หญิงสาวเหลือบเห็นเซี่ยฟั่งจึงเอ่ยถาม “นี่คือผู้ใดหรือ”
เซี่ยฟั่งตอบ “พ่อบ้านสกุลหาน เซี่ยฟั่งขอรับ”
หญิงสาวระบายยิ้มบนใบหน้า “แปลกจริง นายท่านพาคนในเรือนของตนเองมาด้วย หรือข้ากับเฉิงเอ๋อร์จะได้ออกไปเห็นเดือนเห็นตะวัน มิต้องหลบไม่ให้ใครเห็นอยู่ที่นี่ทั้งชีวิตแล้ว”
ต่อให้ได้รับความโปรดปรานเพียงใด แต่กลับไม่ได้แต่งเข้าสกุลหาน อย่างไรก็ย่อมปราศจากซึ่งความสบายใจ วาจาของนางในยามนี้จึงยิ่งประชดประชัน ทว่าเจ้าบ้านสกุลหานหลังจากฟังแล้วก็ยังไม่โกรธ น้ำเสียงกลับยิ่งอ่อนโยนมากขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าพาเขามาก็เพื่อหาทางมาพาเจ้ากลับตระกูล เฉิงเอ๋อร์เองก็โตแล้ว ควรอยู่ที่สกุลหาน เข้าสำนักศึกษาที่ดีที่สุด จ้างอาจารย์ที่ดีที่สุดของเหิงโจว เป็นคุณชายสกุลหาน”
หญิงสาวพลันหัวเราะเสียงเย็น “ใจท่านมีแต่เฉิงเอ๋อร์เช่นนี้ อิงอิงขอบคุณท่านแล้ว”
เจ้าบ้านสกุลหานเสียงอ่อน “ข้านึกถึงพวกเจ้าสองคนแม่ลูกเสมอ”
หลิ่วอิงไม่ยอมฟัง นางยื่นมือรับหานเฉิงที่เป็นบุตรชายมาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นนายท่านคิดใคร่ครวญแล้วค่อยบอกเถิด อย่าให้พวกเราดีใจเก้อ”
กล่าวจบนางก็อุ้มบุตรชายจากไป ไม่ไว้หน้าเจ้าบ้านสกุลหานแม้แต่นิดเดียว
เจ้าบ้านสกุลหานยืนอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะเล่าว่า “เมื่อก่อนนางไม่ได้มีนิสัยเช่นนี้ ทว่าหลายปีนี้ยิ่งนานวันนางก็ยิ่งร้ายกาจ ไร้เหตุผล ซ้ำยังบอกว่าขืนข้ายังไม่พานางกับเฉิงเอ๋อร์กลับไปอีก ก็จะพาเฉิงเอ๋อร์หนีไปไกลแสนไกล ไม่ให้ข้าเจอพวกนางอีก”
เซี่ยฟั่งมิได้กล่าวแทรก เพียงยืนฟังเจ้าบ้านสกุลหาน ‘ระบาย’ อยู่เงียบๆ
“ข้าอยากให้นางเป็นอนุคนที่สี่ แต่มีเรื่องหนึ่ง…ช่างเถอะ อย่างไรเจ้าก็ต้องรู้ บอกเจ้าก่อนก็ไม่เป็นไร อิงอิงถือกำเนิดในตระกูลยากจน ถูกขายไปยังหอนางโลมตั้งแต่เด็ก ภายหลังข้าไถ่ตัวนางออกมา จัดแจงให้อยู่ที่นี่ แล้วนางก็ให้กำเนิดเฉิงเอ๋อร์ แต่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีทางยอมรับหญิงนางโลมได้หรอก ต่อให้นางกลับตัวแล้วก็ตาม”
เซี่ยฟั่งครุ่นคิดแล้วเสนอ “ฮูหยินผู้เฒ่านิสัยดื้อรั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครเกลี้ยกล่อมได้เลย ฮูหยินผู้เฒ่าเชื่อฟังคำพูดของคุณชายรองที่สุด หากให้คุณชายรองไปเกลี้ยกล่อมสักหน่อย เช่นนั้นก็มั่นใจได้แปดส่วนว่าจะสำเร็จ”
