ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เซียมซีทายรัก บทที่ 1
เจ้าบ้านสกุลฉินอาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนเขาชานเมือง เมื่อรถม้าออกจากตัวเมืองถนนหนทางก็ค่อนข้างลำบาก รถม้าโคลงเคลง คนที่เดินเท้าก็ไม่สบาย
แสงแดดเริ่มแรงจนแผดเผาผืนดิน บ่าวรับใช้ที่ไร้เกราะกำบังต่างทั้งร้อนและเหนื่อย รถม้าที่อยู่ด้านหน้าเคลื่อนตัวค่อนข้างเร็ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งติดตามลำบาก วิ่งอยู่ระยะหนึ่งเสี่ยวลิ่วก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้า แสนจะอิจฉาริษยา “เหตุใดพ่อบ้านจึงได้นั่งในรถกับนายท่าน ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
ชุ่ยหรงหัวเราะเสียงเบา “เจ้าเก่งนักก็ไปเป็นหลานของท่านฉินดูสิ”
เสี่ยวลิ่วนิ่งอึ้ง ในใจจึงยิ่งขุ่นเคือง “ลุงอะไรกัน เป็นลุงแต่กลับมองดูหลานชายเป็นพ่อบ้าน เป็นบ่าวรับใช้เฉยๆ หรือ”
“เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจแล้ว เรียกท่านลุงครั้งหนึ่งก็สนิทกันครั้งหนึ่ง แต่เรียกสองครั้งก็ไร้ความรู้สึกแล้ว ซ้ำยังมิใช่เครือญาติกันอยู่แล้ว หากท่านฉินจะช่วยเขา เจ้าคิดว่าฉินฮูหยินกับคุณชายฉินจะไม่ร้อนรนหรือ ทะเลาะกับคนในบ้านเพื่อคนนอกคนเดียว ท่านฉินก็มิใช่คนโง่”
บรรดาบ่าวล้วนถูกแดดแผดเผาจนหงุดหงิดเดือดดาลในใจ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เมื่อคิดได้ว่าหลังจากเจรจากับเจ้าบ้านสกุลฉินเรียบร้อยแล้ว พ่อบ้านก็ยังเป็นพ่อบ้าน เป็นบ่าวรับใช้เช่นเดียวกัน มิได้สูงส่งกว่าเขา จึงรู้สึกสบายใจขึ้นบ้างแล้ว
อาเหม่ามองเสี่ยวลิ่ว รู้ว่าเขาคิดอะไร พ่อบ้านเซี่ยหน้าตาหล่อเหลา จนสาวใช้ในคฤหาสน์ล้วนกล่าวถึงคนผู้นี้ไม่ขาดปาก ทำให้เสี่ยวลิ่วที่นับว่าหน้าตาพอใช้จนทุกคนยกยอปอปั้นมาก่อนหน้านั้นพลอยหมดสง่าราศี เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องกล่าววาจาเช่นนี้
อย่างไรขอบเขตอำนาจที่พ่อบ้านสามารถควบคุมพวกเขาได้นั้นก็กว้างขวางมากนัก
เดินทางอยู่อีกครึ่งชั่วยาม* ในที่สุดก็ถึงคฤหาสน์สกุลฉิน เจ้าบ้านสกุลหานพาบ่าวรับใช้หลายคนเข้าไป
เจ้าบ้านสกุลฉินที่ได้รับรายงานแล้วจึงออกมา เพิ่งจะเห็นเซี่ยฟั่งเขาก็เดินหน้าเข้าไปจับมือ ก่อนถอนใจหนักๆ ครั้งหนึ่ง “หลานเซี่ย เป็นเจ้าจริงหรือ เมื่อคืนเจ้าส่งจดหมายจากสกุลหานมา ข้ายังนึกว่าเป็นพวกต้มตุ๋นเสียอีก”
เซี่ยฟั่งดึงมือคืนอย่างเนิบช้า แล้วประสานมือคำนับเขา “ให้ท่านลุงฉินเป็นห่วงแล้ว”
เจ้าบ้านสกุลฉินถอนใจอีกครั้ง “เหิงโจวไกลจากเมืองเชวี่ยโจวมาก ข้ากับบิดาเจ้าก็หลายปีกว่าจะเจอกันครั้งหนึ่ง จากกันครั้งสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนแล้ว…สามปีมานี้ เจ้านั้นโตขึ้นไม่น้อยเลย ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนบิดาเจ้า”
เห็นเซี่ยฟั่งแย้มยิ้มบาง เจ้าบ้านสกุลฉินจึงเพิ่งได้สติ ก่อนจะกล่าวด้วยความกลุ้มใจ “เป็นข้าไม่ดีเอง พูดถึงเรื่องที่ทำให้เจ้าเศร้าใจอีกแล้ว เพียงแต่สองปีมานี้เจ้าเองก็ไม่ได้มาหาข้า แต่เหตุใดกลับไปอยู่ที่สกุลหานเสียก่อนได้”
“พูดแล้วเรื่องยาว” เซี่ยฟั่งเอ่ยตอบอย่างราบเรียบ “สองปีก่อนบิดามารดาจากไป ข้าก็ออกจากเชวี่ยโจว แต่ยังไม่ได้ทำอันใด จนกระทั่งครึ่งเดือนก่อนได้พบนายท่านหาน ข้ากับนายท่านสนทนากันถูกคอ จึงได้ตามนายท่านหานไปสกุลหาน ทั้งยังได้งานที่ช่วยให้อิ่มท้อง”
“งานอะไรหรือ”
“พ่อบ้านขอรับ”
ความขุ่นเคืองฉายผ่านนัยน์ตาของเจ้าบ้านสกุลฉินวูบหนึ่ง เจ้าบ้านสกุลหานอยากเอ่ยแทรกเพื่อแก้ต่างให้ตนเอง ทันใดนั้นก็มีเสียงเนิบช้าดังมาจากอีกทางเสียก่อน “เป็นพ่อบ้านออกจะดี ได้เป็นพ่อบ้านสกุลหานก็ไม่นับว่าเป็นพ่อบ้านแล้ว”
อาเหม่าที่ยืนอยู่อีกทางได้ยินแล้วก็มองไปยังต้นเสียง นางเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่งก้าวเข้ามาช้าๆ เขาหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาหมดจดของเซี่ยฟั่งแล้วกลับสะท้อนแววรังเกียจออกมา ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปยืนข้างเจ้าบ้านสกุลฉิน เอ่ยเรียก ‘ท่านพ่อ’ แล้วกล่าวว่า “สองปีนี้พี่เซี่ยไม่เคยมาหาท่าน วันนี้ที่เขามาเหิงโจวก็เพราะว่ามีธุระ ทั้งยินดีที่จะเป็นพ่อบ้านเอง ท่านพ่อก็อย่าได้เป็นห่วงเขานักเลย”
ถ้อยคำเย็นชานี้ทำให้อาเหม่าพลันรู้สึกว่าเมื่อครู่ชุ่ยหรงพูดถูก แม้เจ้าบ้านสกุลฉินอยากจะช่วยเขา แต่มีหรือที่ฉินฮูหยินกับคุณชายฉินจะไม่ร้อนใจ
เซี่ยฟั่งหันไปทักทายเขา ก่อนกล่าวกับเจ้าบ้านสกุลฉิน “ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีธุระจริง เมื่อวานข้าได้บอกกล่าวท่านคร่าวๆ ในจดหมายแล้ว”
“เรื่องนี้…”
เจ้าบ้านสกุลฉินเอ่ยยังไม่ทันจบจู่ๆ เจ้าบ้านสกุลหานก็เอ่ยแทรกขึ้น “เรื่องนี้ยังต้องเจรจากันอย่างละเอียด ถ้าอย่างไรเจ้ากับพวกเสี่ยวลิ่วก็ออกไปก่อน ข้าจะคุยกับลุงฉินของเจ้าดู”
เซี่ยฟั่งอยู่ด้วยเช่นนี้ เจ้าบ้านสกุลฉินไม่มีทางกล่าวออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำแน่นอน เจ้าบ้านสกุลหานย่อมเข้าใจเหตุผลนี้ หลานชายในนามที่มิได้เกี่ยวข้องกันทางสายโลหิต ถึงเวลานี้ก็ไม่มีประโยชน์นักแล้ว ทว่าหนี้น้ำใจแต่หนหลังยังอยู่ เรื่องที่เหลือเขาก็ไม่เป็นกังวล
เซี่ยฟั่งขานรับแล้วถอยออกไป ฉินโหยวเห็นเขาออกไปก็ไล่ตามไปด้วย เดินถึงเรือนส่วนหน้าจึงเรียกเขาไว้ได้ ยังไม่ทันเอ่ยปากก็เห็นบ่าวรับใช้สามคนของสกุลหานออกมาด้วย เขาเหลียวมองรอบหนึ่ง ก่อนกล่าวกับเซี่ยฟั่ง “อย่าได้มาที่สกุลฉินอีก”
“ได้”
ฉินโหยวที่รอการปฏิเสธด้วยถ้อยคำผรุสวาทคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล่าวว่า ‘ได้’ อย่างง่ายดาย เขารีบต้อนคำพูดทั้งหมดที่อยู่ในใจตนเองกลับลงคอทันที ท่าทีของเซี่ยฟั่งทำเอาเขากลุ้มใจ ทว่าทำได้เพียงยืนเดือดดาลเป็นขอนไม้อยู่กับที่เท่านั้น
เซี่ยฟั่งเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายฉินยังมีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่”
ฉินโหยวไร้คำจะกล่าว จึงตอบอย่างฉุนเฉียว “ไม่มี!”
เซี่ยฟั่งยิ้มจนตาหยี นุ่มนวลอ่อนโยน