“เข้าไปผิงไฟ” โหยวเหมี่ยวเอ่ย
หลี่จื้อเฟิงทำท่าเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง โหยวเหมี่ยวยกมือสั่งให้เขาเข้าไปข้างใน จากนั้นหมุนตัวเดินเข้าห้องหนังสือ
โหยวเต๋อโย่วถลึงตามองหลานชาย โหยวเหมี่ยวรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่า “ท่านพ่อว่ากระไรหรือ”
“เจ้าดูเองเถอะ” โหยวเต๋อโย่วโยนจดหมายให้ โหยวเหมี่ยวรับมาฉีกอ่านทันที
โหยวเต๋อโย่วจ้องหน้าหลานชายพลางสังเกตสีหน้า
ในจดหมายไม่ได้พูดถึงเรื่องที่โหยวเหมี่ยวทำตัวเหลวไหลในเมืองหลวงแม้แต่คำเดียว แค่บอกว่าโหยวเหมี่ยวถึงวัยสมควรสร้างครอบครัวแล้ว ปีนั้นบิดาอายุสิบสี่ปีก็เริ่มก่อร่างสร้างตัวแยกครอบครัวออกมาจากพี่น้อง แม้วันนี้โหยวเหมี่ยวกำลังศึกษาร่ำเรียนอยู่ในเมืองหลวง แต่ก็สมควรพิจารณาชีวิตในภาคภายหน้าของบุรุษได้แล้ว
เนื่องจากปีนี้อากาศหนาวเย็นกว่าปีก่อนๆ และได้ยินว่าชายแดนทางเหนือเริ่มมีสถานการณ์ไม่ค่อยดี อีกทั้งยังคิดถึงโหยวเหมี่ยวจึงขอให้เขาเดินทางกลับบ้านสักครั้ง ถ้าหากไม่มีอะไรขัดข้องก็ให้โหยวเต๋อโย่วจัดขบวนสินค้าล่องจากเหนือลงใต้ เดินทางผ่านเมืองชางโจวเข้าสู่เมืองหลิวโจว
ช่างประจวบเหมาะพอดี โหยวเหมี่ยวขบคิด ลองกลับบ้านสักครั้งจะได้ถือโอกาสขอเงินด้วย แต่จะให้สร้างครอบครัวอะไรกัน ไร้สาระทั้งเพ หนังสือตำราในเมืองหลวงยังศึกษาร่ำเรียนไม่จบ มาสั่งให้เขากลับบ้านเวลานี้คงคิดจะสู่ขอลูกสะใภ้ให้ลูกชายเป็นแน่
“หึ” โหยวเต๋อโย่วหัวเราะเจ้าเล่ห์ “เจ้าเดาสิว่าบิดาเจ้าคิดจะทำอะไร”
“แหะๆๆ” โหยวเหมี่ยวทราบดีว่าข้อความในจดหมายของบิดาคงปิดบังคนผู้นี้ไม่ได้จึงตอบว่า “คงคิดสู่ขอภรรยาให้ข้า จะได้ให้ภรรยาคอยควบคุมดูแลข้ากระมัง”
โหยวเหมี่ยวพับจดหมายแล้วสอดเข้าอกเสื้อ
“เจ้าก็รู้หรือว่าควรมีภรรยาคอยควบคุมดูแล อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า เมื่อไรจะไล่ทาสเฉวี่ยนหรงไปเสีย คนผู้นี้ห้ามพากลับบ้านเด็ดขาด!” โหยวเต๋อโย่วกล่าวต่อ
โหยวเหมี่ยวส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง ผู้เป็นอายังกล่าวต่ออีกว่า “ก่อนกลับบ้านต้องขับไล่เขาไปเสีย มาทางไหนไปทางนั้น”
ทว่าโหยวเหมี่ยวยังตัดใจปล่อยไปไม่ได้ โหยวเต๋อโย่วก็สั่งสอนย้ำเตือนอีก “กลับหลิวโจวแล้ว คนอย่างบิดาเจ้ามีหรือจะให้เจ้าน้อยกว่าสองร้อยตำลึง”
“ขอรับๆๆ”
ปากโหยวเหมี่ยวตอบเช่นนี้ แต่ในใจไม่ค่อยเต็มใจนักเพราะยังอยากรั้งอยู่ต่ออีกหลายวัน ไม่แน่ว่าคนในคฤหาสน์อาจจะรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาก็เป็นได้ แต่ในเมื่อบิดาเรียกเขากลับบ้าน ทาสเฉวี่ยนหรงย่อมทิ้งไว้ที่บ้านท่านอาไม่ได้ มิฉะนั้นเท้าหน้าตัวเองก้าวออกจากบ้าน หลี่จื้อเฟิงที่อยู่เท้าหลังคงโดนขายทิ้งเป็นแน่
จะส่งตัวกลับไปที่จวนหลี่เหยียนก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่ หลี่เหยียนคงฆ่าทิ้งทันทีโดยไม่แม้แต่จะหยุดมองหน้าสักแวบ
พาไปด้วย? แต่พากลับบ้านไม่ได้แน่ คงทำได้เพียงปล่อยตัวไปในระหว่างทางแล้วปล่อยให้ไปแสวงหาหนทางทำมาหากินเอง ถึงแม้ว่าจะเสียเงินซื้อมาตั้งสองร้อยตำลึง แต่ความรู้สึกที่โหยวเหมี่ยวมีต่อหลี่จื้อเฟิงก็ไม่ได้มีแค่เรื่องเงินเท่านั้น
โหยวเต๋อโย่วบอกให้โหยวเหมี่ยวกลับไปเตรียมตัว ประจวบกับช่วงนี้ขบวนสินค้าหน้าหนาวกำลังจะออกจากเมืองหลวง จากเมืองหลวงเดินทางลงหลิวโจวในแถบเจียงเป่ยมีเส้นทางไปได้สองสาย หนึ่งคือเลียบแม่น้ำหวงเหอลงไปถึงแถบ
ตงซาน จากนั้นตรงเข้าชางโจว ทว่าต้องนั่งรถม้าโขยกเขยกอีกทั้งยังไม่ปลอดภัย ขึ้นภูเขาข้ามสันเขาต้องใช้เวลาเดินทางสี่สิบกว่าวัน
ส่วนอีกเส้นทางหนึ่ง หลังออกจากเมืองหลวงก็เดินทางขึ้นเหนือ ลัดเลาะนอกด่านมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก จากนั้นเลี้ยววกลงใต้ตรงด่านซานไห่ เส้นทางนี้เดินตามเส้นทางหลวงจึงปลอดภัยกว่ามาก แต่ด่านตรงชายแดนมักจะมีหิมะตกหนักลมพัดกระโชกแรง จึงต้องใช้เวลาเดินทางนานถึงหนึ่งเดือนกว่า โหยวเหมี่ยวฉุกคิดขึ้นมาได้จึงรีบบอกว่า “ข้าไปกับขบวนสินค้าทางเหนือแล้วกัน”
“ตามใจเจ้า” โหยวเต๋อโย่วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ข้าจะพาทาสเฉวี่ยนหรงไปด้วยแล้วค่อยหาที่ปล่อยตัวเขา ท่านอาจะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก” โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อ
จากนั้นก็เห็นโหยวเต๋อโย่วทำหน้าโล่งใจเหมือนเพิ่งส่งเทพโรคระบาดออกจากบ้านสำเร็จ โหยวเหมี่ยวเดินกลับห้องพลางครุ่นคิดในใจ การเลือกเส้นทางทางเหนือเกิดจากการตัดสินใจชั่ววูบ แค่ทาสเฉวี่ยนหรงคนหนึ่งเท่านั้น รอถึงด่านตรงชายแดน มอบเงินให้อีกฝ่ายเล็กน้อยแล้วขับไล่ไปเสีย มอบอิสระให้และเผาหนังสือสัญญาขายตัวทิ้ง คิดเสียว่าทำความดีแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป…