Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1
ฉันเงยหน้าเหลือบมองสีหน้าที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของแม่ใหญ่ แล้วทำเสียงฮึดฮัดนิดหน่อย จากนั้นก็ถือชุดราตรีเข้าไปในห้องแต่งตัวโดยไม่พูดอะไรอีก
การมีชีวิตอยู่ในซอกหลืบนี่ไม่ง่ายเลย ยิ่งพูดมากเท่าไรก็ยิ่งผิดมากเท่านั้น ดีที่ฉันรู้จักมองดูสีหน้าคนมาตั้งแต่เด็กแล้ว รู้ดีว่าเวลาไหนควรจะปิดปากเงียบ
เฮ้อ! ช่างมันเถอะ ไม่พูดแล้ว เรื่องเศร้าหมองพวกนี้ไม่ควรบอกให้คนนอกรู้
แต่ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นเรื่องราวของซินเดอเรลล่าที่เปลี่ยนจากอีกามาเป็นหงส์…เช่นนั้นก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เข้าใจผิด
โยนความลับที่ไม่มีใครรู้พวกนี้ทิ้งไปซะ ฉัน หลินซิงเฉิน คุณหนูผู้ดีมีตระกูลในสายตาคนนอก ผู้มีหุ่นเหมือนนางแบบ (ผลจากการไดเอ็ตอย่างเคร่งครัด) หน้าตาสะสวยดั่งดอกไม้ (แม้จะผ่านมีดหมอนิดหน่อยก็ตาม) มีเงินทองให้ใช้ไม่หมดไม่สิ้น (ถ้าฉันได้แต่งเข้าตระกูลที่ร่ำรวยนะ) ก็คือคำเรียกผู้ชนะในเกมชีวิตนั่นเอง
ภายใต้ร่มเงาของตระกูลที่ร่ำรวย แน่นอนว่าชีวิตคุณหนูของฉันเลิศหรูมาก ขณะที่เด็กผู้หญิงหลายคนกำลังเล่นตุ๊กตาบาร์บี้กันอยู่ ของขวัญวันเกิดของฉันกลับเป็นกระเป๋าชาแนล เครื่องเพชรคาร์เทียร์ เวลาออกไปข้างนอกก็มีคนขับรถติดตามดูแล พอเข้ามาในบ้านก็มีพ่อบ้านคอยรับใช้ ไม่เคยรู้เลยว่างานบ้านคืออะไร
หลังจากเรียนจบชั้นประถมก็ถูกส่งไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ถึงผลการเรียนจะพอถูไถ แต่แค่ขีดๆ เขียนๆ ไม่กี่รูป ทุกคนก็พากันยกยอปอปั้น ตอนอายุสิบสี่ปีเคยจัดนิทรรศการภาพวาดแบบไม่ได้ใส่ใจนัก นับแต่นั้นผู้คนก็ชื่นชมฉันว่าเป็น ‘จิตรกรสาวสวยผู้เพียบพร้อม’
นอกจากเรื่องไม่เป็นเรื่องในบ้านพวกนั้นแล้ว ชีวิตเช่นนี้ยังมีอะไรที่น่าเสียใจอีก แต่ถ้าตามมาตรฐานของคุณแม่ทั้งสองท่าน หากมีอีกอย่างก็จะเพอร์เฟ็กต์ นั่นก็คือมีผู้ชายที่คู่ควรกับชาติตระกูล ฐานะ รูปร่างหน้าตา และความสามารถของฉัน สรุปก็คือผู้ชายที่ ‘สูง หล่อ รวย’
ผู้หญิงสองคนนั้นมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันตลอด แต่พอเรื่องช่วยเลือกสามีให้ฉันกลับใจตรงกันซะอย่างนั้น
หลังจากคุณแม่ทั้งสองครุ่นคิดอย่างหนัก ในที่สุดก็หาผู้โชคร้ายให้ฉันได้สำเร็จ…เอ่อ จับเต่าสีทองได้สำเร็จ คนคนนั้นก็คือ ‘เจิ้งฉู่เย่า’
เจิ้งฉู่เย่าคือใคร
เขาคือคุณชายแห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่า กิจการของตระกูลเขาครอบคลุมห้างสรรพสินค้า ธนาคาร บริการการท่องเที่ยว การศึกษา ธุรกิจการเงิน เทคโนโลยี แล้วเมื่อไม่กี่ปีมานี้ยังลงทุนก้อนใหญ่ด้านซื้อขายที่ดินด้วย
