ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานเห็นพวกเขาซุบซิบกัน ไม่ยอมเดินหน้าหรือเข้าไปตระเตรียมในหอจื่อจิ่งเสียที จึงเอ่ยถาม “ลูกแม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เจ้าบ้านสกุลหานได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปบอกกล่าวมารดาคร่าวๆ หญิงชราฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น พลันขุ่นเคืองไม่พอใจ “นั่นเป็นแค่เด็กรุ่นหลังมิใช่หรือ แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะเทียบเคียงสกุลหานของเราได้ ไยจึงไล่ไปไม่ได้เล่า”
วาจานี้กล่าวออกมาได้ไร้เหตุผลและไม่มองความจริงเอาเสียเลย เจ้าบ้านสกุลหานที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงการค้ามานานรู้ดีว่าต่อให้อีกฝ่ายเป็นเพียงขุนนางชั้นผู้น้อย หากมีธุระต้องพึ่งพาอีกฝ่าย และเขาดูแลฝ่ายตนได้ในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าอย่างไรตนก็จำต้องก้มหัว เจรจาอย่างนอบน้อม ยิ่งเจ้าบ้านสกุลฉินเพิ่งขายที่ดินให้เขาผืนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็จะขับไล่ไสส่งบุตรชายของอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัลนั้น หากลือออกไปคนอื่นจะไม่คิดว่าเขาหานโหย่วกงเป็นคนไร้คุณธรรมหรือ
“ท่านพ่อ” หานกวงเดินเข้าไปกล่าว “พวกเราไม่สะดวกออกหน้า ท่านให้เซี่ยฟั่งไปเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหานแค่นหัวเราะเสียงเบา “ขนาดพวกเราออกหน้าก็ยังทำอะไรไม่ได้ แน่ใจหรือว่าเขาจะไว้หน้าให้เซี่ยฟั่ง”
หานกวงจับมือผู้เป็นย่าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า เรื่องนี้ท่านย่าไม่รู้อะไร ตอนที่สกุลเซี่ยยังไม่ตกต่ำนั้นเคยสนิทชิดเชื้อกับสกุลฉินมาก่อน และมีความสัมพันธ์อันดีกันอยู่ ข้าคิดว่าฉินโหยวต้องให้เกียรติเขาบ้างไม่มากก็น้อย”
ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อเรื่องผีสางเทวดาเป็นอย่างยิ่ง วันที่สิบห้าเดือนแปดเป็นเทศกาลใหญ่ การขึ้นที่สูงอธิษฐานขอพรเป็นสิ่งที่ต้องทำทุกปี หากไม่ทำ…น่ากลัวว่าจะไม่เป็นผลดีกับสกุลหาน นางครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก็ตอบตกลง
หานกวงเรียกเซี่ยฟั่งมาทันที หลังบอกเรื่องนี้ เซี่ยฟั่งฟังแล้วย่นคิ้วเล็กน้อย “ลุงฉินดีกับข้าเหมือนลูกแท้ๆ ก็จริง แต่คุณชาย…กลับไม่ญาติดีกับข้านัก”
เรื่องนี้เจ้าบ้านสกุลหานเองก็รู้ วันนั้นที่พาเซี่ยฟั่งไปสกุลฉิน เขาก็เห็นท่าทีของฉินโหยวแล้ว เซี่ยฟั่งไปวิงวอนอีกฝ่ายเวลานี้ ต้องถูกฉีกหน้ากลั่นแกล้งกลับมาแน่นอน แต่เมื่อเทียบกันแล้ว เจ้าบ้านสกุลหานกลับไม่อยากให้พลาดฤกษ์งามมากกว่า ขึ้นที่สูงเพื่ออธิษฐานขอพรโดยเร็วย่อมดีที่สุด จึงกล่าวว่า “เจ้าลองไปพูดดู ไม่แน่หลังจากวันนั้นแล้ว ฉินโหยวอาจสำรวมขึ้นบ้างแล้ว”
เซี่ยฟั่งรับคำสั่ง
หอจื่อจิ่งมีทั้งหมดแปดชั้น ชั้นบนสุดก็คือชั้นที่สกุลหานใช้ในทุกปี ทว่าบัดนี้กลับถูกฉินโหยวยึดไป บันไดทางขึ้นจึงเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ของสกุลฉิน
เซี่ยฟั่งแจ้งจุดประสงค์ที่มาแล้ว บ่าวรับใช้จึงขึ้นไปรายงาน ไม่นานก็ลงมาบอกให้เขาขึ้นไป
ชั้นนี้กว้างขวางและสว่างไสว สี่ทิศล้วนเป็นราวกั้นไม่มีผนัง หากรู้สึกว่าลมแรงก็ลากฉากกั้นมาบังได้ มีโต๊ะอยู่ราวเจ็ดแปดตัว ด้านบนเต็มไปด้วยผลไม้และขนมไหว้พระจันทร์ ทุกโต๊ะจะมีถ้วยชาเก้าใบ ที่สื่อถึงการมีอายุยืนยาว
แต่ฉินโหยวกลับต่างจากคนทั่วไป เขาสั่งให้ย้ายโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ติดกับราวกั้นออกไปทั้งหมด แล้วเปลี่ยนเป็นเก้าอี้แบบมีพนักตัวใหญ่ ก่อนจะเอนนั่งแล้วโยกไปมา อาบลมเย็นยามฤดูใบไม้ร่วง สบายใจเหลือแสน กระทั่งได้ยินเสียงมีคนเดินมาจึงลืมตาขึ้น เมื่อเห็นว่ามีเพียงเซี่ยฟั่งมาโดยไร้เงาผู้อื่น จึงนั่งหลังตรงก่อนกล่าวถาม “เจ้ามาคนเดียวหรือ”
เซี่ยฟั่งนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ ฉินโหยวพลางทอดสายตามองออกไปนอกราวจับ ชมทิวทัศน์ที่นี่ รับลมโชยแผ่วเบาเช่นนี้ ช่างชวนให้มีความสุขเสียจริง “อืม”
“อีกเดี๋ยวข้าจะลงไปจากที่นี่แล้ว ทัศนียภาพมิอาจงามสู้หอหงจิ่งได้เลย” เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ “อาเหม่าไม่มาหรือ”
เซี่ยฟั่งแปลกใจเล็กน้อย ก่อนเหลือบตาขึ้นมองเขา “เหตุใดจึงถามถึงนาง”
“นางช่างเป็นแม่นางที่น่าสนใจยิ่งนัก ข้ายังชวนนางมาอยู่ที่สกุลฉินแล้ว แต่นางบอกว่าสัญญาทาสของนางเป็นสัญญาทาสตลอดชีพ มามิได้” ฉินโหยวกล่าวราวกับสนทนาเรื่องสัพเพเหระกับเขา “คืนวันสารทนางเห็นเจ้าแล้ว แม้นางจะบอกว่าเห็นไม่ชัด แต่ภายหน้ายามที่เราเจอกัน ก็ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”
ฟังฉินโหยวพูดเช่นนี้แล้ว ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็นึกถึงคืนที่อาเหม่าเรียกเขาที่หน้าประตูเรือนใหญ่ได้ สีหน้าของนางพลันฉายความแปลกใจเข้ามาวูบหนึ่ง เขารู้สึกได้ว่าอาเหม่าเดาออกว่าเป็นเขา เพียงแต่นางมิได้ถามอะไรทั้งสิ้น
ฉินโหยวเห็นเขาคล้ายอยู่ในภวังค์ความคิดก็มิได้รบกวน จนกระทั่งเซี่ยฟั่งลุกขึ้นโดยไม่กล่าวอะไรอีก ก่อนจะเดินตรงดิ่งลงไปยังชั้นล่าง ทำให้เขามึนงงยิ่งนัก
เซี่ยฟั่งรู้สึกได้ว่าอาเหม่าเห็นเขากับฉินโหยวสนทนากันแล้ว เพียงแต่ด้วยนิสัยน้อยเรื่องดีกว่ามากเรื่องของอาเหม่านั้นนางจึงมิได้พูดอะไรออกมา
ทว่า…ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะไม่พูดเลยแน่หรือ
เซี่ยฟั่งเดินหน้าไปทีละก้าว แววตายิ่งฉายความเย็นเยือกอยู่ลึกๆ ทุกๆ ย่างก้าวล้วนเต็มไปด้วยความพะวง
เขายังไม่ทันกลับไปถึงที่พักชั่วคราวของสกุลหาน ในหัวก็พลันสับสนวุ่นวายไปหมด