Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 1
ฉันงงงัน หูทั้งสองข้างร้อนผ่าวเล็กน้อย แต่เพื่อที่จะปกปิดอาการกระวนกระวาย ฉันจึงหัวเราะคิกคักออกมา “เรื่องนี้นายไม่ต้องสนใจหรอก”
“หลินซิงเฉิน ตัดใจเสียเถอะ” เขาดึงมือฉันออก น้ำเสียงฟังดูแข็งกร้าว “ฉันไม่มีทางหมั้นกับเธอ นั่นเป็นแค่ความปรารถนาของพวกผู้ใหญ่แต่เพียงฝ่ายเดียว”
“ไม่หมั้นกับฉัน? แล้วนายจะหมั้นกับใคร” ฉันถามเขาด้วยท่าทางดุดัน “ก่อนหน้านี้นายบอกว่ายังไงก็ได้ไม่ใช่เหรอ การแต่งงานเกี่ยวดองกันของตระกูลเศรษฐีก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่ากับใครมันก็ไม่ต่างกันหรอก หรือว่า…นายมีคนที่ชอบอยู่แล้ว?”
เจิ้งฉู่เย่าตัวแข็งทื่ออีกครั้ง
ฉันเดาถูกด้วย ร่างกายเขาซื่อสัตย์มากกว่าลมปากเขาเสียอีก
“นายมีคนที่ชอบแล้วใช่มั้ย ถึงบอกว่ายังไงก็ได้ไม่ได้อีกแล้ว จะปล่อยให้ฉันบงการตามใจชอบไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ย”
ดูเหมือนจะถูกฉันต้อนจนมุมเสียแล้ว เจิ้งฉู่เย่ากัดฟันด้วยความแค้นเคืองแล้วพูดว่า “ใช่! ฉันมีคนที่ชอบแล้ว!”
“ใคร” ฉันไม่สนใจและถามว่า “คุณหนูตระกูลไหน พามาให้ฉันดูหน่อยสิ จะเป็นศัตรูหัวใจของฉันหลินซิงเฉิน คุณสมบัติจะแย่เกินไปไม่ได้…หืม นายไม่บอก? งั้นฉันขอเดา”
ฉันพูดพลางยื่นนิ้วมือออกไปพันเนกไทเส้นเล็กของเจิ้งฉู่เย่าอย่างซุกซน แล้วค่อยๆ ดึงเขาเข้ามาหาฉัน เนื่องจากชุดราตรีสั้นของดิออร์ที่ฉันใส่อยู่ตัวนี้เป็นแบบคอกว้าง ดังนั้น…
เพล้ง! เสียงแก้วแตกดังสนั่น ทำเอาเราทั้งคู่ต่างก็เงยหน้าขึ้น
ไม่ไกลนักมีหญิงสาวที่แต่งตัวเป็นบริกรคนหนึ่งนั่งยองบนพื้นพลางเก็บกวาดเศษแก้วอย่างลุกลี้ลุกลน
“ยางยาง? อวี๋ยางยาง?” เจิ้งฉู่เย่าแสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้ววินาทีต่อมาเขาก็ผลักฉันออกด้วยความกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
หยางหย่าง? อวี๋หยางหย่าง*?
ฉันขมวดคิ้ว นี่มันชื่อแปลกพิสดารอะไรกันเนี่ย
“ขอโทษนะ ฉู่เย่า ฉันไม่รู้ว่านายอยู่ที่นี่ ฉันไม่เห็นอะไรทั้งนั้น…”
โกหก! เห็นหมดแล้วชัดๆ!
ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะ หญิงสาวรีบก้มหน้าก้มตาทันทีและพูดจาตะกุกตะกัก “ขอ…ขอโทษค่ะ”
เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาดุร้ายมาให้ฉัน จากนั้นเดินไปอยู่ข้างๆ หญิงสาวคนนั้น กุมมือเธอและพูดเสียงนุ่มนวลว่า “ไม่ต้องเก็บแล้ว ระวังจะบาดมือเอา”
ที่แท้เจิ้งฉู่เย่าก็รู้จักดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงด้วย
หญิงสาวคนนั้นดูอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี หน้าตาธรรมดา ผมยาวปานกลาง ไม่ย้อม ไม่ดัด มัดรวบเป็นหางม้า พอจะเรียกได้ว่าสะสวย เธอชนะก็ตรงที่ดวงตากลมโตใสแป๋ว ส่วนหุ่นน่ะเหรอ…ทั้งผอมทั้งแบน ห่างจากฉันหลายขุมเลย
ฉันคงจะตาไม่มีแววเอง มองซ้ายมองขวา มองบนมองล่าง ก็ยังคงดูไม่ออกว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นหยกงามตามธรรมชาติ แต่เจิ้งฉู่เย่ากลับเห็นเป็นเหมือนของล้ำค่า
ฉันมองเจิ้งฉู่เย่าที แล้วก็มองหญิงสาวที่ชื่อ ‘อวี๋หยางหย่าง’ ที ฉันสังเกตเห็นได้อย่างฉับไวถึงบรรยากาศที่ไม่ปกติระหว่างพวกเขา
อืม เป็นกิ๊กกัน
มือของเจิ้งฉู่เย่าเพิ่งจะแตะโดนปลายนิ้วของเธอ เธอก็รีบหดตัวลีบทันที แล้วพูดเสียงเบาว่า “ฉันไม่เป็นไร…”
ปากบอกว่าไม่เป็นไร แต่มือเล็กบอบบางยังคงอยู่ในฝ่ามือของเจิ้งฉู่เย่า
ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะอีกครั้ง อวี๋หยางหย่างถึงได้รู้ตัวและพยายามดึงมือกลับ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอไม่ได้ออกแรง หรือว่าเจิ้งฉู่เย่ากุมแน่นเกินไป เธอลองอยู่สามสี่ครั้งก็ยังดึงออกมาไม่ได้สักที ทำเอาฉันอยากจะตะโกนบอกเจิ้งฉู่เย่าว่าปล่อยหญิงสาวคนนั้นซะ!
อวี๋หยางหย่างเงยหน้ามองไปทางเจิ้งฉู่เย่าด้วยความเขินอายเจือลำบากใจ แล้วพูดเสียงค่อยว่า “อย่าทำแบบนี้เลย ปล่อยฉันเถอะ” ดวงตากลมโตใสแวววาวและท่าทางอึกอักของเธอนั้นมีคำพูดที่ซ่อนอยู่ข้างในก็คือ อย่าปล่อยฉันนะ!
สวรรค์! ถ้าฉันเป็นผู้ชายแล้วได้ยินคำพูดนี้ ฉันคงจะตัวอ่อนปวกเปียกไปเลย
แต่น่าเสียดายที่ฉันเป็นผู้หญิง ฉันขอมอบหนึ่งคำให้เธอ…เสแสร้ง
เจิ้งฉู่เย่าเป็นผู้ชาย เขาจึงตัวอ่อนปวกเปียกอย่างไม่เอาไหน เขาเหม่อมองอวี๋หยางหย่าง ทั้งคู่มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร กระแสไฟฟ้าที่แล่นอยู่ในดวงตาใสแป๋วคงจะมีสักสามสี่ล้านโวลต์ ช็อตจนฉันตัวสั่นหงึกๆ ได้เลยล่ะ
เห็นได้ชัดว่าเป็ดแมนดารินป่าคู่นี้อยู่ในโลกที่มีกันแค่สองคน ไม่สนใจว่าที่คู่หมั้นอย่างฉันคนนี้เลย
“เขา…เป็นแฟนนายเหรอ” อวี๋หยางหย่างถาม เธอเหลือบมองฉันทีหนึ่งแล้วพูดปากไม่ตรงกับใจว่า “สวยจังเลย”
“ไม่ใช่”
พอได้ยินเจิ้งฉู่เย่าปฏิเสธ ฉันก็เดือดดาลขึ้นมาทันที รีบเดินจ้ำไปหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งสองคน จากนั้นผลักหญิงสาวที่ชื่อ ‘อวี๋หยางหย่าง’ หรือ ‘อวี๋ยางยาง’ หนึ่งที
