณยายหรือครับ"

"..."

"อ้อ... คงจะเป็นคนขี้นินทาแถวนี้สินะ นิสัยเสียไม่เคยเปลี่ยนเลย..."

ฉันสะอึกอย่างจังกับคำพูดและสายตาของเขา รู้สึกเลยว่าหน้าตัวเองคงเผือดลงเล็กน้อย แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องออกปากยอมรับผิด เพราะที่เขาพูดมันก็เถียงไม่ออกจริงๆ "ฉัน...ขอโทษ"

"ไปขอโทษเขาทำไมดีดี้ หนูก็แค่เล่าให้ฟังตามที่ป้าถาม ไม่ได้นินทาอะไรมากมาย" ป้ามัทรีบให้ท้ายฉัน "แล้วแซคน่ะ ตกลงว่าเราจะไม่ร้อนใจเรื่องที่เด็กคนนั้นมีคู่หมั้นเลยรึไง "

"มันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขานี่ครับ ถ้าเขาอยากให้ผมรู้เขาก็คงบอกเอง ผมก็ไม่ได้บอกทุกเรื่องกับเขา"

"โอ๊ยยย... ฟังพูดเข้า นี่มันความคิดอะไรของเธอ ฉันนี่ไม่อยากจะเชื่อเลย!" ป้ามัทโอดครวญออกมาพร้อมกับทำท่าเหมือนอยากจะเป็นลม

"แล้วนี่...ทำไมคุณยายต้องพาดีดี้มาดูบ้านเราด้วย" แซคเอ่ยปากไปเรื่องใหม่

"บ้านเรา?"

"ผมก็หมายถึงบ้านหลังนี้ไง เพราะบ้านคุณยายก็ต้องเป็นบ้านผมด้วย หรือไม่ใช่"

"เธอคงเข้าใจผิดแล้วล่ะจ้ะ" ป้ามัทตอกกลับหน้าตาเฉยพร้อมกับมองคนพูดอย่างหมั่นไส้ "อย่ามั่นใจเกินไปหน่อยเลยนะแซค ใครบอกว่ายายจะยกบ้านนี้ให้เรา"

"ถึงไม่ยกให้ตรงๆ แต่ถ้าคุณยายเป็นอะไรไป...สุดท้ายแล้วมันก็ต้องเป็นของผมอยู่ดีไม่ใช่หรือครับ"

"มันจะมากไปแล้วนะไอ้เจ้าเด็กคนนี้ มาแช่งให้ฉันตายดื้อๆ เลยเรอะ!"

พอเห็นป้ามัทโกรธแซคก็หัวเราะร่วนเหมือนดีใจที่ยั่วโมโหคุณยายได้ "ไม่ได้แช่งครับ ผมแค่พูดความจริง"

"มันอาจจะไม่จริงก็ได้ อย่าเพิ่งด่วนสรุปดีกว่า" ป้ามัทบอกเขาด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มเยาะนิดๆ แต่แซคทำเหมือนไม่สนใจท่าทีผิดสังเกตดังกล่าว ทั้งที่ฉันรู้ดีว่าเขาเองก็ระแวงฉันจะตายอยู่แล้ว คุณพริ้งบอกเสมอว่าแซคนั้นไม่ธรรมดา เขาถือเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นชัดเจนว่าคุณไอซ์คิดยังไงกับคุณพริ้ง ทั้งยังช่วยหาทางพิสูจน์ความสงสัยของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญ...วิธีการพิสูจน์ของแซคกลางทะเลครั้งนั้นยังทำให้คุณพริ้งหวั่นไหวต่อการกระทำของคุณไอซ์อย่างรุนแรงด้วย

"ดีดี้" เขาเรียกพร้อมกับจ้องหน้าฉัน "ถ้าคุณหนีกลับก่อนตอนนี้...แปลว่าไม่แน่จริง"

"แล้วทำไมฉันต้องแน่จริงด้วย" ฉันมองหน้าอย่างกล่าวหาว่าเขาไร้สาระ

"ก็การที่คุณไม่ยอมอยู่กับคุณยายต่อ เมื่อมีบุคคลที่สามมาร่วมวงด้วย ผมถือว่าคุณมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เพราะแสดงว่าเวลาอยู่ตามลำพังกับคุณยายคุณอาจจะคอยเป่าหู ปลุกปั่น และสร้างเรื่องหลอกลวงคนแก่ พอผมอยู่ด้วยคุณก็ไม่สะดวกที่จะทำเรื่องพวกนั้น เพราะไม่อยากโดนจับผิด"

