“ดีๆ!” ฮ่องเต้พอพระทัยอย่างมาก “เมื่อถึงวันที่ทั้งแผ่นดินมีแต่ความสงบสุข เราจะต้องมาร่วมดื่มกับท่านให้สาสมใจอีกครั้งแน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ชิวลี่สิงชูจอก ดื่มรวดเดียว
ทั้งสองร่วมดื่มกันหลายจอก ฮ่องเต้เริ่มเมามายเล็กน้อย เมื่อจินตนาการว่าวันหนึ่งทั่วทุกหนแห่งมีแต่ความสงบสุข บ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง ผู้เป็นกษัตริย์ควรจะพึงพอใจเพียงใด เพียงแต่ความใฝ่ฝันเช่นนี้ช่างห่างไกลเสียนี่กระไร คิดมาถึงตรงนี้ฮ่องเต้ก็อดจะวางจอกสุราลงไม่ได้ หันไปทางชิวลี่สิงก่อนจะทอดถอนพระทัยเบาๆ “เสียดายเวลานี้ในราชสำนักไม่มีใคร ถ้าได้ขุนนางที่ดีเช่นท่านสักหลายคน คงไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะปราบปรามภัยพิบัติจากพวกชนเผ่าตี๋ไม่ได้”
ชิวลี่สิงกล่าวตอบ “เหตุใดฝ่าบาทจึงตรัสเช่นนี้ ในราชสำนักมีผู้มีความรู้ความสามารถมากมาย ชายแดนมีขุนพลที่เก่งกล้าปรากฏขึ้นมาไม่ขาดสาย บ้านเมืองจะไร้คนมีฝีมือได้อย่างไร”
“อ้อ ไม่ทราบว่าคนมีฝีมือที่ท่านเอ่ยถึงหมายถึงใครหรือ”
“กระหม่อมหมายถึงพระโอรสของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“รัชทายาท?” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล “เรากำลังกลัดกลุ้มเรื่องรัชทายาทดื้อรั้น ท่านไยต้องหัวเราะเยาะเราด้วย”
ชิวลี่สิงลุกจากที่นั่งอย่างนอบน้อม มาหมอบกราบอยู่เบื้องหน้าฮ่องเต้ “กระหม่อมมิบังอาจหัวเราะเยาะฝ่าบาท กระหม่อมหมายถึงจิ้นอ๋องที่อยู่รักษาการณ์ที่เมืองเป่ยฝู่พ่ะย่ะค่ะ”
“จิ้นอ๋อง?” ฮ่องเต้ได้ยินแล้วชะงักอึ้งไป “เจ้าหมายถึงอาฮ่วน”
“พ่ะย่ะค่ะ จิ้นอ๋องแม้ยังเยาว์วัย นับแต่รับพระบัญชาไปรักษาการณ์ที่เป่ยฝู่ก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจ ไม่เพียงไปปลอบบำรุงขวัญทหารและนายทหารในกองทัพหลายครั้ง กระทั่งยินดีเสี่ยงภัยอันตราย ติดตามกระหม่อมออกรบที่ชายแดน ท่านอ๋องอยู่ในกองทัพ สวมเสื้อเกราะมือถืออาวุธ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเหล่าทหารหาญ ทำให้กระหม่อมรู้สึกเลื่อมใสเป็นที่สุด”
ฮ่องเต้ทรงประคองชิวลี่สิงให้ลุกขึ้น “จิ้นอ๋องเป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
ชิวลี่สิงทูลตอบ “กระหม่อมไม่กล้าปิดบังฝ่าบาท จิ้นอ๋องไม่เพียงมีคุณธรรมอันดีงาม ก่อนหน้าที่กระหม่อมจะมาเมืองหลวง ท่านอ๋องยังฝากกระหม่อมนำเสื้อขนสุนัขจิ้งจอกสีขาวหนึ่งตัว สุราใสบริสุทธิ์สองไห นมเนย พรมสักหลาดหลายผืน จิ้นอ๋องกล่าวว่า ‘การศึกชนเผ่าตี๋ยังไม่สงบ ไม่อาจมาอยู่ข้างพระวรกายฝ่าบาทแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างเต็มที่ได้ ได้แต่ส่งของขวัญเล็กน้อยมาถวาย ขอฝ่าบาทไม่ต้องทรงคิดถึงลูกอกตัญญูผู้นี้’ ฝ่าบาททรงมีพระโอรสเช่นนี้ บ้านเมืองมีขุนนางเช่นนี้ นับเป็นโชควาสนาของใต้หล้าแล้ว ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบดูอย่างละเอียด”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์หวั่นไหว กลับไปยังที่ประทับด้วยท่าทีครุ่นคิดเหม่อลอยเล็กน้อย ผ่านไปครู่ใหญ่จึงทอดถอนพระทัย “ลูกคนนี้อายุสิบสองก็ไปอยู่เป่ยฝู่ ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นไร เพราะทางเหนือมีศึกสงครามไม่หยุด เราจึงไม่ได้เห็นเขามาหลายปีแล้ว…”
ชิวลี่สิงเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวล จิ้นอ๋องเวลานี้องอาจห้าวหาญเหนือใคร รักราษฎรดุจลูกหลาน ให้เกียรตินักปราชญ์ราชบัณฑิต ราษฎรทางเหนือไม่มีใครไม่ยกย่องสรรเสริญ”
ฮ่องเต้ผงกพระเศียร “ข้าควรหาโอกาสให้เขากลับมาเมืองหลวงบ้างแล้วจริงๆ”
หลังจากนั้นสิบวัน ราชโองการให้จิ้นอ๋องเข้าเมืองหลวงก็มาถึงเป่ยฝู่
ซ่งเหยา เจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจตราจดบันทึกของจวนแม่ทัพผู้เป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาของจิ้นอ๋อง พอทราบข่าวก็รีบเร่งรุดจากบ้านพักมายังจวนบัญชาการ คนรับใช้ในจวนพาเขามายังห้องหนังสือที่จิ้นอ๋องประทับอยู่ทันที
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา