Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1
ข่าวก๊อสซิปแพร่กระจายไปเร็วกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ ไม่ทันไรเรื่องที่กลุ่มบริษัทรื่อเย่ายืนยันสถานะหลานสะใภ้อย่างชัดเจนก็ทำเอาหนุ่มที่มาจีบฉันก่อนหน้านี้ตกใจหนีเตลิดไป บรรดาสาวๆ ส่วนใหญ่ต่างก็ทั้งอิจฉาและริษยาฉัน พวกเธอขอแอบกระซิบกระซาบกันอยู่ไกลๆ ดีกว่าที่จะมาร่วม ‘แสดงความยินดี’ กับฉัน แล้วเพียงพริบตาเดียวก็หายกันไปเกลี้ยง
ฉันละเลียดทานผลไม้จนหมด ทว่ายังคงหิวอยู่นิดหน่อย แต่เพื่อรูปร่าง ฉันจึงทานอีกไม่ได้แล้ว รูปร่างของคุณหนูตระกูลดังเป็นที่สนใจของคนทั่วไปพอๆ กับเรื่องราวของวงศ์ตระกูล ใครจะรู้เล่าว่าสปอตไลต์ที่เมื่อครู่เป็นมิตรกับคุณอาจกลับกลายเป็นคำวิจารณ์ที่แสบสันในอินเตอร์เน็ตเมื่อไรก็ได้
ฉันค่อยๆ สวมหูฟังไร้สายและเอาเส้นผมบังปิดไว้ จากนั้นจิบไวน์ไปพลางดูภาพยนตร์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเตอร์เน็ตไปพลาง
อันที่จริงนักแสดงตลกบนหน้าจอกำลังพูดอะไรฉันเองก็ไม่ค่อยตั้งใจฟังสักเท่าไร เพียงแต่ความรู้สึกแบบนี้ช่างดีเหลือเกิน ไม่มีใครรบกวน ฟังเสียงเอฟเฟ็กต์หัวเราะกับบทสนทนาที่ผ่านการออกแบบอย่างบรรจงในหูฟังแล้วจินตนาการว่าบางทีชีวิตตัวเองอาจไม่เป็นที่น่าขันอีกต่อไป
“อยากทานอะไรอีกหน่อยมั้ย”
เงามืดทอดยาวตรงหน้าฉัน ทำให้บดบังแสงไปจากสายตา ฉันพอจะได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร แต่เสียงในภาพยนตร์ดังเกินไป ฉันก็เลยได้ยินไม่ชัด ได้แต่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
เขาโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วถามอีกครั้ง “อาถามว่าอยากทานอะไรอีกหน่อยมั้ย”
ฉันก็ยังได้ยินไม่ค่อยชัดอยู่ดี จึงฉีกยิ้มเล็กน้อยและเอ่ยเรียก “อาเมิ่งซี”
ผมดำขลับปรกที่หน้าผากเขา ถึงแม้จะสวมแว่นตาไร้กรอบ แต่ก็ไม่อาจปิดซ่อนความลุ่มลึกในดวงตาได้ ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเจือเย็นชาเล็กน้อย ซึ่งเป็นสีหน้าที่ฉันคุ้นเคยดี
ไม่ได้เจอกันสามสี่ปี อาเมิ่งซีดู…ร้ายกาจกว่าเดิม
ฉันรู้สึกว่าผมตรงข้างหูซ้ายถูกเลิกขึ้น อาเมิ่งซีเลิกผมที่ข้างแก้มฉันขึ้นแล้วเอียงศีรษะมอง พอเห็นหูฟังเขาก็แสดงสีหน้า ‘อย่างนี้นี่เอง’
พอถูกเขายั่วเย้า แก้มซ้ายก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ฉันรีบถอดหูฟังออกและพูดว่า “ขอโทษค่ะ”
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ คุณอาจได้กลิ่นตงิดๆ แล้วว่ามีพระเอกอยู่สองคน
โอ้ ไม่ใช่นะ คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีพระเอกสองคน ขณะที่ฉันเติบโตเป็นหญิงสาวที่สวยงามสง่า ในสายตาฉันก็มีแต่อาเมิ่งซีเป็นพระเอกคนเดียวมาตลอด
ฉันไม่มีวันลืมตอนที่ตัวเองรวบรวมความกล้าทั้งหมดและสารภาพรักกับเขาพร้อมกับตัวสั่นงันงก ผู้ชายคนนั้นฟังจบก็พูดว่า ‘ซิงเฉินจ๊ะ’ เขาเรียกอย่างรักใคร่เอ็นดู ‘อากำลังจะแต่งงาน หนูเป็นเด็กถือช่อดอกไม้ให้อาได้มั้ย’ เมื่อพูดจบเขายังลูบศีรษะฉันพร้อมกับยิ้มตาหยี
เด็กถือช่อดอกไม้?
คุณฟังดูสิ เด็กถือช่อดอกไม้อย่างนั้นเหรอ! ไม่ใช่เพื่อนเจ้าสาวเสียด้วยซ้ำ!
ภาพยนตร์นับไม่ถ้วนบอกเราว่าระหว่างเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวมักจะมีเรื่องลับลมคมในที่ดูคลุมเครืออยู่นิดๆ แต่เขากลับเห็นฉันเป็นเด็กถือช่อดอกไม้!
เรื่องไม่สนใจคำสารภาพรักของฉันน่ะช่างเถอะ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับเห็นฉันเป็นเด็กที่ยังไม่โตอีกด้วย ทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้ว!
เด็กถือช่อดอกไม้มองดูชายหนุ่มที่รักจูงมือผู้หญิงอีกคนเดินไปอีกด้านหนึ่งของพรมแดงตาปริบๆ ความรู้สึกปวดใจแบบนั้นเหมือนกับเวลาที่คุณถูกใจกระเป๋าใบหนึ่งแล้วเฝ้าใฝ่ฝันจนถึงขั้นกินอาหารไม่รู้รส พอเห็นกระเป๋าใบนี้ก็รู้สึกว่ามันกลายร่างเป็นคน อยากจะนอนกอดเหลือเกิน แต่กระเป๋าใบนั้นกลับพูดว่า ‘ขอโทษนะ ฉันถูกจองแล้ว’
แล้วผู้หญิงที่คว้าไปก่อนคนนั้นยังสะพายอวดอย่างเย่อหยิ่งราวกับพูดว่า ‘นี่ของฉัน แน่จริงก็มาแย่งไปสิ!’
ฉันแน่จริงอยู่แล้ว
ฉันเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรีมาก ตอนนั้นจึงตะโกนตีโพยตีพายใส่เจ้าสาวว่า ‘คุณมีสิทธิ์อะไรมาแย่งอาเมิ่งซีของหนูไป! หนูรวยกว่าคุณ สาวกว่าคุณ สวยกว่าคุณ ดีกว่าคุณเป็นพันเท่าหมื่นเท่า! คุณมีสิทธิ์อะไร! มีสิทธิ์อะไร!’
นอกจากนั้นยังกรีดร้องเสียงแหลม นอนเกลือกกลิ้ง ทุบอกกระทืบเท้า…เป็นต้น เพื่อแสดงว่าฉันไม่พอใจการแต่งงานนี้อย่างแรง
คำอธิบายเพิ่มเติม : ตอนนั้นฉันเพิ่งสิบขวบ
คิดๆ ดูแล้วฉายา ‘คุณหนูจอมแก่น’ ของฉันคงได้มาจากตอนนั้นล่ะมั้ง
จุดจบของการที่ฉันเจตนาก่อกวนในงานแต่งงานของอาเมิ่งซีก็คือถูกผู้ใหญ่จับหวดก้นแรงๆ สามสี่ที ทั้งน้ำมูกทั้งน้ำตาไหลออกมาพร้อมกัน ปิดฉากรักแรกและรักข้างเดียวในชีวิตของฉันลง
เวลานี้ผู้ชายคนนั้นที่ฉันเคยเฝ้าใฝ่ฝันพูดว่า “กินเยอะๆ หน่อย เธอผอมไปแล้ว” พูดเสียใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ ฉันได้ยินแล้วก็เศร้าใจจริงๆ
เขาจ้องมองฉันแล้วโน้มตัวมาหาอย่างช้าๆ
ฉันขานตอบคำหนึ่ง แล้วถอยห่างออกมาเล็กน้อยอย่างแนบเนียน “ไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ค่ะ”
เขายิ้มเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร แล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ฉัน คีบผลไม้หนึ่งชิ้นใส่ในจาน ฉันไม่รู้ว่าควรจะปฏิเสธอย่างไรดี จึงจำต้องใช้ส้อมจิ้ม ค่อยๆ ละเลียดทาน พอเห็นฉันทานผลไม้เสร็จเขาก็หยิบเค้กหนึ่งชิ้นวางลงในจานฉันอีก
เขาตัก ฉันกิน เขาตักของว่างใส่ในจานหนึ่งชิ้น ฉันก็ทานหนึ่งชิ้น เป็นอยู่แบบนี้จนกระทั่งพุงกางจนยัดอะไรไม่ลงอีก แล้วเพื่อที่จะห้ามเขา ฉันจึงจำต้องหาเรื่องคุยเรื่อยเปื่อย “อาเมิ่งซีคะ เมื่อไหร่อาจะหย่าคะ”
เขาตะลึงงันเล็กน้อย แล้วหัวเราะดังลั่นทันที เขายื่นมือมาเกาหน้าผากฉัน แล้วสักพักก็ขยี้ผมหน้าม้าฉัน เหมือนกับเวลาที่เขาสั่งสอนเจ้าพูเดิ้ลจอมซนที่เขาเลี้ยง จากนั้นก็เกาหัวมัน
นิสัยขยี้ผมฉันตามใจชอบของอาเมิ่งซีต้องปรับปรุงเสียใหม่ เพราะว่าฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว
“น่ารักจริงๆ เลย” เขาชม ทว่าไม่ได้ตอบคำถามก่อนหน้านี้ของฉัน
“อาเมิ่งซีคะ” ฉันอดเรียกเขาไม่ได้
“หืม?”
“ต่อไปหนูจะไม่เรียกอาว่าอาแล้วค่ะ” เสียงดังแกร๊ง ฉันโยนส้อมเงินลงในจานกระเบื้องสีขาว แล้วประกาศอย่างเย่อหยิ่งว่า “หนูจะเรียกชื่อของอาแทน เมิ่งซี เจิ้งเมิ่งซี”
“ทำไมล่ะ” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อยและอมยิ้มที่มุมปาก ไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง
“เราไม่ใช่ญาติกัน อีกอย่างอาก็ไม่ใช่อาของหนูจริงๆ”
“งั้นเหรอ ไม่แน่ว่า…” เขามองฉันทีหนึ่ง ริมฝีปากประดับรอยยิ้มที่ดูเหี้ยมโหด “ต่อไปเราอาจกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ได้ อย่าเพิ่งรีบเปลี่ยนคำเรียกจะดีกว่านะ”
ฉันตะลึงงันไปเลย พอนึกถึงเรื่องหมั้นหมายระหว่างฉันกับเจิ้งฉู่เย่า ในใจก็มีเสียงของอะไรบางอย่างแตกละเอียดขึ้นเบาๆ
มีคนกล่าวไว้ว่าระยะทางที่ห่างไกลที่สุดในโลกนี้คือฉันอยู่ตรงหน้าเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าฉันรักเธอ
คำกล่าวนี้อาจจะยังไม่เศร้าพอ สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดหนีไม่พ้นเรื่องที่ฉันรักเธอ เธอเองก็รู้ว่าฉันรักเธอ แต่สิ่งที่เธอตอบแทนกลับไม่ใช่ความรักแบบที่ฉันต้องการ
ฉันพอจะเข้าใจแล้ว ไม่ว่าฉันจะชอบผู้ชายคนนี้อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาให้ฉันได้…มีเพียง ‘ความรักแบบคนในครอบครัว’
แต่ถึงแม้จะเป็นความรักแบบคนในครอบครัว ขอเพียงเขายินดีให้ ฉันก็ยังคงต้องการ…
นังแพศยา ฉันด่าตัวเอง หลินซิงเฉิน เธอนี่แพศยาจริงๆ
ทันใดนั้นสันหลังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ความรู้สึกกดดันบีบคั้นเข้ามา พอหันไปมองก็เจอกับพระเอกอีกคนของเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเจิ้งฉู่เย่ามายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไร
เขากอดอกและก้มลงมองพวกเรา ดวงตาทั้งสองดำขลับและดุร้าย คิ้วเลิกสูงอย่างโอหังอวดดี เวลาที่ไม่ยิ้มเขาดูเผด็จการเล็กน้อย ต่างหูเพชรหนึ่งอันติดอยู่ที่กระดูกอ่อนบนหูข้างซ้ายของเขา ส่องประกายแวววาวจนลายตาไปหมด มันช่วยเพิ่มกลิ่นอายความชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นลงไปในความเป็นผู้ดีที่มีติดตัวเขามาตั้งแต่เกิด
เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเรียบ ไม่มีลวดลาย ส่วนบริเวณคอเสื้อออกแบบโดยใช้วัสดุที่แตกต่างออกไป เมื่อสวมใส่คู่กับกางเกงขายาวสีขาวยิ่งช่วยให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้น หากสามารถเพิ่มสีหน้ายิ้มแย้มที่ดูสดใสเข้าไปได้เขาก็จะดูเหมือนกับนายแบบสุดหล่อในโฆษณาเสื้อผ้าและเครื่องประดับของแบรนด์โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่าได้เลย
แต่สีหน้าของเจิ้งฉู่เย่าในตอนนี้ค่อนข้างเหมือนกับนายแบบที่ถูกแจ้งเปลี่ยนตัวแบบกะทันหัน นั่นคือมีท่าทางเหมือนอยากจะฆ่าคน
ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าในระหว่างการเจริญเติบโตของคนเรานั้นจะเกิดการรวมตัวกันใหม่ของยีนหรือไม่ก็ยีนกลายพันธุ์อะไรพวกนี้ได้หรือเปล่า…ไม่อย่างนั้นทำไมหนุ่มน้อยน่ารักในตอนนั้นถึงโตขึ้นมาเป็นคนดุร้ายแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ใช่คนที่จะถูกข่มได้ง่ายๆ
เจิ้งฉู่เย่าตีหน้าขรึมแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ขอโทษนะครับ ขอรบกวนสักครู่” เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้พูดสองประโยคนี้กับฉัน แต่พูดกับอาเมิ่งซีต่างหาก
อาเมิ่งซียักไหล่ แววตาบ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิด และแสดงท่าทีไม่แยแส ไม่สนใจ
“ไม่เป็นไร นายคงมาหาซิงเฉินใช่มั้ย” อาเมิ่งซีสีหน้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แล้วหันมาทางฉัน
ดวงตาลุ่มลึกของเขามองฉันแค่แวบเดียวเท่านั้น ทำเอาฉันเจ็บระบมไปทั้งตัวเหมือนถูกผึ้งต่อย
“ฉันเหนื่อยแล้ว ขอตัวก่อนนะ” ฉันลุกขึ้นยืน อยากจะเดินจากไปด้วยท่าทีที่หยิ่งผยองที่สุด
เดินหนึ่งก้าว ไม่ขยับ
เดินสองก้าว ก็ยังอยู่ที่เดิม
เดินสามก้าว แต่กลับถอยหลังสองก้าว
“ปล่อยนะ! เจิ้งฉู่เย่า นายทำอะไรของนาย!” ฉันเห็นตรงข้อมือเป็นปื้นแดงอย่างรวดเร็ว อดขมวดคิ้วไม่ได้ “นายทำฉันเจ็บแล้วนะ!”
เจิ้งฉู่เย่าจับข้อมือฉันไว้ แรงเขาเยอะมากอย่างกับจะบีบกระดูกข้อมือฉันให้หักไปเลย
“นี่ เจิ้งฉู่เย่า นายจะพาฉันไปไหน”
เขานิ่งเงียบไม่ตอบแล้วจูงฉันเดินตรงไป ไม่รู้ว่าจะลากฉันไปที่ไหนกัน ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เดินตุปัดตุเป๋ตามเจิ้งฉู่เย่าไป แต่เนื่องจากฉันสวมรองเท้าส้นสูง ก็เลยเกือบล้มอยู่หลายครั้ง ฉันตกใจร้องเสียงดัง แต่เขากลับทำเป็นหูทวนลม ไม่คิดที่จะดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงเลยสักนิด
เราเดินไปจนถึงมุมลับตาคนแถวๆ ริมสระว่ายน้ำ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ ฉันก็เหวี่ยงกระเป๋าแบรนด์เนมในมือ ขณะที่เตรียมจะฟาดไปที่ศีรษะด้านหลังของเขา จู่ๆ เขาก็หยุดเดินขึ้นมาเสียดื้อๆ แล้วสะบัดมือฉันทิ้งด้วยความเอือมระอา
“ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ”
“ไม่อยากฟัง!” ฉันทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา
“เรามาคุยกันหน่อย” คิ้วเขาขมวดอย่างดุร้ายน่ากลัวและพูดเสียงเยือกเย็น
“คุยเรื่องอะไร” ฉันกอดอก
“เรื่องหมั้น ยกเลิกเถอะ” เจิ้งฉู่เย่าพูดเสียงเย็นชา “เพราะฉันไม่ได้รักเธอเลย”
ฉันเหลือบมองเขาแล้วยิ้มเยาะ
ก็อย่างที่บอก ฉันคนนี้ไม่เพียงแพศยา แถมยังบ้าด้วย
ฉันคิดว่าไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็น่าจะรักฉันกันทั้งนั้น
อาเมิ่งซีไม่รักฉัน ไม่สิ ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่รักไม่ได้ต่างหาก เขาแก่กว่าฉันสิบหกปี เขากับฉันมีศักดิ์เป็นอาหลานกัน อีกอย่างเขาก็แต่งงานแล้วด้วย
เจิ้งฉู่เย่าบอกว่าไม่รักฉัน ถ้าเขาไม่รักฉันก็คงไม่ให้คนส่งของขวัญวันเกิดราคาแพงมาให้ฉันทุกปีหรอก เขาก็แค่ไม่พอใจที่ถูกพ่อแม่จับคลุมถุงชน อธิบายได้สั้นๆ ว่าปากไม่ตรงกับใจ
“ก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่” มุมปากฉันยกขึ้น “ฉันจะทำให้นายรักฉันเอง”
พอพูดจบฉันก็ควงแขนเขา เริ่มเอาตัวเข้าไปแนบชิด ใช้หน้าอกถูไถแขนเขา…ฉันรู้ว่าสำหรับผู้ชายแล้วการทำแบบนี้มันยั่วยวนอย่างร้ายกาจขนาดไหน
“คืนนี้อยากจะ…” ฉันยั่วยวนเขาอย่างไร้ยางอาย แล้วเป่าลมใส่หูเขา
ข้าวสารกรอกหม้อแล้ว หุงให้สุกเลยแล้วกัน
เจิ้งฉู่เย่าตัวแข็งทื่อทันที แผงอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ส่วนการหายใจก็ดูเหมือนจะติดขัดอยู่บ้าง เขาถลึงตาใส่ฉัน จากนั้นออกแรงผลักฉันออกไปและเบือนหน้าหนี แต่ฉันกลับเห็นว่าใบหูของเขาแดงระเรื่อ
อ่ะฮ้า ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ด้วย
“หลินซิงเฉิน เธอไม่รู้สึกเหรอว่าการที่เธอทำแบบนี้มันไร้ความหมาย แถมยังไร้สาระมาก”
“จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ” ฉันเม้มปากยิ้มหวาน สองมือดึงคอเสื้อเขาเบาๆ “เจิ้งฉู่เย่า นายกำลังจะเป็นคู่หมั้นของฉันอยู่แล้ว ขนาดฉันยังไม่อายเลย แล้วนายจะอายอะไร”
พอฉันยั่วยวนเข้าหน่อย มาดของเจิ้งฉู่เย่าก็หายไปกว่าครึ่ง ฉันก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เขาก็ถอยหลังหนึ่งก้าว ทำเหมือนฉันเป็นขุนนางที่บีบบังคับสาวชาวบ้านยังไงยังงั้น
“พอได้แล้ว หลินซิงเฉิน” เขาเหลือบมองฉันทีหนึ่ง แล้วจู่ๆ แววตาก็ดูลุ่มลึกขึ้น “เธอไม่ได้รักฉันหรอก”
เขาดูออกแล้วงั้นเหรอ