ก่อนเดินทางไปเรียนที่ญี่ปุ่น ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเคยเจอกันมาก่อน แต่แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น โดยเจอกันในการพบปะทางธุรกิจของสองตระกูล การพบกันแต่ละครั้งไม่ค่อยแฮปปี้สักเท่าไร สีหน้าที่เขามองฉันถ้าไม่ใช่เย็นชามากก็เย็นชามากๆๆ ส่วนฉันก็มักจะตอบกลับด้วยใบหน้าเหมือนปวดหนักอยากเข้าห้องน้ำ
ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้บุพเพอลวนของเราถูกเบื้องบนลิขิตไว้แล้วล่ะ แถมยังหยั่งรากลึกอีกต่างหาก
การพบกันครั้งแรกของฉันกับเจ้าหมอนั่นเป็นความทรงจำที่เหมือนกับฝันร้าย ซึ่งฉันจำฝังใจไม่มีลืม!
ปีนั้น ในวันนั้น…
ภายในห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราโอ่อ่า โคมไฟคริสตัลแขวนห้อยระย้าอยู่บนเพดาน แสงไฟสีขาวสว่างจ้าจนเหมือนกับจะลุกไหม้ขึ้นมา เสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนกับเสียงชนกระทบของจานและแก้วสอดประสานกันกลายเป็นบทเพลงซิมโฟนีหมายเลขห้า
ตอนนี้มาคิดๆ ดู สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นลางร้าย แต่ฉันกลับเมินเฉยไปซะอย่างนั้น
เด็กหญิงอายุหกขวบวิ่งไปมาบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ ฉันยกกระโปรงฟูฟ่องสีชมพูพลางวิ่งโดยที่เท้าข้างหนึ่งสวมรองเท้า ส่วนอีกข้างหนึ่งเปลือยเปล่า ตามหารองเท้าอีกข้างที่ไม่รู้ว่าหายไปได้ยังไงจนทั่ว
ขายาวๆ ของพวกผู้ใหญ่เดินขวักไขว่อยู่ตรงหน้า บ้างสวมกางเกง บ้างก็สวมกระโปรง เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในป่าอันชั่วร้าย คอยกีดขวางทางฉันไม่หยุดหย่อน
ยิ่งหาก็ยิ่งลนลาน ยิ่งลนลานก็ยิ่งหาไม่เจอ กลัวว่าจะโดนแม่ใหญ่ดุ แล้วฉันก็เริ่มเบ้ปาก น้ำตาเอ่อคลอเบ้า เตรียมร้องไห้โฮเต็มที่
แต่แล้วจู่ๆ ช่องเล็กๆ ก็แหวกออกท่ามกลางผู้คน เงาร่างตัวน้อยเงาหนึ่งมุดลอดออกมา
เจ้าชายปรากฏตัวแล้ว!
เขาสวมชุดสูทสีขาว ผูกหูกระต่ายสีแดงที่คอเสื้อ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ดูหล่อเหลามาก เพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูท่าทางค่อนข้างหงุดหงิด
ปากอมชมพูของเขาเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้วว่า ‘มานี่’
ฉันเข้าไปใกล้อย่างขลาดกลัว ‘อะไรเหรอ’
‘นี่ของเธอหรือเปล่า’ มือขาวป้อมถือรองเท้าหนังสีชมพูที่สวยงามข้างหนึ่งไว้
‘อ๊ะ รองเท้าฉันเอง’ ฉันซาบซึ้งจนโผเข้ากอดเขา
เจ้าชายตัวน้อยตกใจตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอยหลังหนึ่งก้าว ‘เอ้านี่ รองเท้าเธอ รีบสวมซะสิ’
ฉันนิ่งอึ้งชั่วขณะ
อ้าว ไม่เหมือนนิทานเรื่องซินเดอเรลล่าที่แม่นมอ่านให้ฟังทุกคืนหรอกเหรอ เจ้าชายถือรองเท้าแก้วมาตรงหน้าซินเดอเรลล่าและพูดว่า ในที่สุดฉันก็หาเธอจนเจอ รีบสวมรองเท้าแก้วแล้วมาเป็นเจ้าหญิงของฉันเถอะ!
