Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1
แม้จะควบคุมระดับความสูงได้ไม่ดี แต่องศานั้นช่างแสนจะเหมาะเหม็ง หากมันโยกไปซ้ายหรือขวาเล็กน้อยอาจจะไม่เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นก็ได้ แต่ฉันเชื่อว่ามันจะต้องมีพลังลึกลับบางอย่างแน่นอนที่ทำให้รองเท้าหนังสีชมพูชนโดนหอคอยแชมเปญอย่างแม่นยำ แก้วที่อยู่บนยอดสุดสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นพังทลายลงมาเสียงดัง ทั้งแชมเปญ ทั้งเศษแก้ว แตกกระจายเต็มพื้นไปหมด
สำหรับเด็กตัวน้อยสองคน ตึกแฝดพังถล่มเป็นแบบนี้นี่เอง
พี่ชายคนหนึ่งที่อยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุที่สุดได้สติขึ้นมาฉับพลัน เขารีบวิ่งเข้ามาหาพวกเราและถามหาตัวการ ‘พวกเธอสองคน! ใครเป็นคนเขวี้ยงรองเท้า!’
ฉันตัวสั่นเทา แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว เห็นชายหนุ่มถูกสาดเปียกไปทั้งตัว แชมเปญสีอำพันไหลลงมาตามใบหน้าที่หล่อเหลาดังเทพบุตรของเขา…น่าเสียดาย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ใสซื่อไร้เดียงสามาก ก็เลยไม่รู้จักชื่นชมทัศนียภาพภายใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่มที่มีเสน่ห์ยิ่งกว่าใบหน้าซะอีก
‘ว่าไง ตกลงใครเขวี้ยง’ น้ำเสียงของพี่ชายเฉียบขาดกว่าเดิม
ฉันมองสีหน้าของแม่ใหญ่อยู่นาน ลูกนอกสมรสที่เป็นเหมือนกาฝากอย่างฉันเกิดเข่าอ่อน จึงรีบชี้ไปที่เจ้าชายน้อยอย่างฉับไวและพูดเสียงสะอึกสะอื้น ‘เขา…เขาแย่งรองเท้าของหนูไป…หนูให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วยหนูก็เลยพานโมโหเขวี้ยงรองเท้า…’
ฉันหยุดพูด รู้สึกเหมือนว่าตัวเองพูดบางอย่างผิดไป แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี ก็เลยได้แต่ทำสิ่งที่เด็กทุกคนชอบทำเวลาที่ทำผิด นั่นก็คือ…ร้องไห้โฮ
‘ผมไม่ได้แย่งรองเท้าของเธอนะฮะ!’ เจ้าชายหน้าดำหน้าแดง แล้วออกแรงเตะชั้นวางดอกไม้ที่อยู่ด้านข้าง
โครม! เสียงดังสนั่น ทำเอาทุกคนที่มุงดูตกอกตกใจ
เป็นเด็กที่อารมณ์ฉุนเฉียวง่ายจริงๆ เอาเข้าไป ทีนี้แม้แต่ชั้นวางดอกไม้ก็ล้มลงด้วย ช่อดอกไม้กระจายเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
เมื่อหวนคิดขึ้นมา ตอนนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะโยนความผิดให้กับเจ้าชายน้อย ฉันแค่อยากจะอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเจ้าชายเอารองเท้าฉันไปถือ ฉันให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วย ฉันก็เลยพานโมโหแล้วเขวี้ยงรองเท้า…
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายน้อยเข้าใจสิ่งที่ฉันจะสื่อผิดไป เลยทำให้อาการอับอายจนพานโกรธของเขาดูเหมือนเป็นการกลบเกลื่อนที่ยิ่งซ่อนเร้นกลับยิ่งแจ่มชัด
บวกกับพี่ชายคนนั้นไม่ได้ฟังการเว้นวรรคคำพูดของฉันให้ดี ผลจึงกลับกลายเป็นว่า…ฉันให้เขาช่วยสวม แต่เขาไม่ยอมช่วยฉัน แล้วยังพานโมโหเขวี้ยงรองเท้า
แค่เว้นวรรคผิดนิดเดียว ทำให้เด็กขี้โมโหคนนั้นต้องกลายเป็นคนรับเคราะห์แทนฉัน
พี่ชายปลอบโยนฉันอย่างอ่อนโยนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งตรงหน้า ยกเท้าฉันขึ้นมาและสวมเข้าไปในรองเท้าหนังสีชมพู ทั้งยังผูกเชือกรองเท้าให้ด้วย
เด็กน้อยอย่างฉันคิดว่าถึงเจ้าชายคนนี้จะรูปร่างสูงใหญ่เหมือนยักษ์ แต่อย่างไรเขาก็เหมือนในนิทาน ช่วยสวมรองเท้าให้กับซินเดอเรลล่า ฉันหยุดร้องไห้แล้วยิ้มขอบคุณ
‘เด็กน้อยสวยจริงๆ’ พี่ชายเช็ดน้ำตาบนใบหน้าให้ ‘หนูชื่ออะไรจ๊ะ’
‘หลินซิงเฉินค่ะ’ พอพี่ชายชมว่าสวย ฉันก็พูดเสริมอย่างตื่นเต้นดีใจว่า ‘หม่ามี้เรียกหนูว่าเสี่ยวซิงซิง พี่ชายเรียกหนูว่าเสี่ยวซิงเอ๋อร์ก็ได้ค่ะ’
เจ้าชายฉุนเฉียวง่ายเลิกคิ้ว มีสีหน้าเชิงดูแคลน ‘เสี่ยวซิงซิง?’
ฉันถลึงตาใส่เขา แล้วตอนนี้เองพี่ชายก็โอบอุ้มฉันขึ้นมา อีกมือหนึ่งก็จูงเด็กขี้ฉุนเฉียวคนนั้น ‘ที่แท้ก็เป็นคุณหนูแห่งกลุ่มบริษัทดอลลี่นั่นเอง เดี๋ยวพาหนูไปหาหม่ามี้ดีไหมจ๊ะ’
ฉันเกาะบ่าที่แข็งแรงกำยำของพี่ชาย แล้วซุกศีรษะอยู่กับอกเขาพลางตอบรับอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
‘อาชื่อว่าเจิ้งเมิ่งซีนะจ๊ะ’ มุมปากของพี่ชายฉีกยิ้มหล่อ ‘เป็นอาของเจ้าหนูนั่น หนูไม่ต้องเรียกอาว่าพี่ชายหรอก เรียกอาเหมือนเขาแล้วกันนะ’
ฉันซุกไซ้อยู่ในอ้อมอกชายหนุ่ม หลังจากแต๊ะอั๋งจนพอใจแล้วถึงค่อยเรียกเสียงอ่อนเสียงหวานว่า ‘อาเมิ่งซี’
‘อืม เด็กดีจังเลย’
‘เขารังแกหนูค่ะ’ ฉันเบ้ปาก
‘เดี๋ยวอารังแกเขาคืนให้นะจ๊ะ’
‘ค่ะ’
ชายหนุ่มยิ้มแย้มสดใสเจิดจ้า จนฉันอยากจะร้องไห้เห็นอกเห็นใจแทนเจ้าหมอนั่นเลย
ก่อนที่แม่ใหญ่จะจูงลากฉันเดินจากไป ฉันได้หันกลับไปมองพวกเขาสองคนแวบหนึ่ง ฉันเห็นอาเมิ่งซีหิ้วคอเสื้อเจ้าเด็กขี้ฉุนเฉียวและตีก้นเขาอย่างแรงพลางพูดสั่งสอน ‘เจิ้งฉู่เย่า! เจ้าตัวแสบ ดูสิว่าทำอะไรลงไป อาจะให้พ่อเธอลงโทษไม่ให้เธอเล่นวิดีโอเกมหนึ่งเดือน…’
เด็กขี้ฉุนเฉียวที่ชื่อเจิ้งฉู่เย่านั่นกัดริมฝีปาก จ้องมองฉันอย่างโกรธแค้น แววตาอาฆาตแค้นเหมือนกับอยากจะแทงทะลุฉันให้ได้
ฉันละอายใจอยู่สามสี่วินาที แต่พอคิดอีกทีก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากตัวเด็กขี้ฉุนเฉียวคนนั้นเอง ถ้าช่วยสวมรองเท้าให้ฉันดีๆ ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว ฉันก็เลยแลบลิ้นทำหน้าทะเล้นให้เขา
เมื่อเด็กหญิงน่ารักใช้เล่ห์กลขึ้นมาก็กลายร่างเป็นปีศาจตัวน้อยได้เหมือนกัน ไม่พอใจเหรอ งั้นก็มากัดฉันสิ!
นี่ก็คือเหตุการณ์ตอนที่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเจอกันครั้งแรก
ต่อมาฉันก็ถูกแม่ใหญ่บังคับให้ไป ‘เรียนต่อ’ ต่างประเทศ แต่ละวันๆ ได้อยู่ท่ามกลางหนุ่มหล่อกับหนุ่มเท่มีสไตล์มากมาย ก็เลยลืมเจ้าเด็กขี้ฉุนเฉียวที่ดุร้ายน่ากลัวคนนั้นไปตั้งนานแล้ว
คนสองคนที่ไม่ได้อยู่บนรากฐานของความรักกลับต้องถูกผูกมัดไว้ด้วยกันเพราะผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล คิดๆ ดูแล้วก็ช่างน่าเศร้าเสียจริง ฉันเหมือนหญิงสาวสมัยโบราณที่ต้องแต่งงานกับเจิ้งฉู่เย่าจากการชักนำของแม่สื่อเลย
ไม่ได้เจอกันสามสี่ปี ไม่รู้ว่าเด็กขี้ฉุนเฉียวในตอนนั้นจะวิวัฒนาการเป็นปีศาจร้ายแบบไหนแล้ว
“พอได้ยินว่าเธอกลับมาจากญี่ปุ่น คุณปู่สกุลเจิ้งก็รอให้เธอเจอกับฉู่เย่าแทบไม่ไหว ได้ปลูกต้นรักด้วยกัน ถ้าราบรื่นดี ปลายปีนี้ก็จะให้พวกเธอหมั้นกันไว้ก่อน…” เสียงของแม่ใหญ่ลอยผ่านบานประตูบางๆ ของห้องแต่งตัวเข้ามา น้ำเสียงค่อนข้างแหลมสูง
ฉันเปิดประตูทันที แล้วพูดอย่างมีน้ำโห “ปลูกต้นรัก? หนูบอกคุณแล้วว่าหนูมีแค่ความรู้สึกเดียวให้เขา…”
แววตาแม่ใหญ่ดูงุนงง “ความรู้สึกอะไร”
“ความรู้สึกอาลัย! วันที่เขาตาย หนูจะไปเซ่นไหว้เขา!”
“ถ้าเขาตาย ต่อให้ต้องแต่งงานกับศพ เธอก็ต้องแต่ง!”
“คุณ…!” ฉันจ้องผู้หญิงตรงหน้าด้วยความเคียดแค้น
ทั้งๆ ที่ถูกฉันจ้องเหมือนจะแล่เนื้อออกเป็นชิ้นๆ แต่แม่ใหญ่ก็ไม่โกรธ เธอกลับยิ้มเสียด้วยซ้ำ “อยากจะเป็นคุณหนูตระกูลดัง การจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอกับแม่เธอยังจะอยู่ดูหน้าฉันไปนานแค่ไหนล่ะ”
“…”
ผู้หญิงคนนี้ยิ่งยิ้มยิ่งดูอ่อนโยน แต่ไม่รู้ว่าภายในจิตใจเลี้ยงอสรพิษไว้กี่ตัว “เห็นแก่ที่เธอเป็น ‘ลูกสาวของสามีที่จากไปแล้วของฉัน’ ฉันขอแนะนำด้วยความหวังดีว่าคุณชายเล็กแห่งสกุลเจิ้งเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว เธอก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยมีความอดทน แบรนด์ใหม่กำลังจะออกวางตลาดเร็วๆ นี้ เราต้องการเงินทุนก้อนใหญ่กับการบุกเบิกช่องทางใหม่ ตอนนี้สถานการณ์ของกลุ่มบริษัทดอลลี่ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว บริษัทที่รับจ้างผลิตสินค้าให้เราถูกดึงออเดอร์ไปไม่น้อย”
“ก็แค่ขาดเงินไม่ใช่เหรอ” ฉันทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “สู้ขายฉันไปเลยดีกว่า”