“เดิมกวงเอ๋อร์ก็เกิดจากอี๋เหนียง ยามนี้กลับต้องมีอี๋เหนียงอีกคนเพิ่มขึ้นมา ทั้งยังต้องมีน้องชายคนหนึ่งเพิ่มมาอีก เขาจะยอมได้อย่างไร”
เซี่ยฟั่งกล่าวพลางมองเจ้าบ้านสกุลหาน “นายท่านเคยคิดหรือไม่ว่าจะแบ่งสมบัติให้คุณชายเฉิงเอ๋อร์ในวันข้างหน้า”
เจ้าบ้านสกุลหานขมวดคิ้วมุ่นทันที ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเซี่ยฟั่งจึงถามเช่นนี้
เซี่ยฟั่งพลันกดเสียงลงต่ำ “คุณชายใหญ่สติปัญญาบกพร่อง ตามหลักแล้วต้องตกอยู่ในอันดับรอง ท้ายที่สุดภาระของสกุลหานจะตกลงบนบ่าของคุณชายรอง หากนายท่านเองก็มีความคิดเช่นเดียวกันนี้ เช่นนั้นก็สัญญากับคุณชายรองเรื่องหนึ่ง ขอเพียงรับคุณชายเฉิงเอ๋อร์เข้าตระกูลได้ นายท่านก็จะยกกิจการให้เขาสืบทอด ขณะเดียวกันเพื่อให้คุณชายรองวางใจ ทางที่ดีก็มอบเงินก้อนหนึ่งให้เขาด้วย”
เจ้าบ้านสกุลหานจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ “นี่ก็คือความคิดของเจ้า? ให้ข้าทำพินัยกรรมหรือ”
เซี่ยฟั่งเบาเสียงยิ่งกว่าเดิม “ให้คำสัญญาแล้ว หนังสือรับรองก็ให้แล้ว ทว่า…รอแค่แม่นางอิงเข้าตระกูลเป็นอี๋เหนียงแล้ว นายท่านที่ยังร่างกายแข็งแรงอยู่จะทำลายสัญญานั้นเสียก็ไม่มีใครกล้าว่าอะไร”
เจ้าบ้านสกุลหานเข้าใจทันที ในที่สุดก็รู้ว่าเพราะอะไรเซี่ยฟั่งถึงคิดเรื่องที่ตนคิดไม่ได้ภายในเวลาชั่วครู่นี้ได้ เพราะเซี่ยฟั่งเป็นคนนอก เขาสามารถทำเรื่องเช่นนี้กับหานกวงได้อย่างไม่ปรานี ส่วนตนต่อให้ฉลาดเพียงใดก็ยากจะตัดสัมพันธ์สายเลือดจนนึกถึงวิธีเช่นนี้ออกมา
แม้จะดูใจจืดใจดำไปบ้าง แต่กลับเป็นวิธีที่ดี
เซี่ยฟั่งเอ่ยสำทับ “วิธีนี้โหดเหี้ยม แต่ข้าเซี่ยฟั่งไม่กลัวอายุสั้น ข้าซื่อสัตย์กับนายท่าน หวังเพียงว่านายท่านจะไม่เห็นว่าข้าเป็นคนต่ำช้า ขอแค่เป็นเรื่องที่นายท่านต้องการให้ข้าทำ ต่อให้ฆ่าคนข้าก็จะทำ”
เจ้าบ้านสกุลหานนึกถึงเรื่องที่คนบังคับรถม้าลอบสังหาร แล้วเซี่ยฟั่งสกัดมีดไว้โดยไม่คำนึงอะไรทั้งสิ้น รวมเข้ากับวันนี้แล้ว เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายมิได้โกหก
มีบ่าวรับใช้ที่จงรักภักดีจนน่ากลัวเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
อย่างน้อยดูจากเวลานี้แล้วล้วนเป็นเรื่องดี