เจ้าบ้านสกุลหานกลับมาอีกครั้งในเวลาเที่ยงตรงของวันที่สอง กลับมาแล้วก็ไม่กินอาหารกลางวัน บอกว่ากินมาแล้ว เมื่อเซี่ยฟั่งถามถึงเวลาออกเดินทาง เจ้าบ้านสกุลหานครุ่นคิดพลางตอบ “สหายชักชวนเหนี่ยวรั้ง พรุ่งนี้ก็ค่อยเดินทางเถอะ”
เซี่ยฟั่งเข้าใจแล้วจึงไม่ถามว่าจะให้พาบ่าวรับใช้ไปด้วยหรือไม่ ทั้งยังให้พวกเขาไปกินข้าว เจ้าบ้านสกุลหานเห็นเขาทำเช่นนั้นจึงหยั่งเชิงถาม “ข้าไปพบสหายติดต่อกันสองวันเช่นนี้ เจ้าคิดว่าความสัมพันธ์ของพวกเราเป็นเช่นไร”
“ผู้ที่ร่ำสุราสนทนากับนายท่านได้ความสัมพันธ์ย่อมไม่ตื้นเขิน” เซี่ยฟั่งกล่าวตอบ “เรียกได้ว่าเป็นสหายรู้ใจ หรือเรียกว่าโฉมงามคู่ใจก็ย่อมได้”
เจ้าบ้านสกุลหานชะงักงัน ก่อนสำรวจคนพูดอย่างจริงจังแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนหลักแหลม เพราะฉะนั้นจึงอยากหาหนทางร่วมกับเจ้า”
เซี่ยฟั่งเหลียวมองโดยรอบ เมื่อเห็นไม่มีใครอื่นแล้วจึงกล่าวว่า “นายท่านอยากรับแม่นางคนนั้นเข้าตระกูล?”
ต่อให้เป็นเจ้าบ้านสกุลหานก็ต้องตะลึงกับไหวพริบอันเฉียบแหลมของอีกฝ่าย หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ภักดี เขาคงได้สงสัยว่าเซี่ยฟั่งแอบสะกดรอยตามเขาเป็นแน่ อย่างไรเขาก็กำลังต้องการพ่อบ้านที่มีสมองอย่างเซี่ยฟั่งอยู่แล้ว จะได้ทำการให้เขาได้มากยิ่งขึ้น
“เจ้าตามข้ามา”
เจ้าบ้านสกุลหานพาเซี่ยฟั่งไปด้วย ลัดเลาะผ่านสี่ตรอก ในที่สุดก็หยุดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งหนึ่ง เขาเคาะประตูแล้วบานประตูก็เปิดออก คนที่อยู่ด้านในโค้งร่างคำนับ “นายท่าน”
เซี่ยฟั่งรู้ว่าตนคาดเดาได้ถูกต้อง เจ้าบ้านสกุลหานซ่อนอนุภรรยาไว้ในรังรักตามคาด ไม่นานก็มีเสียงร้องดีใจของเด็กน้อยลอยมาจากด้านในจนถึงเรือนส่วนหน้า เด็กชายวัยเจ็ดแปดขวบหน้าตางดงามคนหนึ่งวิ่งออกมาพร้อมว่าว วิ่งไปพลางร้องไปพลาง
เจ้าบ้านสกุลหานเห็นแล้วก็รีบละล่ำละลัก “เฉิงเอ๋อร์ระวัง ระวังหกล้ม”
เขามีสีหน้าตระหนกลนลาน แววตาท่วมท้นด้วยความเป็นห่วง ทันใดนั้นเซี่ยฟั่งก็รู้ว่าตนลืมคาดเดาไปอีกเรื่องหนึ่ง…เฉิงเอ๋อร์คนนี้น่าจะเป็นบุตรนอกตระกูลของเจ้าบ้านสกุลหาน ทั้งยังถือกำเนิดจากสตรีคนนั้น
ครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาตามมา หญิงสาววัยยี่สิบสามในชุดผ้าแพรคนหนึ่งเดินนวยนาดออกมา หน้าตาเย้ายวนงดงาม แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม เปลือกตาและพวงแก้มล้วนถูกทาด้วยแป้งชาด ริมฝีปากก็ถูกเติมเป็นสีแดงสด ทั้งที่เป็นการแต่งแต้มซึ่งทั้งฉูดฉาดและไม่เหมาะสม แต่ราวกับเครื่องหน้าของนางนั้นถูกกำหนดมาให้เหมาะกับการแต่งโฉมด้วยสีสันจัดจ้านเช่นนี้ ดังนั้นนี่ไม่เพียงมิได้ดาษดื่น กลับยังขับดุลความเย้ายวนแพรวพราวของนางออกมาทั้งหมด
สวย…เพริศพริ้งจับใจ
เซี่ยฟั่งเห็นสตรีผู้นี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนายท่านที่กระดูกขัดมันมาตลอดจึงยอมซื้อคฤหาสน์หลังใหญ่ให้นางพำนักอยู่ที่นี่โดยเฉพาะ
เด็กชายเห็นเจ้าบ้านสกุลหานแล้วก็ชูว่าววิ่งเข้าไปหาเขา “ท่านพ่อ”
เจ้าบ้านสกุลหานโน้มร่างลงอุ้มเด็กชายขึ้นพลางกล่าวกลั้วหัวเราะ “ไยเฉิงเอ๋อร์จึงออกมาปล่อยว่าวเวลานี้เล่า อากาศร้อนอบอ้าว เกิดเป็นลมแดดขึ้นมาจะทำอย่างไร”
หญิงสาวเยื้องย่างไปถึงข้างตัวเจ้าบ้านสกุลหานแล้ว นางกล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน “เมื่อครู่เฉิงเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาไม่พบท่าน เพียงข้าบอกว่าท่านไปแล้ว เขาก็โวยวายว่าจะขี่ว่าวไปตามท่านให้ได้ ปรากฏว่าท่านกลับมาจริงๆ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าอีกหน่อยถ้าเขาอยากพบท่าน แล้วหยิบว่าวออกไปทุกครั้ง ข้าคงกลุ้มใจตาย นายท่านว่ามาซิว่าท่านจะชดใช้แก่ข้าเช่นไร”
เจ้าบ้านสกุลหานแย้มยิ้ม “อีกเดี๋ยวข้าก็จะพาเจ้าไปร้านไป่อวี้ไจ เจ้าอยากได้อะไรก็ซื้อได้เลย”
หญิงสาวหัวเราะเสียงเบา “ข้าไม่เห็นอยากได้ แค่ท่านยอมอยู่กับลูกอยู่กับข้าหลายๆ วันเช่นนี้ ข้าก็ดีใจแล้ว”
เซี่ยฟั่งฟังบทสนทนาระหว่างพวกเขา แม้หญิงสาวจะมิได้พูดจาระมัดระวังอย่างหานฮูหยินและฉินอี๋เหนียง ซ้ำยังถึงขั้นใจกล้า ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานกลับไร้วี่แววโกรธเกรี้ยว เหมือนจะชอบอกชอบใจเสียด้วยซ้ำ