"นี่เธอเห็นฉันเป็นยายแก่หน้าโง่รึไงฮึ!" ป้ามัทถลึงตาใส่แซคฉันเนี่ยนะจะถูกเด็กอย่างดีดี้ปลุกปั่น

เด็กที่ไหน เขาแก่กว่าผมซะอีก สามสิบแล้วมั้งแซคพูดหน้าตาเฉยพร้อมกับปรายตามองมาทางฉันด้วยท่าทางน่าตบมากเลย

แต่เทียบกับฉันแล้วดีดี้ก็ยังเด็ก ฉันไม่ใช่ยายแก่ที่จะโดนเด็กคราวหลานหลอกง่ายๆ หรอกย่ะ

"ไม่รู้สิครับ แต่ที่ผมรู้สึกก็คือคุณยายไว้ใจคนอื่นมากเกินไป ซึ่งมันอันตรายมาก บางคนทั้งที่หน้าตาใสซื่อ...จนบื้อ แต่จริงๆ ร้ายจะตาย"

ฟังแล้วมันแทงใจดำฉึกๆๆ จี๊ดในอกจนหน้ามืดตาลาย... นี่ฉันควรรู้สึกยังไงกับปฏิกิริยาทั้งหมดนี้ของแซคดี บอกตรงๆ ว่ามึนงงไม่ใช่น้อย นี่จะจงเกลียดจงชังอะไรกันขนาดนี้เนี่ย!

"ดีดี้ไม่อันตรายเท่าลูกหลานในไส้ของฉันเองหรอก" ป้ามัทออกอาการเยาะหยันทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

"อ้าว... คุณยายเล่นพูดแบบนี้ผมก็เสียใจตายเลย น้อยใจชะมัด"

"ไม่ต้องมาตีหน้าเศร้าหรอกแซค ถ้าเธออยากได้สมบัติของยายจริง ก็ต้องพิสูจน์ให้ยายเห็นว่าเธอคู่ควรที่จะได้รับมัน ไม่ใช่มาคอยเตะขัดขาคู่แข่ง แล้วยิ่งดีดี้...ดูสิเนี่ย พี่เขาจะเอาอะไรไปสู้กับเธอ"

พี่?” แซคเลิกคิ้วทวนถาม หันมาทำหน้ากวนตีนใส่ฉันอีกครั้ง มองหัวจดเท้าแบบไร้ซึ่งมารยาท ชนิดที่คนถูกมองอย่างฉันต้องชาดิกไปชั่วขณะนอกจากอายุแล้วมีตรงไหนบ่งบอกว่าเขาเป็นพี่ผมบ้าง ไม่เห็นมีเลย...”

ฉันผงะอย่างแรงเมื่อเขาเว้นจังหวะคำพูดพร้อมกับหยุดสายตาไว้ตรงหน้าอกที่แบนราบของฉันอย่างไม่เกรงใจ... สายตาชนิดนั้นทำให้ฉันเบิกตาอย่างตกใจพร้อมกับถอยไปข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัวมันจะมากไปแล้วนะ!”

แซคยิ้มพลางไหวไหล่เบาๆ อย่างไม่แยแส แล้วก็หันไปหาป้ามัทสรุปวันนี้ผมไปด้วยนะครับ

แต่ฉันจะบอกให้นะ ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกแซค ยังไงเธอก็แพ้คู่แข่งอย่างดีดี้ทุกทาง เพราะยายรักดีดี้มากกว่าเธอ

"เอ่อ... เดี๋ยวนะคะป้ามัท ดี้ไม่ใช่คู่แข่งแซคนะคะ..."

"มันจะไม่ใช่ได้ยังไง ในเมื่อยายตั้งใจจะยกมรดกให้ดีดี้จริงๆ"

ฉันเบิกตาโตด้วยความตกใจอีกคำรบ แต่ดูเหมือนคราวนี้แซคจะตกใจยิ่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด

"ไม่ได้นะครับคุณยาย!" แซคออกปากคัดค้านทันควันด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวจนฉันผวาคุณยายอย่าทำแบบนั้น ยังไงก็ทำไม่ได้!”

"ทำไมจะไม่ได้ ก็ในเมื่อมันเป็นสมบัติของยาย ยายจะยกให้ใครมันก็เรื่องของยาย" ป้ามัทลอยหน้าพูดอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า

แซคออกอาการกัดฟันกรอดด้วยสีหน้าถมึงทึงขึ้นทันที ท่าทางเขาโกรธจัดจนฉันชักไม่สนุกด้วยแล้ว...

"ดีดี้!" ในที่สุดเขาก็หันมาตะคอกฉันเบาๆ ทำเอาฉันสะดุ้งโหยง "คุณไปเป่าหูจนทำให้คุณยายตัดสินใจแบบนี้ใช่ไหม!"

"หยุดเลยแซค ดีดี้ไม่ได้พูดหรือทำอะไรทั้งนั้น เรื่องนี้ยายคิดและตัดสินใจเอง"

"แต่ที่คุณมาตีสนิทและคอยวนเวียนอยู่ใกล้ๆ คุณยายมาตลอดสามปี ก็คงเป็นเพราะต้องการสมบัติคุณยายมาตั้งแต่แรก!" แซคไม่สนใจคำพูดของป้ามัท แต่ยังโจมตีฉันอย่างต่อเนื่อง

"ฉันเปล่านะ!" ฉันปฏิเสธลั่นด้วยความตกใจ

"ไม่ต้องมาโกหก!"

"แซค หยุด หยุดเดี๋ยวนี้เลย!" ป้ามัทตวาดเขาพร้อมกับขยับเข้าไปหาเขาก้าวหนึ่งเพื่อจะเอื้อมมือตีแขนเขาโดยแรง ทำเอาแซคสะดุ้งและมองเหมือนไม่อยากเชื่อว่าป้ามัทจะทำร้ายเขาได้ลงคอ "ยายก็บอกแล้วไงว่าอย่าหาเรื่องดีดี้ ยายตัดสินใจของยายเองเพราะยายรักดีดี้ และเชื่อว่าดีดี้รักยายอย่างจริงใจ ถ้าเธออยากได้ส่วนแบ่งสักครึ่งหนึ่ง...ก็หาทางพิสูจน์ให้ยายเห็นความจริงใจของเธอก่อนสิ"

"ความจริงใจอะไร!" แซคถามด้วยท่าทางเดือดๆ "ผมต้องการให้คุณยายยกสมบัติที่มันควรจะเป็นของผมอย่างชอบธรรมให้กับผม นี่มันต้องมีความจริงใจอะไรให้ต้องพิสูจน์ด้วยหรือครับ!"

จริงๆ ที่แซคพูดมันก็ถูกของเขานะฉันว่า ในโลกนี้คงไม่มีใครเขาทำอย่างป้ามัทแน่ๆ ถึงมีก็น้อยมาก

"ยายอยากเห็นความจริงใจที่ว่า แซครักยายมากกว่าทรัพย์สินเงินทองที่ยายมีไงล่ะ"

เกิดความเงียบงันขึ้นอย่างฉับพลัน ฉันได้แต่มองสีหน้าแน่วแน่แกมท้าทายของป้ามัท สลับกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคร่งเครียดระคนอัดอั้นของแซค ขณะที่ทั้งสองจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ในใจฉันพลันเกิดความรู้สึกว่า...สถานการณ์ดังกล่าวนี้ฉันควรจะสงสารหรือเห็นใจใครมากกว่ากันดี...

แต่อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่แซคจะรักป้ามัทมากกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมด ไม่มีทางหรอก...

จังหวะนั้นมีรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาภายในรั้วบ้าน เป็นรถกระบะของครอบครัวคนงานที่เป็นผู้ดูแลบ้านหลังนี้ให้ป้ามัท ซึ่งด้านหลังรถบรรทุกของมาอย่างเต็มอัตรา

ตอนฉันกับป้ามัทมาถึงบ้านนี้เมื่อกว่าสองชั่วโมงก่อน คนงานกำลังจะออกไปซื้อของเพื่อการจัดสวนพอดี และตอนนี้พวกเขากลับมาแล้ว ครอบครัวดังกล่าวมีกันทั้งหมดสี่คน ประกอบไปด้วยพ่อแม่ที่อยู่ในช่วงวัยห้าสิบกลางๆ กับลูกสาววัยมัธยมสองคน

สรุปแล้วฉันตัดสินใจอยู่ที่นี่ต่อโดยไม่หนีกลับ พอป้ามัทปลีกตัวไปคุยกับคนงานแซคก็เดินหนีไปอีกทาง คงต้องการไปหาที่สำหรับสงบสติอารมณ์ตามลำพัง ฉันเลยเดินเข้าบ้านไปหาเครื่องดื่มจากตู้เย็นดับกระหาย ฉันหยิบน้ำส้มออกมาดื่มจนหมดไปขวดหนึ่ง แล้วถืออีกขวดติดมือมาด้วย...

บ้านหลังนี้กว้างมาก พื้นที่ใช้สอยน่าจะมากกว่าบ้านพ่อแม่ฉันเกินกว่าห้าเท่า แต่ฉันกลับรู้สึกว่าบ้านเล็กๆ ของตัวเองน่าอยู่กว่าหลายเท่า การที่ป้ามัทตัดสินใจรีโนเวตบ้านหลังนี้ใหม่หมดทุกตารางนิ้วแม้กระทั่งรั้ว ก็อาจจะหมายความว่าแกคิดย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ หรือไม่ก็ตั้งใจจะขาย... จะว่าไปก็เป็นไปได้ยากที่ป้ามัทคิดย้ายเข้ามาอยู่เอง เพราะมันกว้างเกินไปจนดูวังเวง และน่าจะทำให้เหงาแทบขาดใจสำหรับคนแก่ตัวคนเดียว ต่อให้มีคนงานเต็มบ้านก็เถอะ

ถึงจะโสดสนิทมาเกือบสิบปี แต่ฉันคิดเสมอว่าถ้ามีโอกาสแต่งงาน ฉันก็อยากจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ กับครอบครัวอย่างอบอุ่น บ้านเล็กๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนพ่อแม่ลูกก็สามารถส่งเสียงเรียกและมองหากันเจอได้ไม่ยาก...

ตอนนี้อารมณ์ฉันเองก็สงบลงแล้ว ตอนที่ปะทะกันเมื่อครู่...ความรู้สึกรังเกียจและหวาดผวาต่อความโลภของแซคทำให้ฉันเกลียดเขาจับใจ แต่พอเวลาผ่านไปสักครู่ความรู้สึกดังกล่าวก็จางลง นี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าจริงๆ แล้วฉันนี่โกรธใครยากแถมยังหายง่ายขนาดนี้ด้วย หรืออาจจะเลือกปฏิบัติเฉพาะกับแซคก็เป็นได้ ในฐานะที่เขาเคยเป็นไอดอลที่ฉันรักจับใจมาก่อน... โถถถ...ชีวิตติ่ง!

ฉันเดินถือน้ำส้มเย็นเจี๊ยบตามหาแซคจนเจอเขาตรงเฉลียงด้านหนึ่ง ร่างสูงกำลังยืนพิงเสามองออกไปในสวนร่มรื่นข้างตัวบ้าน เขาหันขวับมามองอย่างไม่สบอารมณ์ตอนที่ฉันก้าวเข้าไปหาแล้วส่งน้ำส้มให้ แถมยังมองหน้าฉันโดยไม่ยอมยื่นมือมารับ ฉันเลยเอาไปเปิดฝาแล้วส่งให้ใหม่ คราวนี้อีกฝ่ายรับไปแล้วดื่มน้ำส้ม 290 ซีซีรวดเดียวหมดขวด แล้วถือขวดเปล่าไว้ในมือพร้อมกับมองหน้าฉัน...

"มันคงยากมากสินะ ที่จะตัดใจจากทรัพย์สมบัติของคุณยาย แค่มาเห็นบ้านหลังนี้คุณก็คงตื่นเต้นตาโต ความโลภคงครอบงำจนขาดสติ"

"ที่พูดนี่หมายถึงฉันหรือคุณ"

"ผมไม่จำเป็นต้องตื่นเต้นหรือตัดใจ เพราะทั้งหมดนี้มันควรต้องเป็นของผมโดยชอบธรรมอยู่แล้ว"

จ้ะ...พ่อคนงกแห่งปี ซึ่งก็คงต้องนับถือในความตรงไปตรงมาอย่างไม่คิดจะสร้างภาพของเขาจริงๆ แต่มันก็น่าแปลกมากที่ฉันกลับไม่ค่อยรู้สึกถึงรังสีของความโลภโมโทสันจากอินเนอร์ของเขาเลย ไม่รู้สึกเลยสักนิดจริงๆ หรือมันอาจเป็นเพราะ...ความรู้สึกในแง่ดีที่ฉันมีต่อเขามันทำให้หน้ามืดตามัว?

"รู้ไหม...ฉันเองก็ไม่คิดจะตัดใจเหมือนกัน" ฉันโพล่งออกไปหน้าตาเฉย

คราวนี้แซคมองฉันด้วยสายตาแข็งกร้าวขึ้นทันควัน แต่ฉันก็ยังไม่รู้สึกถึงความกระเหี้ยนกระหือรือในสมบัติพัสถานของเขาเท่าที่ควรเป็นอยู่นั่นเอง อย่างมากก็รู้สึกแค่ว่าเขาเป็นเด็กขี้อิจฉา... นี่ฉันคงมองเขาในแง่ดีมานานหลายเดือนเกินไปจริงๆ สินะ ถึงได้หน้ามืดตาบอดปานนี้ ทั้งที่ก็เห็นๆ อยู่ว่าแซคแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหิวเงินและหวงสมบัติระดับไหน

ทว่า...มันก็ควรหวงอยู่หรอก ขนาดพี่น้องสายเลือดเดียวกันเขายังฆ่ากันตายได้เพราะมรดกมาแล้วนับไม่ถ้วน นับประสาอะไรกับคนอื่นอย่างฉัน ลูกหลานป้ามัทแท้ๆ อย่างแซคก็ย่อมต้องยอมไม่ได้อยู่แล้ว เอาเป็นว่า...ถ้าฉันถูกฆ่าตายไปตอนนี้ก็อย่าได้เคลือบแคลงสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือใคร!

"แต่สาบานได้ว่าฉันไม่ต้องการมรดกอะไรนี่เลย"

"..."

"ไม่ต้องทำหน้าเหยียดหยามเหมือนไม่เชื่อ"

"แล้วจะให้เชื่อว่าคุณไม่หวังสมบัติคุณยายเลยเนี่ยนะ" เขามองอย่างดูแคลนและออกอาการเยาะหนักกว่าเดิม ซึ่งก็สมควรแล้วล่ะ...

"ที่ฉันจะไม่ตัดใจ ก็เพราะเป็นห่วงป้ามัท"

"..."

"ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยอยากจะยุ่งกับเรื่องนี้เลย ฉันพยายามปฏิเสธตลอดเวลาที่ป้ามัทพูดถึงเรื่องจะยกมรดกให้ แต่พอมาเห็นคุณทำท่าโลภมากอยากได้ขนาดนี้ ฉันคงไม่ยุ่งไม่ได้แล้ว"

"หมายความว่าไง"

"ฉันอาจจะรู้จักป้ามัทมาแค่สามปี แต่ฉันก็รักและเคารพป้ามัทเหมือนญาติแท้ๆ แล้วสามปีมานี้ป้ามัทก็ไม่มีใครเลยจริงๆ นอกจากฉัน ถ้าฉันหันหลังให้แกซะ ก็เท่ากับว่าฉันละทิ้งคนคนหนึ่งที่รักฉันอย่างแท้จริงไปอย่างไม่ดูดำดูดี แล้วก็ปล่อยให้แกต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางลูกหลานที่หิวเงิน...แต่ไม่ได้รักแกจริงเลยสักนิดเดียว"

"..."

"ต้องขอโทษจริงๆ ที่ฉันคงปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้"

แซคจ้องหน้าฉันด้วยดวงตาวาบวับอย่างน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เอาล่ะ...ฉันว่าตอนนี้ฉันรู้สึกถึงความหน้าเลือดของเขาขึ้นมาบ้างแล้ว ทำเอาเสียวสันหลังวาบๆ อย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

"ไม่อยากเชื่อเลยว่าคุณจะเป็นคนดื้อด้านแบบนี้" สายตาเขาบอกชัดเลยว่าเกลียดฉันเข้าไส้! "แล้วไม่ต้องพยายามมาพูดเสมือนตัวเองเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ ไม่มีทางที่ผมจะเชื่อว่าคุณทำไปเพราะรักและเป็นห่วงคุณยายจริง คุณก็แค่คนหิวโซที่ต้องการเงิน"

ถามจริง หน้าตาฉันออกอาการให้รู้สึกแบบนั้นจริงเหรอ

ก็...ไม่หรอกเขาตอบ จ้องตาฉันเขม็ง ฉันมองกลับเหมือนไม่หวั่นไหว ทั้งที่ใจสั่นในระดับแผ่นดินไหวที่ทำตึกถล่มได้ทั้งเมือง

แล้วทำไมคุณดูปักใจเชื่อแบบนั้น

ผมก็ดูจากการกระทำ

ฉันถอนใจเบาๆ พลางพยักหน้ารับรู้อย่างปลงๆ ดูแล้วต่อให้ฉันแก้ตัวยังไงแซคก็คงไม่ฟังแน่นอน

"ผมเองพอจะเข้าใจ ในเมื่อคุณเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยเหลือเฟือ ความฝันอย่างหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่า...อยากมีเงินทองไว้ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยตามสบาย เงินเดือนที่ไอซ์ให้มันก็คงไม่พอใช้ละมัง"

"ถ้าจะหาว่าฉันหน้าเงิน แล้วอย่างคุณล่ะจะเรียกอะไรดี ไม่ใช่เพราะหิวเงินหรอกหรือถึงได้ลงทุนมาตอแยคุณยายที่ตัวเองไม่เคยสนใจไยดีมาก่อน"

"รู้ได้ไงว่าผมไม่เคยสนใจคุณยาย"

"คุณก็อาจจะเคยสนใจท่านอยู่หรอก แต่ก็คงรองจากเรื่องสนุกอื่นๆ อีกสารพัดในชีวิตคุณ ไม่งั้น...ท่านก็คงไม่ต้องเหงาจนมาไว้ใจและสนิทกับฉันได้"

"ถ้าอยากจะแขวะเรื่องที่ผมมั่วผู้หญิง ก็พูดมาตรงๆ เลยดีกว่า"

"ฉันหมายถึงรวมๆ อย่าร้อนตัว!"

"แต่เวลาที่คุณพูดแบบนี้ทีไร ผมกลับรู้สึกเหมือนคุณกำลังอิจฉาสาวๆ ที่ได้ขึ้นเตียงกับผม ซึ่งคุณก็เคยเห็นมาแล้วกับตาว่าผมทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้ขนาดไหน คุณอาจจะฝังใจจนลืมไม่ลง..."

"ทุเรศ!"

แซคยิ้มเหมือนรู้สึกพอใจขึ้นมาทันทีที่ทำให้ฉันผวาจนเสียอาการได้ในที่สุด

"เอาเป็นว่า...ยังไงคุณยายก็เป็นยายของผม คุณต่างหากที่เป็นคนอื่นแต่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง สิ่งที่คุณควรทำตอนนี้ก็คือวางมือแล้วถอยออกไปซะ"

ฉันพยายามอดทนฟังเขาอย่างใจเย็น ทั้งที่หัวร้อนแทบมอดไหม้ พยายามจะไม่บ้าตามเขามากไปกว่านี้ เคยมีคนบอกไว้ว่า...เวลาเห็นคนสองคนทะเลาะกัน เราจะได้เห็นคนบ้าสองคน แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งระงับอารมณ์และเลิกตอบโต้ได้ก่อน คนบ้าที่เราเห็นก็จะเหลืออยู่คนเดียว คิดได้ดังนั้นฉันจึงพยายามสงบสติอารมณ์มากขึ้น...

"อันที่จริงฉันแก่กว่าคุณตั้งเยอะ คุณไม่ควรมายืนด่าฉันปาวๆ แบบนี้นะรู้ไหม"

"ผมเตือน ไม่ได้ด่า"

"ยังจะเถียง คุณกำลังกลัวว่าจะถูกฉันแย่งสมบัติ ก็เลยทั้งด่าทั้งหาเรื่องทั้งดูถูกฉันสารพัด นี่อย่าบอกนะว่าไม่รู้ตัวเลย งั้นก็ดึงสติหน่อยสิ"

ฉันกล่าวกับเขาด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น และมองเขาด้วยสายตาราบเรียบยิ่งขึ้นแบบไม่มีอารมณ์เจือปน ทำท่าเหมือนผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็กเล็กๆ ที่จริงฉันไม่ได้ตั้งใจจะกวนตีนเลย แต่บางทีท่าทางเหวี่ยงๆ อย่างข่มโทสะไม่ได้ของเขามันก็น่าเอ็นดูจนน่าหาเรื่องแกล้ง...

"แล้วที่จริงคุณก็ควรจะให้เกียรติฉันสักนิด น่าจะเรียกฉันพี่ด้วยซ้ำ"

"เรียกคุณว่าพี่เนี่ยนะ" เขาทวนถามอย่างไม่อยากเชื่อ พร้อมกับทำหน้าเหมือนอยากจะขำกลิ้ง ตาคมกริบมองฉันหัวจดเท้าอย่างไม่เกรงใจอีกครั้ง ฉันอาจจะเตี้ยกว่าเขาเกือบหนึ่งฟุต แต่ว่า...เลวมากเลยที่มองกันด้วยสายตาดูแคลนในความเตี้ยขนาดนี้!

"ยิ่งถ้า...ป้ามัทรับฉันเป็นลูกบุญธรรมจริงๆ ฉันก็จะมีศักดิ์เป็นน้องสาวแม่คุณเลยนะ ไหน...แซคคารี... ลองซ้อมเรียกคุณน้าดูสิคะ" ปกติฉันอาจไม่ใช่คนกวนประสาทอะไรนัก แต่ก็อย่าให้หมั่นไส้ขึ้นมาละกัน แล้วยิ่งกับแซค บอกไม่ถูกเลยว่าทำไมเคมีของเขาเข้ากับเคมีส่วนนี้ของฉันอย่างประหลาด

"มันจะมากไปแล้วนะดีดี้" เขาหรี่ตามองฉันอย่างเอาเรื่อง แต่เวลานี้ฉันหาได้สนใจไม่

"พูดจาไม่มีหางเสียงไม่พอ ยังบังอาจมาเรียกว่าที่คุณน้าด้วยชื่อเฉยๆ แบบนี้มันเสียมารยาทมากเลย เด็กดีเขาไม่ทำกันหรอกรู้ไหม"

"ที่ทำแบบนี้แปลว่าอยากจะลองดีกับผมจริงๆ ใช่ไหม"

เขาดูน่ากลัวขึ้นมาทันทีเมื่อใช้น้ำเสียงเย็นเยียบระดับนี้ สีหน้าก็แข็งกระด้างขึ้น สายตาก็สุดแสนจะเอาเรื่อง... ฉันได้แต่แอบหวาดหวั่นอยู่ในใจ จุดนี้...ฉันคิดว่าตัวเองควรถอยก่อนสักก้าว และฉันก็ตัดสินใจถอยทันที เพราะฉันอยู่เป็น

"บอกตรงๆ ว่าฉันไม่ได้อยากจะมีปัญหากับคุณเลย สาบานได้ แล้วก็ยินดีจะถอยให้ทันทีที่แน่ใจว่าคุณรักป้ามัทมากกว่าทรัพย์สินเงินทอง"

"..."

"ดังนั้นฉันอยากจะขอร้องคุณแบบเดียวกับที่ป้ามัทขอ นั่นก็คือ...ช่วยพิสูจน์ให้ฉันเชื่อทีได้ไหมว่า คุณรักป้ามัทมากกว่ามรดก รักมากกว่าเงินทองที่แกมีอยู่ ถ้าคุณทำให้ฉันมั่นใจเรื่องนี้ได้เมื่อไหร่...ฉันก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณและป้ามัทอีกเลย ฉันสาบาน..."

 

โปรดติดตามตอนต่อไป...

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in LOVE

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 3

บทที่ 3 ความผิดพลาด+ใต้แสงจันทร์ แม้สิ่งที่ไทเฮากล่าวจะเป็นประโยคคำถาม แต่ซูโม่อี้ก็รู้ว่านางไม่ได้มีความตั้งใจจะถามเขาเ...

community.jamsai.com