หัวใจดวงน้อยของฉันอดจะผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ แต่ฉันก็ยังคงยกเท้าข้างที่ไม่ได้สวมรองเท้าขึ้นมาอย่างเขินอาย รอคอยให้เจ้าชายสวมรองเท้าให้ฉัน
เจ้าชายเอียงคองงงวย
‘เร็วสิ ช่วยสวมรองเท้าให้ฉัน’ ฉันกระดิกเท้า มัวรีรออะไรอยู่ล่ะ ฉันยกเท้าจนเมื่อยแล้วนะ
‘ไม่’ เจ้าชายปฏิเสธเสียงเฉียบขาด พร้อมกับจ้องตาเขียวปั้ด
‘ว่าไงนะ’ ฉันงุนงง เจ้าหมอนี่ไม่ทำตามบทนี่นา! ‘สวมให้ฉัน’
‘ไม่’
‘สวมให้ฉัน’
‘ไม่’
‘สวมให้ฉัน’
หลังจากเถียงไปเถียงมาหลายรอบ เจ้าชายน้อยก็หมดความอดทน คิ้วพันกันดูดุร้ายน่ากลัว โยนรองเท้าใส่ฉัน ‘สวมเองสิ’ พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
ฉันงุนงงอีกครั้ง
รองเท้าถูกโยนใส่ตัวฉันเบาๆ มันไม่เจ็บ แต่กระทบหัวใจดวงน้อยของฉันจนแตกสลาย
นิทานเรื่องซินเดอเรลล่านั้นหลอกลวง ในชีวิตจริงเจ้าชายที่เก็บรองเท้าแก้วได้ที่แท้ก็ไม่ได้มีหน้าที่ช่วยสวมรองเท้าให้คุณ
‘นี่! หยุดนะ!’ ฉันกรีดร้องเสียงดัง เขาตกใจจนฝีเท้าหยุดชะงักแล้วหันกลับมา
‘สวมรองเท้าให้ฉัน’ ฉันบอกเขา
‘ไม่’ ความเดือดดาลกำลังก่อตัวขึ้นในแววตาสดใสของเจ้าชาย ‘เธอเป็นตัวอะไร กล้าดียังไงมาสั่งฉันให้สวมรองเท้าให้’
เธอเป็นตัวอะไร…ประโยคนี้ทิ่มแทงจิตใจอันบอบบางของฉันดังฉึก แล้วใบหน้าที่โหดร้ายก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองทีละหน้าๆ หมุนวนไปเหมือนแถบตัวอักษรที่วิ่งอยู่ด้านล่างจอทีวี พร้อมกับเสียงเย็นชา
‘เธอเป็นตัวอะไรกล้าเข้ามาในบ้านสกุลหลิน’
‘เธอเป็นตัวอะไรกล้ามาใส่ชุดนี้’
‘เธอเป็นตัวอะไรกล้ามานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันกับฉัน’
‘เธอเป็นตัวอะไร เธอก็เป็นแค่…ลูกนอกสมรส’
‘ฉันไม่ใช่ตัวอะไรทั้งนั้นแหละ!’ ฉันตวาดเสียงดัง แล้วเขวี้ยงรองเท้าใส่หน้าเขาเต็มแรง แต่ฉันควบคุมแรงและระดับความสูงได้ไม่ดี รองเท้าหนังสีชมพูบินลอยข้ามศีรษะของเจ้าชายไป หมุนคว้างอยู่กลางอากาศสามสี่ตลบ แล้วพุ่งไปที่หอคอยแชมเปญที่จัดเรียงเป็นชั้นๆ อยู่ด้านหลังเขา