ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 1
บทที่ 1
“ทิวพฤกษาผลิบานรับวสันต์ โฉมสะคราญเรือนชะตาแลรุ่งโรจน์”
“บุพเพรักฟ้ากำหนดใช่บังเอิญ วาสนานำพาคู่มาเยือน”
ในฤดูร้อนที่อากาศอบอ้าว แม้อารามจะตั้งอยู่กลางป่าลึก แต่กลับมีผู้มาสักการะอย่างล้นหลามและคึกคักกว่าอารามภายนอกมากนัก
ยามได้ฟังคำทำนายที่เพื่อนสองคนอ่านแล้วอาเหม่าก็ยิ่งรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมา ดวงหน้าหมดจดอ่อนเยาว์พลันแดงปลั่ง เหล่าหญิงสาวที่รายล้อมตัวนางอยู่ต่างหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโส คำทำนายนี้ดีหรือไม่”
ผู้แปลคำทำนายลูบหนวดแล้วพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เซียมซีดีเลิศเช่นนี้ คำทำนายย่อมดีแน่นอน แม่นาง ชะตารักของท่านกำลังมา เนื้อคู่จะปรากฏตัวเร็วๆ นี้แล้ว”
คนรอบข้างต่างเม้มปากยิ้ม อาเหม่าเขินอายจนหน้าแดงระเรื่อ ผู้แปลคำทำนายยังกล่าวออกมาอีกมาก ซึ่งก็ล้วนได้บรรดาสาวน้อยเหล่านี้ช่วยกันซักถาม ส่วนนางนั้นทำได้เพียงก้มหน้าฟังไม่อาจกล่าววาจา
หลังจากทำนายเซียมซีเสร็จ พวกนางก็ออกมาจากอาราม พากันหยอกเย้าอาเหม่าไม่ได้หยุด ขณะที่ฟังนางก็เดินไปพลางกล่าวไปพลาง “พวกเจ้ามีหวังได้ล้อข้าไปเป็นปี”
พวกนางล้วนเป็นสาวใช้ในคฤหาสน์สกุลหาน ต่างอายุไล่เลี่ยกัน และยังไม่มีใครออกเรือนมีคู่สักคน ยามกล่าวถึงเรื่องแต่งงานขึ้นมานางจึงยังมีความขวยเขินเฉกเช่นสาวน้อยอยู่ ทั้งหัวใจที่อยู่ภายใต้ความขัดเขินก็ยังวาบหวามสั่นไหว เมื่อเป็นเรื่องของตนเองก็ให้อายเกินกว่าจะเอ่ยปาก ทว่าพอเป็นเรื่องของคนอื่นก็กลับกระตือรือร้นใจกล้าขึ้นมากกว่าเสียอย่างนั้น
“อาเหม่า เจ้าคิดเช่นนี้มิได้หรอก อย่างไรเสียหากไม่ถึงครึ่งปีเจ้าก็ได้แต่งออกไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราจะอยู่หยอกล้อเจ้าเล่นถึงหนึ่งปีได้อย่างไร”
กล่าวจบพวกนางก็พากันหัวเราะคิกคักอีกครั้ง
อาเหม่าอายจนยกมือปิดหน้า “ข้าไม่พูดกับพวกเจ้าแล้ว พอข้ามาถึงที่นี่พวกเจ้าก็มาหลอกว่าทุกคนล้วนเสี่ยงทายกันแล้ว แต่แท้จริงพวกเจ้ากลับขอพรให้ครอบครัวสงบสุขเท่านั้น มีแค่ข้าที่ไปเสี่ยงทายเรื่องแต่งงาน พวกเจ้าล้วนโกหกข้ากันทั้งนั้น”
“นี่เป็นเซียมซีใบดีเลิศ ชะตาคู่ครองดียิ่ง”
หลายคนอิงร่างกันแล้วหัวเราะจนตัวงอ เสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของบรรดาเด็กสาวดังสะท้อนก้องอยู่ในป่า แม้อาภรณ์ของทุกคนจะเป็นแบบเดียวกัน ทว่าครั้นกวาดสายตามองมา กลับเห็นอาเหม่าได้ก่อนเป็นคนแรก
อาเหม่าอายุเพียงสิบสี่สิบห้า รูปโฉมงดงาม ดวงตาของนางสุกใสเป็นประกาย ผิวพรรณขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกขาว ดวงหน้ายังมีความอ่อนเยาว์ของเด็กสาวอยู่ ราวกับดอกไม้แรกแย้มที่รอผลิบานเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน และยังเหมือนไข่มุกเม็ดสวย ทั้งสะดุดตาและไร้ซึ่งตำหนิ
“ว่าแต่อาเหม่า ผู้อาวุโสคนนั้นบอกว่าเนื้อคู่ของเจ้าอยู่ใกล้ตัว เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในคฤหาสน์ของพวกเราแล้ว” สาวใช้คนหนึ่งเริ่มนับจำนวนคนในคฤหาสน์รอบหนึ่ง “หรือจะเป็นอาฝู หรือพี่ต้าโถว ข้ารู้มาว่าพวกเขาต่างมีใจให้กับอาเหม่าของพวกเราทั้งนั้น”
อีกคนกลับกล่าวแย้ง “ไม่ใช่สิ ตอนที่ดู ใบทำนายยังบอกด้วยมิใช่หรือว่าคนผู้นี้ ‘มาใหม่’ เช่นนั้นก็ย่อมไม่ใช่คนในคฤหาสน์เราแล้ว”
“นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ถึงเวลาก็แค่ดูว่าในคฤหาสน์มีใครเข้ามาใหม่หรือไม่ หากมีคนผู้นั้นก็ถือเป็นเนื้อคู่ของอาเหม่าแล้ว”
อาเหม่าฟังพวกนางหยอกล้อจนรู้สึกเลยเถิด ขืนยังให้พวกนางกล่าวต่อไปคงได้หยิบยกเรื่องที่นางจะมีบุตรกี่คนออกมาพูดด้วยเป็นแน่ สาวน้อยจึงเอ่ยแทรกขึ้น “รีบกลับกันดีหรือไม่ มิฉะนั้นพ่อบ้านจะตำหนิเอาได้”
“อาเหม่าเจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ พ่อบ้านคนเก่าออกไปตั้งแต่เดือนก่อนแล้ว ยามนี้ยังไม่มีพ่อบ้าน”
“แล้วลุงฉางมิใช่หรือ”
“เขาเพียงดูแลแทนเท่านั้น หาใช่พ่อบ้านที่ไหนกัน” คนที่กล้าพูดเช่นนี้เป็นสาวใช้ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่า นางกล่าวต่อด้วยเสียงที่เบากว่าเดิมว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ชอบเขา เห็นว่าเขาทำงานได้ไม่ดี อยากให้เขาไปจากหน้าที่นี้จะแย่ เพียงแต่นายท่านยังไม่กลับมา จึงต้องรอให้นายท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ”
ทว่าอีกคนกลับกดเสียงลงต่ำ “ฮูหยินผู้เฒ่าอยากให้ญาติห่างๆ ที่ห่างจนไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่นคนนั้นมารับตำแหน่งมิใช่หรือ ฉะนั้นจึงได้ไม่ชอบลุงฉางกระมัง”
“เอ๊ะ!” จู่ๆ สาวใช้คนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าว่าพ่อบ้านคนใหม่จะเป็นว่าที่สามีของอาเหม่าหรือไม่”
ขาดคำ สาวใช้หลายคนล้วนพากันคิดว่ายามปกติที่เรือนไม่ได้ขาดคน ด้วยนิสัยของเจ้าบ้านสกุลหานและฮูหยินนั้นย่อมไม่มีทางซื้อบ่าวรับใช้ที่ไร้ประโยชน์มาเพิ่ม ซึ่งยามนี้ก็ขาดเพียงพ่อบ้าน จึงกระตุ้นให้ทุกคนพากันนึกภาพไปต่างๆ นานา ก่อนจะหันไปมองอาเหม่าเป็นตาเดียวและเริ่มหยอกล้อนางอีกครั้ง
อาเหม่าขบริมฝีปาก “เพ้อเจ้ออะไรกัน พวกเจ้าเคยเห็นพ่อบ้านของตระกูลใดเป็นชายหนุ่มด้วยหรือ ล้วนแต่เป็นผู้เฒ่าหนวดขาวกันทั้งสิ้น ถึงขั้นมีหลานกันแล้วด้วยซ้ำ”
ครั้นนางกล่าวเช่นนี้ รูปลักษณ์แก่ชราอ้วนเตี้ยของพ่อบ้านแต่ละสกุลก็ผุดเข้ามาในหัวของบรรดาสาวน้อยจนอดสะท้านใจไม่ได้ ทุกคนต่างรีบหยุดความคิดอันน่าสะพรึงกลัว พร้อมใจกันกล่าวคัดค้าน
“มิใช่พ่อบ้านแน่นอน”
ไม่นานก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก พากันหารือว่าลงจากเขาแล้วจะซื้ออะไรหรือกินอะไร เช่นนี้การหยอกล้อนี้จึงหยุดลงได้ อาเหม่าลอบผ่อนลมหายใจโล่งอก