เด็กหนุ่มมองดูอยู่ครู่หนึ่ง พลันรู้สึกว่าตนจ้องมองผู้อื่นเช่นนี้ออกจะเสียมารยาท จึงเบนสายตามาที่โต๊ะยาวข้างกายอย่างไม่เป็นธรรมชาตินัก บนโต๊ะนอกจากม้วนคัมภีร์ ยังมีพวกแผ่นกระดาษ บนกระดาษมีตัวอักษรเขียนไว้กระจัดกระจาย เด็กหนุ่มพลิกดูอย่างละเอียด เห็นลายมือบนกระดาษตัวอักษรที่เขียนอวบอิ่มสวยงาม มีจุดที่ชวนมอง โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเด็กหนุ่มก็ศึกษาลายมือบนกระดาษหลายแผ่นนี้อย่างละเอียดขึ้นมา เขาดูจนเพลิดเพลิน กระทั่งฉีซู่เรียกเขาก็ไม่ได้ยิน นางต้องเรียก ‘คุณชาย’ ติดๆ กันหลายคำ เขาจึงได้สติ
ในมือของฉีซู่ถือเสื้อคลุมที่เย็บเสร็จแล้ว บอกด้วยท่าทีเหนียมอาย “ยามกะทันหันฉุกละหุก ข้าคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้ แม้จะพยายามเย็บปะอย่างระวัง แต่ก็ยังคงดูไม่ค่อยแนบเนียนนัก”
เด็กหนุ่มรับเสื้อคลุมไป เห็นแขนเสื้อที่ขาดเย็บปะเสร็จแล้ว เพื่อจะปิดร่องรอยไม่ให้เห็น ฉีซู่ใช้เส้นไหมสีเดียวกันปักลายใบหญ้า* ไว้ตรงรอยขาด นางยังละเอียดลออโดยปักลายแบบเดียวกันไว้ที่แขนเสื้ออีกข้างหนึ่งด้วย ถ้าไม่สังเกตดูจริงๆ ก็ยากจะเห็นรอยเย็บปะได้ ต่อให้มีคนมองออก ภายใต้ลายปักที่บดบังอยู่เช่นนี้ ก็ไม่ถึงกับสะดุดตาอะไร
น่าจะพอถูไถไปได้ เด็กหนุ่มคิดและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารับเสื้อคลุมมาสวม ประสานมือให้ฉีซู่ “แม่นางน้อยลำบากแล้ว”
ฉีซู่ประสานมือตอบ “ช่วงเวลานี้วังกลางน่าจะทรงสวดมนต์ไหว้พระเสร็จแล้ว ถ้าคุณชายจะเข้าเฝ้า ทางที่ดีรีบไปเสียแต่ตอนนี้”
เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ขอบคุณแม่นางน้อยที่ช่วยชี้แนะ”
ฉีซู่ส่งเด็กหนุ่มแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอางานเย็บปักที่ยังทำไม่เสร็จในช่วงก่อนหน้านี้มาทำต่อ ทำจนกระทั่งถึงเวลาเข้าไต้เข้าไฟ นางเพิ่งจะวางสายรัดเอวในมือที่ทำไปได้ครึ่งหนึ่งลง ก็มีนางกำนัลจากตำหนักฮองเฮาสองคนมาเชิญฉีซู่ไปที่ตำหนักฮองเฮา
นางกำนัลทั้งสองพาฉีซู่มาที่หน้าห้องพระของฮองเฮา ฉีซู่นึกแปลกใจว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ฮองเฮาสวดมนต์ไหว้พระตามปกติ เหตุใดฮองเฮาจึงยังอยู่ในห้องพระ
หร่านเซียงเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูพอดี พอเห็นฉีซู่นางก็เข้ามาทำความเคารพด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางน้อย”
ฉีซู่เอ่ยถามขึ้น “เวลานี้วังกลางยังสวดมนต์อยู่หรือ”
หร่านเซียงบอกให้นางกำนัลสองคนนั้นล่าถอยออกไป แล้วดึงฉีซู่ให้เดินห่างออกไปหลายก้าว “เรื่องที่จิ้นอ๋องรับราชโองการกลับมาเมืองหลวง แม่นางน้อยคงทราบแล้วกระมัง”
ฉีซู่พยักหน้า หลายวันมานี้ฮองเฮาจิตใจไม่สงบคิดว่าคงเป็นเพราะสาเหตุนี้ ฮองเฮากับฮ่องเต้อภิเษกกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน ฐานะของฮองเฮาพูดได้ว่ามั่นคงดุจหินผา หลายปีมานี้มีเพียงคนเดียวที่ทำให้ทรงรู้สึกหวั่นหวาดคือซูเฟยที่ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดจิ้นอ๋องนั่นเอง ฉีซู่เคยสงสัย จิ้นอ๋องไปอยู่เป่ยฝู่ตั้งแต่อายุสิบสอง นอกจากชนเผ่าตี๋เหนือก่อภัยพิบัติแล้ว ใช่เพราะมีความต้องการของฮองเฮาอยู่ด้วยหรือไม่
หร่านเซียงกล่าวต่อ “จิ้นอ๋องมาถึงเมืองหลวงเมื่อสองวันก่อน วันนี้ตั้งใจมาเข้าเฝ้าวังกลางโดยเฉพาะ”
“จิ้นอ๋อง?” ฉีซู่กระตุกวาบขึ้นมาในใจ “นอกจากจิ้นอ๋องแล้ว วังกลางได้มีรับสั่งให้ใครเข้าพบหรือไม่”
หร่านเซียงสั่นศีรษะ “หลังจากวังกลางทรงพบจิ้นอ๋องแล้วก็ประทับอยู่ในห้องพระมาตลอด ไม่ได้ทรงพบใครอีก”
ฉีซู่ตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือจิ้นอ๋อง นางลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเอ่ยถาม “หรือว่าจิ้นอ๋องพูดอะไรให้วังกลางไม่พอพระทัย”
* ลายปักอย่างหนึ่งของจีน เป็นลายต้นไม้ดอกไม้คล้ายลายกนกของไทย
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา