บทที่ 10
บ่ายวันนั้น เจ้าบ้านสกุลหานก็ตัดสินใจว่ารอให้ตนกลับจากไฮ่โจวแล้วก็จะพาหลิ่วอิงกับหานเฉิงกลับสกุลหานด้วยกัน พร้อมกับให้ตำแหน่งแก่นาง หลิ่วอิงได้ยินแล้ว คืนนั้นนางก็อ่อนโยนนุ่มนวลเหมือนอย่างแต่ก่อน ปรนนิบัติเอาใจเจ้าบ้านสกุลหานให้อิ่มเอม ยิ่งทำให้เขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพานางกลับไปด้วย
เนื่องจากอาลัยอาวรณ์หลิ่วอิง เจ้าบ้านสกุลหานจึงอยู่ที่นี่อีกสองวัน ในที่สุดบ่าวรับใช้สกุลหานที่ติดตามมาด้วยก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ต่างพากันกระซิบกระซาบ
เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ไม่คิดซ่อนเร้น วันสุดท้ายยังพาหลิ่วอิงมาและให้ทุกคนเรียกนางว่าอี๋เหนียงสี่ บ่าวรับใช้ล้วนประหลาดใจ เมื่อเห็นหานเฉิงก็ยิ่งตะลึงงันในทันที คิดไม่ถึงว่านายท่านจะมีบุตรชายอยู่นอกตระกูลที่โตเช่นนี้แล้ว
อาเหม่าหลังจากเห็นหลิ่วอิงแล้วก็รู้ว่าคืนนั้นนางกับเซี่ยฟั่งคาดเดาไม่ผิด เพียงแต่หานเฉิงนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของนางไปบ้าง ยามนี้เมื่อเจ้าบ้านสกุลหานไม่ปิดบังแล้ว เกรงว่าจะพาสองแม่ลูกนี้กลับตระกูลด้วย ทว่าดูจากการสืบข่าวของคนรอบข้างแล้วได้ยินว่าหลิ่วอิงมาจากแหล่งเริงรมย์ เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะยอมรับได้หรือ
หากฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอม อี๋เหนียงสี่ก็คงมิอาจเข้าตระกูลได้กระมัง
พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางไปไฮ่โจวแล้ว ช่วงค่ำขณะที่อาเหม่ากับสาวใช้อีกคนกำลังเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เจ้าบ้านสกุลหานอยู่นั้น เขาก็เข้ามาพอดี
หลายวันนี้เจ้าบ้านสกุลหานมีหลิ่วอิงคอยปรนนิบัติ เขาจึงลืมอาเหม่าไปชั่วคราว สาวใช้ที่อยู่ใต้แสงเทียนแม้จะไม่งามพริ้งหยาดเยิ้มเหมือนหลิ่วอิง แต่กลับมีความเย้ายวนของสาวน้อย ซึ่งต่างจากหลิ่วอิงอย่างสิ้นเชิง
เขาจ้องมองอาเหม่าอยู่ครู่หนึ่ง คิดในใจว่าคืนนี้คงไม่ไปหาหลิ่วอิงแล้ว เขาจะได้ไม่ถูกนางตอแยทั้งคืนอีก
เนื้อเมื่อกินมากเข้าก็ย่อมเลี่ยนเป็นธรรมดา ทว่าหากกินอาหารจานผักเบาท้องบ้างน่าจะกำลังพอเหมาะพอดี
นัยน์ตาลุกวาวเป็นประกายเจ้าบ้านสกุลหานทำให้อาเหม่าที่กำลังเก็บสัมภาระอยู่รู้สึกตัว เพิ่งสบายใจได้เพียงสองวัน ยามนี้นางก็ต้องอกสั่นขวัญผวาอีกแล้ว
นางเก็บของเรียบร้อยแล้วกำลังจะออกไป เจ้าบ้านสกุลหานก็เอ่ยว่า “อาเหม่า คืนนี้ข้าไม่ไปกินข้าวข้างนอกแล้ว เจ้ายกอาหารเข้ามาเถอะ เตรียมเหล้ามาด้วย”
อาเหม่าใบหน้าซีดเผือด เหลือเพียงริมฝีปากที่ยังเจือสีแดงเล็กน้อย นางรับคำด้วยเสียงเบาหวิว รู้ว่าคืนนี้ตนยากจะพ้นคราวเคราะห์แล้ว
นางก้มหน้าก้าวออกจากประตู เพิ่งออกมาก็รู้สึกได้ว่าเบื้องหน้ามีคนยืนอยู่ นางเบี่ยงร่างให้คนผู้นั้นผ่านไป กระทั่งสายตาเหลือบเห็นรองเท้าหุ้มข้อสีดำพื้นขาวของอีกฝ่ายก็เดาได้ทันทีว่าเขาเป็นใคร อาเหม่าเงยหน้าขึ้นก็พบว่าเป็นเซี่ยฟั่งจริงๆ
เซี่ยฟั่งรู้ว่าเป็นอาเหม่า ทว่าศีรษะของนางก้มงุดจนแทบชิดกับอกมิได้เงยหน้าขึ้นมา ครั้นนางช้อนตาขึ้นมองก็พลันเห็นความสิ้นหวังฉายอยู่ในแววตาของนาง แทบจะในทันทีที่สบตากัน อาเหม่าก็ตาแดงรื้น ท่าทางลังเลคล้ายอยากจะพูด ทว่าท้ายที่สุดนางก็เพียงเดินจากไป
เซี่ยฟั่งนิ่งงัน ไม่รู้ว่านางได้รับความไม่เป็นธรรมอะไรมาหรือไม่
หรือว่าเจ้าบ้านสกุลหาน…
ครู่หนึ่งก็มีสาวใช้อีกคนก้าวออกมาจากห้อง เซี่ยฟั่งจึงหยุดความคิด พลางย่างเท้าเข้าไปบอกกล่าวเวลาออกเดินทางวันพรุ่งนี้กับเจ้าบ้านสกุลหาน ก่อนที่อีกฝ่ายจะกล่าวว่า “คืนนี้เจ้าให้ห้องครัวเตรียมอาหารของข้าให้เรียบร้อย แล้วให้อาเหม่ายกเข้ามา”
ถ้อยคำสั้นๆ ประโยคเดียว เซี่ยฟั่งก็เข้าใจสาเหตุที่อาเหม่าตาแดงรื้นแล้ว เขาเอ่ยปาก “นายท่าน คืนนี้ท่านไม่ไปหาอี๋เหนียงสี่แล้วหรือ”
“ไม่ไป”
“เช่นนั้นก็เกรงแต่ว่าอี๋เหนียงสี่จะเป็นฝ่ายมาหาท่านเสียเอง”
เจ้าบ้านสกุลหานชะงัก “ข้าบอกนางแล้วว่าคืนนี้จะพักผ่อน พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า นางไม่มาหรอก”
เซี่ยฟั่งรับคำแล้วจึงออกมา ขณะออกเดินฝีเท้าของร่างสูงเชื่องช้า ทว่าเมื่อปิดประตู สีหน้าของเซี่ยฟั่งพลันเปลี่ยน ฝีเท้าก็เร็วขึ้นมาก ขณะลงบันไดเขาเห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งของสกุลหาน จึงเอ่ยถาม “เห็นอาเหม่าหรือไม่”
บ่าวรับใช้คนนั้นตอบ “เหมือนจะไปที่ห้องครัวแล้ว”
เซี่ยฟั่งรับคำพลางสั่ง “รู้แล้ว เจ้าไปรับใช้นายท่านเถอะ”
พอบ่าวรับใช้คนนั้นไปแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้น ร่างสูงรีบย่างสามขุมตรงไปทางห้องครัว