เดือนเจ็ดอากาศเปลี่ยน คืนนี้ลมจึงเย็นเยือกเป็นพิเศษ สายลมเย็นซู่ รอบด้านเงียบสงัดวังเวง บรรยากาศยังคงเป็นอย่างที่อาเหม่าเห็นมาในปีก่อนจริงๆ ปีนี้ถนนที่ไปสู่แม่น้ำสายเล็กยังคงเกลื่อนไปด้วยกระดาษเงินกระดาษทองและธูปเทียน ยังมีแม่หมอสวดพึมพำเสียงเบาตลอดทาง ฟังแล้วน่าขนลุกขนพองยิ่งนัก
คืนนี้สีหน้าของหญิงสาวทุกคนดูขาวซีดเป็นพิเศษจริงๆ
เหล่าสาวใช้จับกลุ่มกันกลุ่มละห้าคน เมื่อไปถึงริมแม่น้ำ เหล่าสาวใช้ก็พลิกมือเอียงตะกร้า เทเรือกระดาษลงไปทั้งหมด และไม่สนใจว่าเรือกระดาษเหล่านั้นจะจม เพียงขอทำภารกิจนี้ให้เสร็จอย่างขอไปทีแล้วก็วิ่งหน้าตั้งกลับไป วิ่งไปพลางผวาไปพลาง ราวกับหนีจากความตายที่กำลังไล่หลังอยู่
อาเหม่าผู้รอบคอบปล่อยเรือกระดาษทีละอันจนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็ไม่เห็นเหล่าสาวใช้ที่มาด้วยกันแล้ว ริมแม่น้ำในยามนี้มีแต่คนที่นางไม่รู้จัก!
หญิงสาวรู้สึกลำคอตีบตัน ทั้งแห้งผากจนเจ็บแปลบ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขนลุกขนพอง มือคว้าตะกร้าได้ก็ออกวิ่งทันที
ยามที่เดินกลับตามลำพัง สิ่งที่อาเหม่าพบเห็นระหว่างทางก็ยิ่งน่าหวาดผวา ไม่ว่าจะแม่หมอ หญิงชรา รวมถึงเด็กน้อยที่ลอบออกมายามวิกาล ล้วนกลายเป็นคนน่ากลัวในสายตาของนางทั้งสิ้น เห็นพวกเขาเข้ามาใกล้อาเหม่าก็จะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน จำต้องเบี่ยงร่างหลบเข้าข้างทาง
หลบผู้คนอยู่หลายครั้ง รู้สึกตัวอีกทีนางก็พบว่าตนเองเดินมาผิดทางเสียแล้ว
คอของอาเหม่ายิ่งฝืดเจ็บ ร่างบางถือตะกร้ายืนนิ่งอยู่กับที่นานอึดใจใหญ่ จึงเรียกขวัญกำลังใจของตนเองกลับมาได้ แล้วตัดสินใจเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง
“ไม่เป็นไร ผ่านตรอกนี้ก็จะเห็นถนนใหญ่แล้ว เลี้ยวขวาที่ถนนใหญ่ เดินอีกครึ่งเค่อก็ถึงแล้ว”
อาเหม่าอดปลอบใจตนเองไม่ได้ ทว่าบรรยากาศโดยรอบที่เงียบสงัดนี้ อีกทั้งใต้ฝ่าเท้าก็ล้วนมีแต่กระดาษเงินกระดาษทอง ช่วยกระตุ้นให้นางหวาดกลัว มีเสียงแปลกๆ ดังมาบ้างเป็นบางครั้ง ก็ล้วนเป็นเสียงพึมพำแหบแผ่วของสตรี
ทันใดนั้นเบื้องหน้าก็มีเงาคนไหววูบ หัวใจของนางพลันหยุดเต้นไปชั่วขณะ เมื่อมองไปตามทิศทางนั้นก็พบว่าบริเวณปากทางข้างหน้านั้นมีเงาร่างของคนสองคนยืนอยู่ ช่างคุ้นตาเป็นอย่างมาก นางยังไม่ทันมองให้ชัดเจน จู่ๆ ก็เห็นสองคนนั้นเงยหน้ามองมาที่นางแล้ว
เนื่องจากสองคนนั้นยืนย้อนแสง นางจึงมองเห็นหน้าของพวกเขาได้ไม่ชัด ส่วนนางที่ยืนรับแสงอยู่ ทำให้พวกเขามองเห็นนางได้อย่างชัดเจน