“ฉันไม่ใช่แฟนของฉู่เย่า” ฉันยิ้มแฉ่ง “แต่ฉันเป็นคู่หมั้นเขา”
หญิงสาวคนนั้นนิ่งงัน สำนวน ‘ฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ’ นี้ใช้บรรยายสีหน้าของเธอในเวลานี้ได้เลย
ฉันฉวยโอกาสตีเหล็กตอนร้อน มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาคมกริบ “ดูเหมือนเธอจะรู้จักคู่หมั้นของฉัน? ไม่ทราบว่าพวกเธอรู้จักกันได้ยังไงเหรอ”
อวี๋หยางหย่างเหมือนสัตว์ตัวน้อยที่ตื่นตกใจ เธอถอยหลังหนึ่งก้าว พูดจาติดอ่าง “ฉัน…ทำ…ทำงาน…อยู่ที่โรง…โรงแรมนี้ค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้พูดจาดีๆ หน่อยได้ไหม ไม่ต้องพูดซ้ำคำได้หรือเปล่า โอ๊ะ เป็นเพราะฉันดุเกินไปหรือเปล่านะ
“หลินซิงเฉิน!” เจิ้งฉู่เย่ามองฉันด้วยสายตาดุร้าย แล้วปกป้องอวี๋หยางหย่างโดยให้เธอไปอยู่ข้างหลังเขา
ช่างรักกันเสียจริง!
ว่าแต่ทำยังไงดีล่ะ ฉันอยู่ในแวดวงไฮโซมาหลายปี นอกจากฉายา ‘คุณหนูจอมแก่น’ แล้ว ฉันยังมีอีกฉายาที่เป็นที่รู้จักกันดีคือ ‘นักล่าเมียน้อย’ ไม่ว่าจะเป็นพวกที่รักกันดูดดื่มเอย รักเดียวใจเดียวเอย อยู่เคียงคู่กันเอย…แต่เมื่อเจอกับฉัน พูดได้แค่ว่า ‘มีบุญ แต่ไร้ซึ่งวาสนาที่จะอยู่ด้วยกัน’
“ที่แท้ก็เป็น ‘นักเรียนพาร์ตไทม์’ ของบ้านฉู่เย่านี่เอง” ฉันพูดเน้นคำว่านักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่เก็บซ่อนความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามที่อัดแน่นอยู่ในใจเลยแม้แต่น้อย “คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่ทราบว่าตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือเปล่า”
อวี๋หยางหย่างเม้มปาก ไม่ตอบอะไร ท่าทางหยิ่งยโสกว่าฉันอีก
“ฉันถาม เธอก็ต้องตอบมา!” ฉันถามซ้ำอีกครั้งด้วยความหงุดหงิด “คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ตอนนี้ใช่เวลาทำงานของคุณหรือเปล่า”
“อืม” เธอพยักหน้า
“เวลาทำงานไม่ตั้งใจทำงาน แอบฟังพวกเราคุยกัน แถมยังแตะเนื้อต้องตัวคู่หมั้นฉันอีก ทำแบบนี้มันใช่เหรอ”
“ฉัน…ฉัน…ไม่ได้เจตนาค่ะ”
ยังมีหน้าพูดว่าไม่ได้เจตนา เห็นๆ อยู่ว่ามือเธอยังดึงเสื้อเชิ้ตของเจิ้งฉู่เย่าไว้แน่น จับเสียจนตรงข้างเอวเป็นรอยยับย่น
“หลินซิงเฉิน เธอต้องการจะพูดอะไรกันแน่” เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาเตือนให้ฉันเงียบปาก
ถ้าฉันกลัวเขา ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าหลินซิงเฉิน!
“คุณนักเรียนพาร์ตไทม์ ไม่ทราบว่าคุณได้ Hourly wage เท่าไหร่” ฉันถามต่อ
“หา?” เธองงงันและกะพริบตาปริบๆ
แม้แต่คำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ อย่าง ‘Hourly wage’ ก็ไม่เข้าใจเหรอนี่ คนละระดับกับฉันจริงๆ ด้วย
“Hourly wage ค่าจ้างรายชั่วโมงน่ะ” ฉันหรี่ตาหนึ่งข้าง แล้วอวดความรู้ภาษาอังกฤษอย่างภาคภูมิใจ “How much are you an hour?”
หางตาฉันเหลือบเห็นเจิ้งฉู่เย่ากุมหน้าผากพลางขมวดคิ้ว เขากระซิบแก้ให้ฉันใหม่ว่า “How much do you earn per hour?”
ความหมายก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ ฉันทำเสียงจิ๊จ๊ะก่อนพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สรุปคือฉันถามเธอว่าทำงานหนึ่งชั่วโมงได้ค่าจ้างเท่าไหร่”
“หนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญค่ะ…”
“เหรียญไต้หวัน?”
“อืม…”
“เหอะๆ งั้นเธอรู้มั้ยว่าเสื้อเชิ้ตตัวที่มือเธอจับอยู่นี้ราคาเท่าไหร่”
หญิงสาวส่ายหัวอย่างงุนงง
“แค่เสื้อเชิ้ตแบรนด์โดลเช่ แอนด์ กาบบาน่าจากอิตาลีที่ฉู่เย่าใส่อยู่นี้ อย่างต่ำๆ ก็สองพันดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไต้หวันก็หกหมื่นเหรียญขึ้นไป” ฉันปัดมือปลาหมึกของอวี๋หยางหย่างที่จับเสื้อของเจิ้งฉู่เย่าไว้แน่นออก “อย่าจับแน่นแบบนั้น เพราะถ้าเสื้อเสียทรง อย่างน้อยๆ เธอก็ต้องทำงานสามเดือนและไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยถึงจะชดใช้ไหว”
“…” แผ่นหลังของหญิงสาวเหยียดตรงแน่ว แต่ก็ยังคงดูออกว่าตัวเธอกำลังสั่นเทิ้ม
“ส่วนชุดราตรีสั้นของดิออร์ที่ฉันใส่อยู่นี้เป็นแบบที่ราคาต่ำที่สุด ไม่แพง แค่หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นเหรียญไต้หวันเท่านั้นเอง” ฉันเลิกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ สายตาอันคมกริบมองทะลุผ่านไปยังหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเจิ้งฉู่เย่า “ดูเราสองคน แล้วลองดูตัวเธอสิ รู้หรือยังว่าเรากับเธอต่างกันตรงไหน นักเรียนพาร์ตไทม์ที่ทำงานได้เงินแค่ชั่วโมงละหนึ่งร้อยห้าสิบเหรียญไต้หวัน ไม่ไปส่องกระจกดูเสียบ้าง เธอจนกรอบแบบนี้ยังคิดจะยั่วยวนคู่หมั้นฉันอีก!”
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้…” อวี๋หยางหย่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แล้วก้าวถอยหลังไม่หยุด “ฉันไม่ได้ชอบเจิ้งฉู่เย่า เขาดีขนาดนั้น ฉันรู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควร…”
“รู้ก็ดีแล้ว” ฉันพยักหน้าอย่างพออกพอใจ แล้วเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ
เชอะ ไม่ทันไรศัตรูหัวใจรายนี้ก็ยอมแพ้แล้ว ช่างไม่ท้าทายเอาเสียเลยจริงๆ
ความดีอกดีใจจากการชนะทำให้ฉันไม่ได้ระแวดระวังตัว ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ฉันกำลังพูดจาดูถูกอวี๋หยางหย่างอยู่นั้น สีหน้าของเจิ้งฉู่เย่าก็บึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนที่มามุงดูค่อยๆ เยอะขึ้น พวกเขาดูเรื่องสนุกพลางกระซิบกระซาบกัน
แล้วก็เหมือนกับพระเอกในละครและนิยายรักทุกเรื่อง เจิ้งฉู่เย่าไม่อาจฝืนธรรมเนียมและเดินก้าวมาข้างหน้าอย่างกล้าหาญ เขาตวาดเสียงดัง “พอได้แล้ว! หลินซิงเฉิน พอแค่นี้แหละ!” พอพูดจบเขาก็จูงมืออวี๋หยางหย่างเดินจากไป ต้องการที่จะจบเรื่องตลกร้ายนี้ลง
“อย่าเพิ่งไป ฉันยังพูดไม่จบ เจิ้งฉู่…” ฉันเดินตามไป แต่ยังไม่ทันเรียกชื่อของเจิ้งฉู่เย่าจบ เท้าก็ลื่นไถล พุ่งล้มไปข้างหน้าทั้งตัว แล้วก็เห็นว่าใบหน้าอันสวยงามของฉันกำลังจะจูบพื้นแล้ว
ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บจะมาเยือน ความคิดแรกที่แวบขึ้นมาในสมองฉันคือ…ฉันเพิ่งไปทำจมูกมา!
