นางมีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรีสองคน สิบกว่าปีก่อนบุตรชายคนโตเกิดล้มศีรษะกระแทกพื้นจนสมองมีปัญหา สติปัญญาสูญสิ้น ไม่อาจหายเป็นปกติและไม่สามารถสืบสกุลได้ บุตรีคนโตก็เสียชีวิตแต่เล็ก ส่วนบุตรีคนที่สามมีนิสัยร้ายกาจ ไม่เห็นใจความลำบากของผู้เป็นมารดา วันๆ เอาแต่ห่วงเล่นห่วงสนุก ไม่สมกับเป็นกุลสตรี
ยิ่งคิดหานฮูหยินก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยล้า ยิ่งคิดโทสะก็ยิ่งสุมทรวง “อาเหม่าเล่า”
“ยังคุกเข่าอยู่นอกประตูเจ้าค่ะ”
“ลากตัวนางเข้ามา”
ทันทีที่ประตูเปิดออกก็มีหมัวมัวสองคนเดินเข้าไปหิ้วปีกอาเหม่าเข้าไปในเรือน แทบจะโยนนางลงตรงหน้าหานฮูหยิน
อาเหม่าคุกเข่าอยู่ครึ่งคืน ขาทั้งสองข้างจึงชาจนไร้ความรู้สึก เมื่อถูกเหวี่ยงลงพื้นร่างบางก็พลันล้มคะมำไปด้านหน้า ใบหน้ากระแทกเข้ากับพื้นทันที ไม่รอให้ตนได้ทันลุกขึ้นคุกเข่า นางก็ได้ยินหานฮูหยินกล่าวเสียงเย็น “ตี!”
เรือนผมดำเงาถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรง แรงเสียจนนางเจ็บชาที่หนังศีรษะ จากนั้นก็ถูกตบหน้าติดกันไปหลายทีจนนางถึงกับตาลาย
ไม่รู้ว่าถูกตบไปกี่ครั้ง เมื่อหานฮูหยินสั่งให้พวกนางหยุด ใบหน้าของอาเหม่าก็บวมแดงจนเลือดซิบแล้ว
หานฮูหยินแค่นเสียงเย็น “อาหารก็มีจานเรียกน้ำย่อย จานรอง จานหลัก และจานเคียง การตบหน้านี้ถือเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยของเจ้า อาเหม่า ข้าผิดหวังในตัวเจ้าจริงๆ ข้าให้เจ้าปรนนิบัตินายท่านให้ดี แต่ปรากฏว่าเจ้ากลับมิได้ยินยอมเป็นของนายท่าน ซ้ำยังช่วยนายท่านปิดบังข้า หากมิใช่เพราะเจ้าไม่ส่งข่าว วันนี้ข้าก็คงไม่คับแค้นจนรู้สึกไร้ค่าถึงเพียงนี้!”
“เป็นความผิดของอาเหม่า ผิดที่อาเหม่าเขียนหนังสือมิได้เจ้าค่ะ!” อาเหม่าน้ำตาคลอเบ้า นางมิได้เล่นละคร แต่เป็นเพราะเจ็บมากจริงๆ
หมัวมัวตะคอกอยู่อีกทาง “เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เจ้าอ่านเขียนมิได้!”
เพียงอาเหม่าเอ่ยปาก น้ำตาก็พลันร่วงหยด แม้ใบหน้าจะถูกตบจนบวมแดง ทว่าท่าทางเสมือนดอกสาลี่ที่พร่างพรมด้วยสายฝนเช่นนี้ก็ชวนให้คนมองนึกสงสารแล้ว “หากอาเหม่ารู้หนังสือก็จะส่งข่าวให้ฮูหยินได้ แต่ที่เมืองเล็กๆ นั่น นายท่านสั่งให้ข้าคอยอยู่รับใช้แม่นางหลิ่ว เพราะกลัวว่าข้าจะแอบออกไปส่งข่าวถึงท่านกลางทาง คนในเรือนนั้นก็ต่างรู้เห็นเป็นใจกันหมด เฝ้าข้าราวกับข้าอยู่ในคุก จึงไม่มีโอกาสหาคนช่วยเขียนจดหมายถึงท่านได้เลยเจ้าค่ะ”
หานฮูหยินนิ่งอึ้ง นางรู้เรื่องที่อาเหม่าไม่รู้หนังสือ แต่คิดไม่ถึงว่าที่อีกฝ่ายจะส่งข่าวกลับมามิได้จะด้วยเหตุนี้ “นายท่านสั่งให้เจ้าอยู่รอ แล้วให้หลิ่วอิงคอยจับตาดูเจ้าจริงหรือ”
อาเหม่าคิดว่าคำตอบนี้ไม่เป็นผลเสียกับหลิ่วอิง แต่กลับมีส่วนช่วยตนเองอย่างใหญ่หลวง นางพยักหน้าทันใด “เจ้าค่ะ”
หานฮูหยินฟังแล้วยิ่งรู้สึกทดท้อเศร้าใจ วาจานี้ฟังแล้วมิใช่คำโกหก อาเหม่ามีไหวพริบ ไม่มีทางปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในทางตัน แค่ถามบ่าวที่เดินทางไปด้วยก็รู้แล้วว่านางพูดจริงหรือไม่
หานฮูหยินเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสามีจะระแวงนางถึงเพียงนี้
ในฐานะภรรยา นางไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่สามีจะมีอนุภรรยา ทั้งยังถูกเขาปิดบังป้องกันอย่างแน่นหนา
หานฮูหยินยิ่งรู้สึกวิงเวียนและปวดศีรษะ แทบอยากไล่บ่าวรับใช้ออกไป แล้วร่ำไห้ในห้องเสียให้สมใจ
“แล้วเมื่อครู่ที่ตีเจ้า เหตุใดเจ้าจึงไม่อธิบาย”
อาเหม่าหมอบกับพื้น “เพราะอาเหม่าละเลยหน้าที่จริงๆ เจ้าค่ะ”
หานฮูหยินนิ่งอึ้ง ในใจพลันรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาบ้าง หลังจากนางถูกเมินเฉยเย็นชาในสกุลหานมานาน ยามนี้มีอาเหม่าที่ซื่อสัตย์ภักดีอยู่ก็เหมือนอาทิตย์อบอุ่นในวันที่หนาวเหน็บ พาให้หัวใจของนางเต็มตื้นขึ้นมาทันใด
นางพรั่งพรูลมหายใจหนักๆ พลันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายิ่งนัก “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
เรื่องตกรางวัล อีกสองสามวันค่อยว่ากัน ตอนนี้นางรู้สึกเรี่ยวแรงของตนไม่เป็นใจสักนิด มีแต่ความเศร้าเสียใจ