ท่าทางร้อนตัวของเสี่ยวลิ่วหลบไม่พ้นสายตาของหมอซ่ง ชั่วขณะนั้นเขาพลันหยิบกากยาขึ้นมาปาใส่หน้าเสี่ยวลิ่ว ก่อนจะกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว “กล้ามาก…เจ้าถึงกับกล้าเปลี่ยนยา เจ้าตั้งใจจะทำลายชื่อเสียงของข้าใช่หรือไม่!”
เสี่ยวลิ่วตื่นจากภวังค์ พลางกล่าวโวยวาย “ข้าเปลี่ยนยาตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าก็นำใบสั่งยาของท่านไปซื้อยา ต้มยาให้พ่อบ้านเซี่ยอย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว แต่เหตุใดท่านกลับใส่ร้ายข้า”
หมอซ่งเกลียดการใส่ร้ายป้ายสีที่สุด ครั้นฟังแล้วกลับถูกอีกฝ่ายแว้งกัด โยนความผิดให้ตนเสียได้ เขาจึงยิ่งโกรธเกรี้ยว “ไร้ยางอาย! คนถ่อย! ได้! เช่นนั้นเจ้าจงไปพบนายท่านกับข้า ยืนยันกันต่อหน้า ดูว่าเจ้าไปซื้อยาจากที่ไหน ทุกครั้งหมอในร้านขายยาจัดยาตามใบสั่งยาอะไรไป”
เสี่ยวลิ่วได้ยินแล้วก็ตกใจจนหน้าซีด เขาร้อนตัวไม่กล้าไปพบนายท่านกับตนขึ้นมา หมอซ่งจึงยิ่งมั่นใจว่าเสี่ยวลิ่วเป็นคนสับเปลี่ยนยา เขาจะจับเสี่ยวลิ่วไปพบกับเจ้าบ้านสกุลหานให้ได้
เมื่อเห็นว่าตนเองหมดทางหนีทีไล่แล้ว เสี่ยวลิ่วก็พลันเข่าอ่อน ก่อนจะคุกเข่าลงร้องไห้อ้อนวอนต่อหน้าหมอซ่ง “ข้าผิดไปแล้ว ท่านหมอซ่ง ข้าหลงผิดที่แอบเปลี่ยนยาของเซี่ยฟั่ง ท่านได้โปรดละเว้นข้าด้วย ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว”
หมอซ่งโกรธจนตัวสั่น “เจ้ากับเซี่ยฟั่งผิดใจอะไรกัน ถึงต้องคิดร้ายกับเขาเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากินยานี้แล้วมือของเขานอกจากจะไม่หายแล้ว ช้าเร็วก็จะตายเพราะบาดแผลอักเสบอีก เจ้าทำลายชื่อเสียงของข้าและยิ่งทำร้ายชีวิตของเขา ไม่ได้…เจ้าต้องไปพบนายท่านกับข้า”
เสี่ยวลิ่วเห็นท่าไม่ดี จึงกอดขาหมอซ่งไว้ไม่ยอมปล่อยให้เขาไป ก่อนจะร้องไห้น้ำตาเคล้าน้ำมูก “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ ท่านหมอซ่งได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ที่ข้าทำลงไปเพราะไม่ชอบที่เซี่ยฟั่งใช้บารมีข่มคนอื่น เหตุใดทุกคนถึงได้ชื่นชมเขาอย่างมาก ทั้งที่ก็เป็นบ่าวรับใช้เหมือนกัน ไยจึงไม่มีใครเห็นหัวข้า เพียงเพราะเขาหน้าตาดีอย่างนั้นหรือ แต่หน้าตาข้าก็ไม่ได้แย่นี่นา”
หมอซ่งฉุนกับข้ออ้างน่าขำนี้ของอีกฝ่ายจนแทบสิ้นสติ พลางชี้หน้าเสี่ยวลิ่วอย่างสั่นเทิ้ม “คนอย่างเจ้า ชีวิตนี้อย่าหวังเลยว่าจะเทียบกับเซี่ยฟั่งได้ แม้เซี่ยฟั่งกินยาของข้าไปสิบชุดแล้วก็ยังไม่หาย ทว่าตอนมาหาข้ากลับไม่มีคำตำหนิใดๆ ทั้งมิได้สงสัยความสามารถของข้า และยังถ่อมตัวเพื่อขอคำตอบ แล้วดูเจ้าสิ…ดูเจ้า!”