ฉันอยากจะกอดอวี๋หยางหย่างที่อยู่ใกล้ฉันที่สุดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แต่ดันเหยียบโดนชายกระโปรงชุดราตรีของใครก็ไม่รู้เข้าไปอีก เลยทำให้ฉันกระโจนใส่อวี๋หยางหย่างตามความเร่ง
อวี๋หยางหย่างตัวผอมบางไหนเลยจะแบกรับการพุ่งกระโจนอย่างแรงของฉันได้ เธอรับน้ำหนักตัวของฉันไว้แล้วส่งเสียงร้องตกใจ จากนั้นล้มใส่เจิ้งฉู่เย่าที่อยู่หน้าสุด เจิ้งฉู่เย่าตกใจหมุนตัวมา เดิมทีเขาจะรับตัวอวี๋หยางหย่างไว้ แต่เพราะระยะกระชั้นชิดเกินไปจนเขาต้องถอยหลังทีละก้าวๆ และแล้วก็เกิดก้าวพลาด…
ราวกับฉากในภาพยนตร์ที่เล่นไปอย่างรวดเร็ว เราสามคนตกลงไปในน้ำอย่างสวยงามภายใต้สายตาของผู้คนที่จ้องมอง
ฮือๆๆ ฉันว่ายน้ำไม่เป็น!
ช่วงเวลาสามสี่วินาทีที่ตกลงไปในสระว่ายน้ำ ตรงหน้าฉันเหมือนมีแถบตัวอักษรที่วิ่งอยู่ด้านล่างจอทีวีปรากฏแวบขึ้นมา
‘ความฝันที่จะเกี่ยวดองกับตระกูลเศรษฐีมีอันแตกสลาย! คู่หมั้นสาวเจรจากับเมียน้อยไม่เป็นผล ทั้งสามจึงจบชีวิตด้วยกัน!’
นักข่าวสัมภาษณ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์ : ไม่ทราบว่าทั้งสามคนมีปากเสียงกันหรือเปล่าคะ
พยาน : มีค่ะๆ ผู้หญิงสองคนแย่งผู้ชายคนเดียวกัน ตบหน้าฉาด จิกทึ้งผม ตบตีกันดุเดือดมากค่ะ!
นักข่าว : ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ตกน้ำเกิดขึ้นได้อย่างไรคะ
พยาน : คู่หมั้นสาวเป็นคนผลักทั้งสองคนตกน้ำค่ะ นี่เป็นการฆาตกรรม คดีฆาตกรรม…
ฉัน : ปั้นน้ำเป็นตัวทั้งนั้น!
นักข่าว : เชื่อมต่อสัญญาณจากสถานที่เกิดเหตุ เราจะมาสัมภาษณ์พระเอกของเหตุการณ์ตกน้ำครั้งนี้กันค่ะ…คุณเจิ้งฉู่เย่า นายน้อยแห่งกลุ่มบริษัทรื่อเย่า ไม่ทราบว่าคุณคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้คะ
เจิ้งฉู่เย่า : ผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนั้นตายซะได้ก็ดี…
แล้วภาพก็ตัดมาที่ศพผู้หญิงนอนตัวเปียกโชกอยู่บนพื้น เธอถูกเบลอหน้าโดยการใส่เอฟเฟ็กต์โมเสก ชุดราตรีสีชมพูนู้ดของดิออร์ที่สวมใส่อยู่ดูคุ้นตาทีเดียว…
ก็ได้ ฉันยอมรับว่าฉันมีอาการหลงผิดคิดว่าตัวเองจะถูกปองร้ายกลั่นแกล้ง
ฉันโบกไม้โบกมือขณะที่หมุนติ้วไปมาอยู่ในน้ำสามสี่ตลบ แม้ว่าน้ำในสระว่ายน้ำจะไม่ลึก แต่พอชุดราตรีเปียกชุ่มน้ำก็แนบติดกับลำตัว แล้วรัดสองขาฉันแน่นเหมือนกับเทปกาว ฉันกระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ตลอด แต่ก็ไม่สามารถเหยียดตัวตรงได้
ฉันได้แต่มองดูเจ้าชายขี่ม้าขาวอุ้มหญิงสาวอันเป็นที่รักของเขาขึ้นมาอย่างตาละห้อย แล้วเดินจากไปแบบเท่ๆ
นั่นมัน…การอุ้มเจ้าหญิงที่ฉันใฝ่ฝันมาตลอดนี่นา! ฮือๆๆ แล้วฉันล่ะ
ฉันพยายามสุดกำลัง เหยียดแขนโบกไปมา “เจิ้งฉู่เย่า ช่วยด้วย…” พออ้าปาก น้ำในสระว่ายน้ำก็เข้าจมูกเข้าปากฉัน รสชาติของคลอรีนชวนพะอืดพะอมสุดๆ!
เจิ้งฉู่เย่าหันกลับมามองฉันแวบหนึ่ง ริมฝีปากสวยได้รูปขยับขมุบขมิบเหมือนกับกำลังพูดว่า…สมน้ำหน้า
ฮือๆๆ ฉันจะจมน้ำตายอยู่แล้ว อา…ดูเหมือนว่าฉันจะเห็นศพผู้หญิงในชุดราตรีสีชมพูนู้ดของดิออร์นอนราบอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำอีกแล้ว
สายตาค่อยๆ พร่ามัว ที่น่าแปลกคือสติกลับชัดเจนเหลือเกิน ท่ามกลางเสียงสายน้ำซู่ๆ ทันใดนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ มีคนกระโดดลงมาในน้ำแล้วว่ายมาอยู่ที่ข้างหลังฉัน
ฉันรู้สึกว่าแขนแข็งแกร่งมีพลังข้างหนึ่งสอดเข้ามาใต้รักแร้ฉัน พอถูกกอดฉันก็ตกใจจนกรีดร้องในใจ…คนลามก!
แขนข้างนั้นพาดตรงเนินอกที่กระเพื่อมขึ้นลงของฉันพอดี แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าแต๊ะอั๋งฉันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งแบบนี้มาก่อนเลย!
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ฉันทั้งกรีดร้องและดิ้นรนสุดชีวิต เตะแรงถีบแรง แต่ไม่รู้ว่าฉันถีบโดนอะไรเข้า ผู้ชายคนนั้นถึงได้ร้องครวญครางเสียงอู้อี้แล้วเกร็งท่อนแขนทันที แผ่นหลังฉันจึงชนเข้ากับแผงอกอันแข็งแกร่ง
“ขอโทษนะ” เสียงหอบเล็กน้อยดังขึ้นที่ข้างหูฉัน น้ำเสียงฟังดูลนลานพอควร
ยังจะมาขอโทษอีกเหรอ!
“คุณ…คุณ…” พออ้าปาก น้ำในสระว่ายน้ำก็เข้าจมูกเข้าปากฉันอีก ฉันไอสำลักอย่างทรมานสามสี่ทีพลางตำหนิอยู่ในใจว่า อย่าคิดว่าขอโทษแล้ว ฉันจะเลิกแล้วกันไปนะ!
“ขอโทษนะ” แต่เขาก็พูดซ้ำอีกครั้ง
ขณะเดียวกันความรู้สึกเจ็บอย่างรุนแรงก็แล่นมาจากต้นคอ
ผู้ชายคนนั้นทุบฉันจนสลบ มันเกิดขึ้นรวดเร็วฉับไวมาก
ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องพูดขอโทษสองครั้ง
บอกฉันทีสิ! มีคนเขาช่วยสาวสวยกันแบบนี้ด้วยเหรอ!