Jamsai
ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 4
อาการที่สี่
ทัศนคติประหลาด
ทองมักจะส่องประกายโดยไม่จำเป็น
ฉันนอนหลับโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จนกระทั่งคุณนายจูเลียโผล่เข้ามาในห้องของฉันและปลุกโดยเขย่าตัวฉันอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงแสบแก้วหูของเธอ
“อะไร! แม่เล่นไพ่แพ้มาอีกแล้วใช่ไหม หรือว่ากระเป๋าเบอร์เบอร์รี่รุ่นลิมิเต็ดถูกคนซื้อไปแล้ว?” ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นและถามอย่างอารมณ์ไม่ดี
“ยัยเด็กนี่ช่างมีอนาคตดีเสียจริง! ดูซิข่าวพวกนี้นี่มันอะไรกัน” เธอโยนนิตยสารก๊อสซิปเล่มหนึ่งใส่ตัวฉัน
ฉันหยิบขึ้นมาหรี่ตามอง หัวข้อข่าวเขียนว่า ‘ลูกสาวตระกูลเศรษฐีอายุสิบแปดปีเสียสติ’ เนื้อหาคร่าวๆ ประมาณว่าบันทึกรายการช็อปปิ้งของฉันในวันนั้น พร้อมกับรูปภาพพร่ามัวหลายรูป เอารูปที่มองจมูกปากไม่ออกมาประกอบเนื้อเรื่อง
อธิบายให้ละเอียดมากขึ้นก็คือสาวไฮโซบางคนที่มีชื่อภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยตัว K ใช้เงินอย่างไม่กลัว ตลอดช่วงเช้าใช้เงินไปเท่าไรแล้วกับการทำผมในร้านซาลอนชั้นนำ หลังจากนั้นก็ไปช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าและตกเป็นเป้าสายตา กวาดเอาสินค้าชั้นดีแต่ละอย่างไปจากเคาน์เตอร์ ตลอดการซื้อของมีพนักงานคอยตามราวกับสมาชิกวีไอพีของห้างสรรพสินค้า เงินเหล่านั้นเท่ากับเงินค่าอาหารกลางวันครึ่งปีถึงหนึ่งปีของเด็กในบ้านที่มีรายได้ขั้นต่ำ ต่อมายังลงรายการที่ฉันช็อปปิ้งไป ถือโอกาสเอาชื่อแบรนด์เนมเหล่านั้นมาทำการโฆษณาอย่างแนบเนียน ตอนเย็นก็ไปวางท่าอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ดั้งเดิมชั้นเยี่ยม อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น เนื้อหายังไม่ลืมที่จะหยิบยกโคลง ‘กลิ่นสุราอาหารจากบ้านมีอันจะกิน คนจนกลับตายด้วยความหิวโหยและหนาวเหน็บข้างถนน’ มาแสดงความคิดเห็นถึงการกระทำอวดรวยของฉันและทำให้ทุกคนเกลียดคนรวย
“แค่นี้? ไม่มีต่อ?”
ฉันหรี่ตาอ่านไปมาอยู่หลายรอบ ในข่าวเขียนถึงเพียงแค่เหตุการณ์ในร้านหม้อไฟ ตอนที่ฉันด่าสาวอ่อนแอบริสุทธิ์อวี๋ยางยางนั้นไม่ได้เขียนลงไป
รวมถึงเรื่องที่ฉันถูกเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำใส่ เรียกเฮลโล คิตตี้มากินหม้อไฟด้วย เหตุการณ์อนาจารบนรถสาธารณะ ถูกไล่ล่าในตรอกมืด…ล้วนไม่ถูกพูดถึง
แสดงว่าตอนเฮลโล คิตตี้และเหตุการณ์ถัดมาไม่ถูกถ่ายเอาไว้ได้ ฉันพรูลมหายใจออกมา แต่คิดย้อนไล่ไปตามเวลาอย่างละเอียดแล้วฉันยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ปาปารัซซี่ตามถึงร้านหม้อไฟแล้ว ทำไมถึงไม่เขียนเรื่องที่ฉันโดนเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำกัน
มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือที่จริงแล้วถ่ายรูปเอาไว้ได้นั่นล่ะ แต่ถูกอำนาจชั่วร้ายบางอย่างมาหยุดเอาไว้ ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือปาปารัซซี่ปวดปัสสาวะอย่างเร่งด่วนจึงไปเข้าห้องน้ำ เลยไม่ได้ถ่ายฉากอันแสนคลาสสิกนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นคงรู้สึกว่าเนื้อหาที่จะเอาไปเขียนข่าวเยอะพอแล้วจึงได้เลิกงานไป
ฉันยิ้มหยันออกมาเล็กน้อย ไม่เคยเห็นปาปารัซซี่ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่องานอย่างนี้เลย
ฉันสางผมพร้อมกับนำนิตยสารโยนไว้บนตู้ข้างหัวเตียง หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย จู่ๆ ก็มีข่าวสั้นคั่นรายการดึงความสนใจเอาไว้
“ใช้ยี่ห้อสินค้าดีอย่างหลุยส์ วิตตอง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และอื่นๆ มาเป็นรหัสลับของยาเสพติด ตำรวจได้บุกจู่โจมจับกลุ่มค้ายา!” บนหน้าจอปรากฏชายหนุ่มล่ำสันสามคนสวมหมวกกันน็อค ก้มหน้าระหว่างการส่งตัวของตำรวจ พอขึ้นนั่งอยู่บนรถตำรวจแล้วก็จากไป
สามคน? ทำไมมีแค่สามคน
ฉันตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
เสียงในตอนนั้นที่ฉันได้ยินคือเสียงของคนสี่คนอย่างแน่นอน ตำรวจจับได้เพียงแค่สามคน ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีหนึ่งคนที่หนีรอดไปได้!
คุณนายจูเลียทำเสียงกุกๆ กักๆ อยู่ภายในห้องเก็บเสื้อคลุมของฉัน สักพักหนึ่งจึงโผล่หน้าออกมายิงคำถามราวกับปืนกล “โคช หลุยส์ วิตตอง ชาแนล กุชชี่ ปราด้า แอกเนส บี. มิว มิวที่ลูกซื้อมาเมื่อวันก่อนล่ะ”
ตอนที่ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ใครจะยังสนใจแบรนด์เนมพวกนั้นกันเล่า
ดวงตาของฉันยังคงจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์พลางตอบแบบขอไปที “ทำหายไปแล้ว”
“หายไปแล้ว?” คุณนายจูเลียพุ่งมาตรงหน้าฉัน ถลึงตามองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “อะไรที่ว่าทำหายไปแล้ว บอกแม่มาให้ชัดเจนนะ!”
“รู้สึกไม่ดีเลยทิ้งตามทางตามถนน ใครอยากได้ก็เก็บไป” ฉันโบกมือเป็นเชิงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อแล้วกดกระดิ่งที่อยู่บนหัวเตียง
ป้าแม่บ้านเดินเข้ามา มือวางไว้บนผ้ากันเปื้อนพร้อมกับเช็ดๆ เอ่ยถามด้วยความเคารพ “คุณหนูจะสั่งอะไรหรือคะ”
“ทำอะไรให้ฉันทานหน่อย”
“คุณหนูอยากทานอะไรคะ เชิญสั่งมาได้เลยค่ะ”
“ฉันเอาสเต๊กย่างเตา แซลมอนทอดจนหอม เครื่องดื่มขอเป็นน้ำผักผลไม้ปั่นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาล”
“เอาของหวานหน่อยไหมคะ เช้านี้ลุงเต๋ออบพายแอปเปิ้ล”
“เอ่อ ได้สิ เอามาชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง” ฉันเหลือบมองคุณนายจูเลียที่นิ่งเป็นหินอยู่อีกด้านหนึ่ง “วานเอามาเผื่อคุณป้าคนนี้อีกหนึ่งชิ้น ให้เธอทานแล้วจะได้อารมณ์เย็นลง”
“หลินซิงเฉิน! ยัยเด็กฟุ่มเฟือยคนนี้!” คุณนายจูเลียโอดครวญด้วยความปวดใจเจียนตายถึงของชั้นดีเหล่านั้น “ของพวกนั้นราคาเท่าไหร่!”
“เด็กฟุ่มเฟือย” ฉันอดหัวเราะเยาะในใจเสียไม่ได้ “ฟุ่มเฟือยเงินสกุลหลิน นี่ไม่ใช่สิ่งที่แม่หวังไว้หรอกเหรอ”
‘ซิงเฉินจ๊ะ แม่เองก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อติดค้างเราไว้ แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะชดเชยให้…เราใช้เงินของเขา เขาจะได้ไม่รู้สึกผิด’
คุณนายจูเลียพลันเงียบกริบ ฉันรู้ว่าเธอเองก็กำลังนึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดเอาไว้เป็นแน่
สุดท้ายแล้วสิ่งที่พ่อชดเชยให้แม่ก็เป็นเพียงแค่การที่ไม่ได้ปิดบังเรื่องเงินทองเท่านั้น
ในปีนั้นตอนที่ฉันเรียนจบชั้นประถม คุณพ่อก็จากไป พิธีการคำนับอัฐิและดวงวิญญาณซึ่งแสนซับซ้อนและกินเวลานาน มีเสียงร่ำไห้ไปทั่วห้องโถงจากบรรดาญาติซึ่งฉันจำไม่ได้สักนิดว่าใครเป็นใคร ฉันคุกเข่าตรงหน้าสุด ก้มหน้าลงต่ำ ดูเหมือนว่าพอเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นดวงตาที่ไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาของฉัน
ในตอนที่ญาติเหล่านั้นก้มลงมากอดฉันไว้ ถอนหายใจพลางกล่าวไปด้วยว่า ‘เด็กโชคร้าย’ แต่ฉันกลับเห็นดวงตาของพวกเขาก็แห้งไร้น้ำตาเช่นเดียวกัน
น่าละอาย
เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองผ่านดวงหน้าเสแสร้งโศกเศร้าของแต่ละคน เห็นแม่เดินไปเดินมาอยู่ตรงปากประตูโถงพิธี ในขณะที่ฉันกำลังอยากจะลุกขึ้นไปรับเธอ กลับมีคนกดไหล่ฉันไว้อย่างแรง ฉันทำได้แค่เพียงมองใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริกนั้นเอ่ยอ้อนวอนผู้คนขอให้ตัวเองได้เข้ามาส่งคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายอย่างช่วยอะไรไม่ได้