“ขายเธอก็ไม่ได้ราคานั้นหรอก” แม่ใหญ่ลูบผมฉันแล้วพูดเสียงเรียบว่า “พลาดคนนี้ไป ฉันไม่อาจรับประกันคนต่อไปได้ หรือแม้กระทั่งคนต่อๆ ไปว่าจะเข้าท่าแบบนี้หรือเปล่า ซิงเฉิน เธอเป็นเด็กฉลาด พูดออกจะชัดเจนแบบนี้ ฉันเชื่อว่าเธอเข้าใจ”
อ๋อ ฉันเข้าใจ ฉันต้องเข้าใจอยู่แล้ว
แม่ใหญ่กำลังข่มขู่ฉัน การเกี่ยวดองกันครั้งนี้นับได้ว่ามีการรับประกันคุณภาพในทุกด้าน หากไม่สำเร็จ การคัดเลือกครั้งต่อไปก็คงจะเหลือเพียงคุณสมบัติ ‘รวย’ เท่านั้น
พูดอีกอย่างคือในแง่ผลประโยชน์ทางธุรกิจ ในแง่ความสุขในชีวิตและความสุขบนเตียงของตนเอง ฉันจำเป็นต้องลงเอยกับเจิ้งฉู่เย่า หาไม่แล้ว…
ฉันจินตนาการถึงอนาคตข้างหน้า วัยสาวของฉันต้องหมดไปกับการดูตัว ต้องดูตัวกับผู้ชายที่ทั้งรวยทั้งอ้วน ทั้งรวยทั้งหัวล้าน ทั้งรวยทั้งเตี้ย ทั้งรวยทั้งแก่หง่อม…คนแล้วคนเล่า ในใจฉันก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
“เชี่ยเอ๊ย…” ฉันบ่นพึมพำ
“เธอพูดว่าอะไรนะ” แม่ใหญ่ได้ยินไม่ชัด
“เชี่ย” ฉันทวนซ้ำอีกครั้ง ขณะที่สีหน้าเธอดูตกตะลึงพรึงเพริด ฉันก็ค่อยๆ อธิบายว่า “ที่จริงเป็นการแผลงเสียงมาจากชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งค่ะ”
เมื่อเทียบกับแม่แท้ๆ ที่อยากพูดอะไรก็พูดแล้ว แม่ใหญ่เป็นผู้หญิงที่พูดจาไพเราะ การด่าคนโดยไม่มีคำหยาบนี้ แม่ใหญ่ถูกฉันเอาเปรียบได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ นังเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอน” เห็นไหม พลังการโจมตีของเธอมีเพียงแค่นี้เอง
ฉันอ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน เดินส่ายก้นไปมา เปลี่ยนท่วงท่าที่ตัวเองคิดว่าสง่างาม แล้วทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ฉันหาช่างแต่งหน้ามาช่วยจัดการดูแลลุคให้เธอ แต่งเนื้อแต่งตัวให้สวยๆ ไม่ได้เจอกันหลายปี คืนนี้ทำให้เขาประทับใจหน่อย” แม่ใหญ่ดูนาฬิกาข้อมือฝังเพชร แล้วตระหนักได้ว่าไม่มีเวลาอบรมสั่งสอนฉันแล้ว เธอดีดนิ้วเสียงดังฟังชัด จากนั้นผู้เชี่ยวชาญในชุดดำสามสี่คนก็เดินเรียงแถวเข้าประตูมา
“จับเธอแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน สง่าผ่าเผย แล้วก็ต้องสวยหรูด้วย ที่สำคัญคือต้องดูเหมือนเจ้าหญิง” แม่ใหญ่ออกคำสั่ง
เหมือนเจ้าหญิง?
เหมือนสาวนั่งดริ๊งก์ล่ะยังพอไหว