ร่างบางกุมตะกร้าในมือแน่น นางก้าวถอยหลังหวังจะจากไป ก็เห็นเงาร่างสูงหนึ่งในสองคนนั้นขยับมาทางนี้ก้าวหนึ่ง คล้ายจะเดินมาทางนาง แต่คนผู้นั้นเดินได้เพียงสองก้าว อีกคนก็วิ่งเข้ามาหานางแล้ว
“ข้าจำเจ้าได้ เจ้าชื่ออาเหม่า สาวใช้ของสกุลหาน”
อาเหม่าเคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก จนกระทั่งคนผู้นั้นวิ่งมาจวนจะถึงตรงหน้าแล้ว นางจึงนึกขึ้นมาได้ “คุณชายฉิน”
ฉินโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าใจกล้าไม่เบา ถึงได้กล้าออกมาคนเดียวในคืนนี้”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ…ที่จริงข้ากลัวมาก” อาเหม่าเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “คุณชายฉิน…ท่านช่วย…ท่านช่วยไปส่งข้าสักระยะได้หรือไม่”
ฉินโหยวประหลาดใจ “เจ้ากลัวหรือ”
“กลัวเจ้าค่ะ”
“เจ้าเซี่ยฟั่งก็เหลือเกิน ชั่วดีอย่างไรเจ้าก็เคยช่วยเขาไปครั้งหนึ่ง ไฉนพริบตาเดียวก็จัดงานนี้ให้เจ้าแล้ว ซ้ำยังต้องถือตะกร้าวิ่งมาที่นี่คนเดียวอีก”
อาเหม่าส่ายหน้า “พอดีข้าพลัดหลงกับพวกเพื่อนๆ เจ้าค่ะ จะมีสตรีสักกี่คนที่ไม่กลัวเรื่องเช่นนี้กัน หากพ่อบ้านเซี่ยคำนึงเรื่องนี้อย่างละเอียด เช่นนั้นใครจะเป็นคนทำงานนี้กัน”
“แต่สำหรับเขาเจ้าต่างจากคนอื่น”
อาเหม่าแก้มแดงปลั่งทันที รู้ทั้งรู้ว่าฉินโหยวหมายถึงเรื่องที่นางเคี้ยวสมุนไพรทำแผลให้เซี่ยฟั่ง ทว่านางที่ร้อนตัวอยู่แล้ว ครั้นได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงยิ่งกระสับกระส่าย นางจึงอยากหาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน ก่อนจะพบว่าคนที่สนทนากับฉินโหยวเมื่อครู่นี้หายไปแล้ว นางชะเง้อมองแล้วเอ่ยถาม “สหายของคุณชายฉินไปแล้วหรือ”
ฉินโหยวเองก็หันไปมอง “ใช่…เจ้าไม่เห็นใช่หรือไม่ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร”
อาเหม่าย่นคิ้ว ฟังถ้อยคำประโยคนั้นแล้วคล้ายว่านางจะรู้จักกับคนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้ฉินโหยวจึงไม่อยากให้นางรู้ “ไม่เห็นเจ้าค่ะ ทั้งอยู่ไกลและยังย้อนแสง ใบหน้าเขามืดไปหมด ข้ามองเห็นไม่ชัด”
ฉินโหยวผ่อนลมหายใจโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด “ไปเถอะ ข้าส่งเจ้ากลับคฤหาสน์เอง”
อาเหม่าปรารถนายิ่ง “ขอบคุณคุณชายฉิน”
“เรื่องเล็กน้อย” ตั้งแต่เรื่องม้าที่คลุ้มคลั่งวันนั้น ฉินโหยวก็ประทับใจอาเหม่าเป็นอย่างมาก เพราะนางยังคงสุขุมแม้ในยามที่มีเหตุร้ายได้ ทว่าเมื่อคิดว่านางเป็นสาวใช้ของสกุลหานแล้วจึงรู้สึกเสียดาย “นี่ อาเหม่า เจ้ามาที่สกุลฉินของเราดีหรือไม่”
“ข้าเป็นสาวใช้ของสกุลหาน สัญญาทาสขายขาด”
“เช่นนั้นข้าให้หานโหย่วกงมอบสัญญาทาสของเจ้าให้ข้าก็สิ้นเรื่อง”