Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1
พล็อตเรื่องนั้นแสนธรรมดาเช่นเดียวกับนิยายรักทั่วไป ประธานบริษัทกับเลขาฯ ทำงานด้วยกันทุกวัน ทำงานไปทำงานมาก็สบตากันโดยบังเอิญ ส่งสายตาให้กัน ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แล้วก็เปลี่ยนจากโต๊ะทำงานไปเป็นบนเตียงโดยไม่ทันระวัง กลิ้งไปกลิ้งมา…ขอตัดฉากคาวโลกีย์ความยาวสามสี่แสนตัวอักษรออก…จากนั้นคู่หมั้นสาวที่มาพร้อมกับเงินและอิทธิพลมหาศาลก็ปรากฏตัวขึ้น…ขอตัดฉากตบตี สาดกาแฟ เจรจาต่อรอง เซ็นเช็คที่มีความยาวสามสี่แสนตัวอักษรออกอีกครั้ง…เรื่องนี้เป็นดราม่าแสนเศร้า ประธานบริษัทจีบเลขานุการสาว บวกกับมีคู่หมั้นสาวคอยก่อกวนวุ่นวาย ทะเลาะเบาะแว้งด่าทอกันตลอดจนมาถึงตอนจบ คนรักกันท้ายสุดก็ได้ครองเรือนกัน โอ๊ะ! ไม่ใช่สิ คนรวยท้ายสุดก็ได้ครองเรือนกันต่างหาก ประธานบริษัทหรือก็คือพ่อของฉันได้แต่งงาน ส่วนคู่ครองก็เป็นคุณหนูที่มีชาติตระกูล ฐานะเท่าเทียมกัน
มีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘ผู้หญิงอ่านนิยายรักก็เหมือนกับการที่ผู้ชายดูหนังโป๊ ต่างก็เป็นการผ่อนคลายทั้งคู่’ นิยายรักก็เหมือนกับหนังโป๊ คือเป็นนิทานสำหรับผู้ใหญ่ ในเมื่อเป็นนิทาน หากเชื่อเป็นจริงเป็นจัง คุณก็จะพ่ายแพ้
ในชีวิตจริง พ่อฉันไม่เผด็จการพอ ด้านแม่ใหญ่ก็แสนจะเก่งกาจเฉลียวฉลาดเหลือเกิน เรื่องที่จะเขียนชื่อใครบนช่องสำหรับกรอกชื่อคู่สมรสในทะเบียนบ้านนั้นทำเอาผู้หญิงสองคนต้องต่อสู้เชือดเฉือนกันเป็นสิบกว่าปี สร้างความขบขันให้กับคนนอกไม่น้อย แต่จนแล้วจนรอดพ่อผู้ไม่มีความรับผิดชอบก็ลาจากโลกไปโดยที่ยังคงจัดการแก้ปัญหาไม่ได้
ผ่านไปสิบกว่าปี เมียหลวงกับเมียน้อยก็จำต้องยุติการรบ รักษาความปรองดองกันเฉพาะภายนอก แล้วคุณนายใหญ่ก็รับเลี้ยงฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพ ‘ลูกนอกสมรส’ จากนั้นมาฉันก็เรียกคุณนายใหญ่ว่า ‘แม่ใหญ่’
ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์มากมายมหาศาลของบริษัท ระหว่างเมียหลวงที่ไม่มีลูกกับเมียน้อยที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว ใครมีฐานะสูงต่ำกว่ากันเป็นเรื่องที่พูดยากมากจริงๆ
“ลูกเดินใกล้ผู้หญิงคนนั้นมากขนาดนั้น ไปเที่ยวและทำศัลยกรรมที่เกาหลีด้วยกันอย่างมีความสุข นึกไม่ถึงเลยว่าจะปิดบังแม่…” คุณนายจูเลียน้ำตาคลอ แสดงเก่งจริงๆ “ในสายตาลูกยังมีแม่บังเกิดเกล้าคนนี้อยู่มั้ย ฮือๆๆ…พ่อของลูกด่วนสิ้นบุญไปก่อน ชีวิตนี้แม่ต้องฝากผีฝากไข้กับลูกแล้ว…”
อย่ามาพูดแบบนี้หน่อยเลย
“พ่อทิ้งบ้านและที่ดินไว้ให้ไม่ใช่เหรอ แม่ยังต้องฝากผีฝากไข้หนูอีกเหรอคะ” ฉันเหลือบมองทางหางตา “อย่าบอกนะว่าแม่ขายไปหมดแล้ว”
“บ้านเก่าซอมซ่อแถบชานเมืองห่างไกลแค่ไม่กี่หลังจะได้ราคาสักเท่าไหร่กัน ถึงแม่อยากขายก็คงไม่มีใครอยากซื้อหรอก!” แม่ถอนหายใจ ดูท่าทางซึมเศร้า “ซิงเฉิน แม่จะบอกให้ฟังนะ การที่แม่อยู่กับพ่อของลูก แม่ไม่ได้หวังบ้านและที่ดินพวกนั้นเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงเราคือหน้าตาและชื่อเสียง…”
“ก็จริง ยังไงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงเราก็คือหน้าตาและชื่อเสียง” ฉันครุ่นคิดแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “แม่น่ะอย่าว่าแต่บ้านไม่กี่หลังเลย อย่างน้อยๆ สมบัติหนึ่งในสามของ ‘กลุ่มบริษัทดอลลี่’ ก็เป็นของแม่ แม่ใช้สามสี่ชาติก็ไม่หมด”
กลุ่มบริษัทดอลลี่เป็นกิจการของครอบครัวฉันที่ตกทอดกันมาสามรุ่น อย่าเพิ่งคิดว่าชื่อออกฝรั่งนี้ตั้งได้ทันสมัยนะ พอเขียนเป็นภาษาจีนมันก็คือคำว่า ‘ลี่’ ที่หมายถึงกำไรเยอะแยะ เงินทองมากมาย
กิจการภายใต้กลุ่มบริษัทดอลลี่นั้นไม่ได้สลับซับซ้อน ทำเฉพาะรองเท้าอย่างเดียว เช่น รองเท้าผู้ชาย รองเท้าผู้หญิง รองเท้าหนัง รองเท้ากีฬา รองเท้าปีนเขา รองเท้าจ๊อกกิ้ง รองเท้าผ้า รองเท้าแตะ รองเท้าบูตกันน้ำ รองเท้ายาง รองเท้าสำหรับทารก รองเท้าบูตสำหรับขี่ม้า รองเท้าสำหรับเดินลุยหิมะ…พูดง่ายๆ คืออะไรก็ตามที่ห่อหุ้มฝ่าเท้าได้ล้วนเป็นสินค้าที่โรงงานของครอบครัวฉันผลิตหรือไม่ก็จ้างบริษัทอื่นผลิตให้
ทำรองเท้าแล้ววิเศษตรงไหนน่ะเหรอ ก็ไม่ได้วิเศษอะไรหรอก นิตยสารการเงินกล่าวว่ามันมีมูลค่าทางการตลาดแค่ไม่กี่หมื่นล้านเท่านั้นเอง
“ตอนนั้นพ่อของลูกบอกว่าจะหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้วมาแต่งงานกับแม่ แต่สุดท้าย ดูสิ ถ่วงมาสิบกว่าปี จนแม่ต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้…”
“คนก็ตายไปแล้ว มาพูดเรื่องพวกนี้ต่อหน้าลูกแล้วมันได้ประโยชน์อะไร”
สิ้นเสียงแม่ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าแบรนด์ชาแนล เกล้ามวยผมดูสะอาดเรียบร้อย ใส่รองเท้าส้นสูงสีทองเดินเข้ามาเสียงดังกึกๆ แม่ใหญ่ปรากฏตัวแล้ว
แม่ใหญ่มีชื่อเดิมว่าเฉินหมิงลี่ แม้จะอายุสี่สิบปลายๆ แล้ว แต่ก็ดูแลรักษาหุ่นเป็นอย่างดี แต่งหน้าสวยสดงดงาม ภาพลักษณ์ดูเก่งฉลาด ทั้งยังสุขุมหลักแหลม เป็นหญิงเก่งดูแลกลุ่มบริษัทดอลลี่ เรียกได้ว่าสมแล้วที่ได้ฉายา ‘เจ้าแม่ธุรกิจรองเท้า’
ฉันนับถือแม่ใหญ่ ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องพูด เพราะอย่างไรก็ตามนายทุนที่ทำให้ฉันมีเงินใช้สอยไม่ขาดมือก็คือเธอ แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าสำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง การโลดแล่นในวงธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้หญิงเฉลียวฉลาดแบบนี้ เมื่อแต่งงานไปแล้ว ไม่ว่าสามีจะดีหรือเลวก็ต้องใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต หากได้พบเจอผู้ชายที่รักเธอเพียงผู้เดียวจะเปี่ยมสุขมากขนาดไหน แต่เธอกลับต้องมาเจอพ่อจอมเจ้าชู้ของฉัน แล้วยังมีเมียน้อยที่โง่เขลาซึ่งก็คือแม่ของฉัน ทั้งสามคนต่างก็พัวพันยุ่งเหยิง ทำให้ชีวิตของแต่ละคนเละเทะกลายเป็นก้อนโคลน ช่างโชคร้ายเสียจริง
“ฉันก็แค่กำลังทอดถอนใจที่วัยสาวมันมีจำกัด อยากให้ซิงเฉินใช้ชีวิตให้เต็มที่”
“พูดไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ เธอไม่มีอย่างอื่นทำแล้วหรือยังไง” แม่ใหญ่พูดเหยียด
“ก็ไม่มีอะไรทำนะคะ ทุกวันถ้าไม่ไปเดินเที่ยวช็อปปิ้งก็ไปทำสปา ไม่งั้นก็หาคนมาดื่มชายามบ่ายเป็นเพื่อน พอว่างจนหงุดหงิดก็เลยต้องมาคุยเล่นกับลูกสาว…” คุณนายจูเลียกลอกสองตาไปมาเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ช่วงนี้คุณพี่งานยุ่งมากเลยเหรอคะ วันก่อนฉันเห็นคุณพี่คุยกับคนพวกนั้นตั้งนานสองนาน”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“คนพวกนั้นต่างอยู่ในวงการอาหาร คุณพี่คิดจะเปิดร้านอาหารอย่างนั้นเหรอคะ”
“ก็แค่บังเอิญเจอกัน คุยกันสามสี่ประโยคเท่านั้น เธอคิดมากไปแล้ว”
ผู้หญิงสองคนคุยเรื่องงานกัน ฉันก็เลยหยิบตะไบตรงโต๊ะเครื่องแป้งมาแต่งเล็บตัวเองอย่างเซ็งๆ พลางครุ่นคิดว่าจะแต่งเล็บแนวเรียบๆ สไตล์ฝรั่งเศส หรือว่าจะติดคริสตัล เพิ่มขนนกให้มันเด้งสะดุดตากันไปเลยดี
“นั่นสินะ กลุ่มบริษัทดอลลี่เองก็ไม่มีเงินสำรองให้คุณพี่เอาไปลงทุนแล้ว แต่ว่า…” คุณนายจูเลียดึงมือของแม่ใหญ่มากุมแน่น “คุณพี่คะ ถ้าจะเปิดร้านอาหารจริงๆ ล่ะก็ น้องคนนี้ก็ยินดีจะช่วยนะคะ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าเรื่องกิน ฉันก็พอมีความรู้อยู่บ้าง”
“เธอน่ะเหรอ” แม่ใหญ่ออกแรงดึงมือออกและพูดเสียงเย็นชา “ฉันมอบให้ซิงเฉินซะยังจะดีกว่า”
“มอบให้ซิงเฉิน? ได้ยังไงกันล่ะคะ! ซิงเฉินยังเด็กอยู่เลย” คุณนายจูเลียงงงันครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ให้ฉันช่วยแบ่งเบาภาระดีกว่านะคะ”
แม่ใหญ่พูดอย่างดูถูกดูแคลนว่า “ความหมายฉันคือไอคิวเธอยังสู้เด็กไม่ได้เลย”
“เธอ…!”
การโต้เถียงกันอย่างเผ็ดร้อนได้ปะทุขึ้น แต่ทันใดนั้นพลันมีเสียงเคาะประตู ฉันรีบตะโกนบอกว่า “เข้ามาได้”
“คุณซิงเฉินคะ ชุดราตรีดิออร์ที่คุณสั่งมาส่งแล้วค่ะ” เป็นป้าแม่บ้านถือกล่องของขวัญสีเงินใบใหญ่อยู่
ฉันเชิดคางขึ้นและตอบอย่างเชิดหยิ่งว่า “อืม วางไว้นั่นแหละ”
แม้เนื้อแท้แล้วฉันจะเป็นพวกไม่เอาไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอก ฉันก็ต้องวางมาดคุณหนูสักนิด
ป้าแม่บ้านขานตอบ จากนั้นเดินถอยออกไปอย่างนอบน้อม
“ชุดราตรีดิออร์ชุดนี้สวยจริงๆ เลย สีชุดขับผิวของซิงเฉินมาก รีบไปเปลี่ยนมาให้แม่ดูหน่อยเร็ว” คุณนายจูเลียมักจะชมฉันไปพร้อมกับชมตัวเองด้วย “สมกับที่เป็นลูกสาวแม่ ได้ความสวยจากแม่มาเต็มๆ เลย”
แม่ใหญ่ควักเช็คหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนม แล้วโบกไม้โบกมืออย่างหงุดหงิด พูดเชิงไล่ว่า “นี่ก็ดึกแล้ว แทนที่เธอจะพูดเพ้อเจ้ออยู่ที่นี่ต่อไป สู้เอาเงินแล้วกลับไปดีกว่า”
“พูดอย่างกับว่าฉันมาเพื่อเงินอย่างนั้นแหละ”
“ไม่เอาก็ไม่เป็นไร” แม่ใหญ่ทำท่าเก็บเช็ค
“ไหนๆ คุณพี่จะให้ คนเป็นน้องก็ควรรับเอาไว้” คุณนายจูเลียรับเช็คมาอย่างเคืองๆ แต่ก่อนจะกลับก็ไม่ลืมหยิบกระเป๋ารุ่นมอเตอร์ไซเคิล แบ็กของแบรนด์บาเลนเซียก้าที่ฉันเพิ่งซื้อมาติดมือไปด้วย
“ใบนี้สีดำ ลูกถือแล้วดูแก่จะตาย!” แม่ยัดเยียดกระเป๋าสำหรับงานราตรีสีฉูดฉาดที่มีโลโก้สีทองตัวใหญ่ให้กับฉัน “แลกกับใบนี้ของแม่ ไม่ต้องขอบคุณแม่หรอกนะ”
เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เอากระเป๋าเฟนดิราคาไม่ถึงสองหมื่นมาแลกกับกระเป๋าหนังแกะบาเลนเซียก้าราคาแปดหมื่นของฉันเนี่ยนะ
ฉันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วชั่งใจระหว่าง ‘ความกตัญญู’ กับ ‘กระเป๋าแบรนด์เนม’ หลังจากผ่านไปสามสี่วินาที ความเป็นมนุษย์ที่ยังไม่สูญสิ้นไปก็บีบให้ฉันพูดออกมาว่า “ถ้าแม่ชอบก็เอาไปเถอะค่ะ”
“ฮิๆ วันนี้โชคดีจริงๆ” มือหนึ่งหนีบเช็คที่เขียนตัวเลขเจ็ดหลัก อีกมือหนึ่งหิ้วกระเป๋าแบรนด์เนม แล้วคุณนายจูเลียก็เดินบิดบั้นท้ายจากไปอย่างมีความสุข
“ฮึ พอเห็นเงินก็ตาโต เป็นแบบนี้ตั้งแต่สาวยันแก่ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปอย่างนี้ตลอดชีวิตแน่นอน” แววตาของแม่ใหญ่เปี่ยมด้วยความดูถูก
แม้ปกติฉันเองก็ไม่ชอบผู้หญิงที่ละโมบอย่างคุณนายจูเลีย แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็เป็นแม่แท้ๆ ที่อุ้มท้องฉันมาเกือบสิบเดือน ระหว่างแม่กับลูก เราจะไม่ชอบหรือเบื่อหน่ายกันได้ แต่ไม่อาจทนเห็นคนอื่นมาวิจารณ์ได้
ฉันเค้นคำพูดออกมาเบาๆ “ก็ยังดีกว่าบางคน…ที่คอยทำแต่เรื่องไม่ดีตลอดเวลา”
เฉินหมิงลี่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชา “ฮึ ถ้าไม่ได้ฉัน เธอเองก็เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่เกิดจากการนอกใจ ถ้าไม่อยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ก็ดูแลปากแม่เธอให้มันดีๆ”