เสี่ยวลิ่วไม่ริษยาคำชมที่ผู้อื่นมีต่อเซี่ยฟั่งอีกต่อไป เขาคิดแต่ว่าจะเอาตัวรอดอย่างไร หากให้นายท่านรู้เรื่องนี้ เขาก็ไม่อาจอยู่ในสกุลหานได้อีกต่อไปแล้ว
หมอซ่งสุดรำคาญกับการร้องไห้ของเขาจึงกล่าวว่า “เอาล่ะ ในเมื่อพ่อบ้านเซี่ยลำบากเพราะเจ้า ต้องเจ็บตัวเปล่าๆ เช่นนี้ คนที่ตัดสินว่าจะลงโทษเจ้าอย่างไรก็ต้องเป็นเขา อย่างไรเจ้าก็ตามข้าไปพบเขาแล้วสารภาพทุกอย่าง ถึงตอนนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเจ้า เจ้าก็ห้ามร้องไห้อ้อนวอนอีก เป็นลูกผู้ชายอกสามศอกทั้งที เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ช่างไม่รู้สึกอายเสียเลย”
เสี่ยวลิ่วไม่คิดว่าตนเองน่าอายเลยสักนิด แต่เมื่อบอกว่าต้องไปหาเซี่ยฟั่ง เขากลับลังเลขึ้นมา แต่เขาอาจอ้อนวอนขอร้องเซี่ยฟั่งให้ปล่อยเขาสำเร็จอีกก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องเรียนจนไปถึงนายท่านแล้ว วันข้างหน้าเขาก็ยังมีโอกาสอยู่ในสกุลหานต่อไป
เพียงแต่เซี่ยฟั่งไม่น่าจะปล่อยเขากระมัง
ใต้หล้านี้ไม่น่ามีคนใจกว้างมีเมตตาถึงเพียงนั้น
ทว่าเสี่ยวลิ่วก็ยังอยากลองดูสักตั้งอยู่ เขาจึงตอบตกลงหมอซ่งด้วยน้ำมูกน้ำตา พอเขาลุกขึ้น จู่ๆ ก็พบว่ามีคนยืนอยู่ที่ประตู ชำเลืองมองด้วยหางตาแล้วก็นิ่งอึ้งไปทันที
หญิงสาวคนนั้นกำผ้าเช็ดหน้าแน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พลางจ้องเขาเขม็ง เหมือนยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว นัยน์ตาของนางค่อยๆ ฉายแววรังเกียจ ท้ายที่สุดก็หัวเราะเสียงเย็นเสียงหนึ่งก่อนเดินผละออกไป
“ชุ่ยหรง…”
เสี่ยวลิ่วตะโกนอย่างเจ็บปวด แต่เขาไม่กล้าพอจะไล่ตามนางไป ท่าทางน่าเกลียดของเขาเมื่อครู่นี้นางคงเห็นหมดแล้ว
เพียงแต่เหตุใดชุ่ยหรงถึงมาที่ห้องครัวในเวลานี้ได้ ใครเป็นคนให้นางมา
ยามนี้เสี่ยวลิ่วก็เหมือนหุ่นโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ* ไม่อาจเอาตัวให้รอดได้ หลังคิดอยู่เพียงครู่เดียวก็เลิกคิด ในหัวเริ่มพยายามร้อยเรียงวาจาที่จะใช้อ้อนวอนเซี่ยฟั่ง แล้วสลัดเรื่องของชุ่ยหรงออกจากความคิดไปอย่างไม่ลังเล
* เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* ถูกงูกัดครั้งหนึ่งกลัวเชือกป่านไปสิบปี เป็นสำนวน อุปมาถึงความเจ็บช้ำที่ฝังใจ เข็ดขยาดไม่รู้ลืม
* หุ่นโพธิสัตว์ดินเหนียวข้ามแม่น้ำ เป็นสำนวนที่อุปมาว่าไม่สามารถป้องกันตัวเองหรือช่วยคนอื่นได้