โหยวเหมี่ยวเหลือบมองเจ้าสินค้าขาดทุนอันเป็นต้นเหตุความหายนะ และพบว่าหลี่จื้อเฟิงกำลังมองดูภาพที่เขาวาดอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชา พอหลี่จื้อเฟิงรู้สึกว่าโหยวเหมี่ยวกำลังมองตัวเอง ดวงตาก็เบนกลับไปที่หน้าโหยวเหมี่ยวแล้วประสานสายตาด้วย
นอกจากท่าทางของหลี่จื้อเฟิงตอนฝนหมึกจะดูแปลกๆ แล้ว ท่าทางตอนนั่งคุกเข่าก็ประหลาดมากด้วย คนอื่นแค่คุกเข่าหรือนั่งลงไปส่งเดช แต่หลี่จื้อเฟิงกลับวางมือสองข้างไว้บนเข่า เอวเหยียดตรงราวกับทหารในราชสำนัก คล้ายจะแผ่ไอสังหารออกมานิดๆ
“มานี่” โหยวเหมี่ยวกวักมือเรียกอีกฝ่าย
หลี่จื้อเฟิงลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสองก้าวแล้วค้อมตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง ถึงจะคุกเข่าแต่ก็ยังสูงกว่าเขา โหยวเหมี่ยวมักรู้สึกว่าในแววตาของอีกฝ่ายทอประกายบางอย่างที่บอกไม่ถูก
มือขวาของโหยวเหมี่ยวถือพู่กัน นิ้วมือซ้ายแหวกสาบเสื้ออีกฝ่ายแล้วเกี่ยวหยกชิ้นนั้นออกมาก่อนเอ่ยว่า “หยกคุ้มครองชิ้นนี้ใช้ได้ผลจริงๆ ท่านแม่มอบมันให้ข้า ดูสิ เจ้าร่อแร่ปางตาย ผ่านไปสองวันก็รักษาหายดีแล้ว”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ
“…บุรุษกับบุรุษทำเรื่องอย่างนั้นกันอย่างไร”
หลี่จื้อเฟิงไม่ตอบ
“พูดสิ” โหยวเหมี่ยวเร่งเร้า
ในที่สุดโหยวเหมี่ยวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมหลี่เหยียนถึงทุบตีอีกฝ่าย ถ้าเปลี่ยนเป็นโหยวเหมี่ยวซื้อคนกลับมาเอง แต่กระทั่งตอบคำถามแค่นี้ยังไม่ยอมทำ โหยวเหมี่ยวคงอยากลงมือทุบตีเช่นกัน แต่ดีที่เขาเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว เวลานี้จึงไม่ได้ถือสาอะไร
“อธิบายลำบาก”
“ถ้าอย่างนั้นวันหลังเจ้าก็มาปรนนิบัติข้าบนเตียง ลองสอนข้าดู ข้ายังไม่เคยเล่นอะไรแบบนั้นกับบุรุษมาก่อน จ่ายเงินสองร้อยตำลึงซื้อเจ้ากลับมา จะให้เจ้ายกน้ำชาเทน้ำเฉยๆ ก็เสียเงินเปล่า”
หลี่จื้อเฟิงผงกหัว มองสบตากับโหยวเหมี่ยวครู่หนึ่ง โหยวเหมี่ยวแค่รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่าเบื่อจริงๆ
“หันข้างสิ” โหยวเหมี่ยวสั่งให้อีกฝ่ายเบี่ยงตัวหันข้าง เขานั่งเมื่อยแล้ว กำลังอยากหาอะไรพิงพอดี ว่าแล้วก็เอนตัวพิงอกอีกฝ่ายพลิกหนังสือดูอย่างเกียจคร้าน ได้ยินเสียงลมหายใจในปอดดังวี้ดๆ เหมือนเป็นโรคหอบหืด
ตอนบ่ายโหยวเหมี่ยวผล็อยหลับไป หลี่จื้อเฟิงไม่กล้าขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนพิงราวกับเป็นท่อนไม้ เมื่อโหยวเหมี่ยวตื่นขึ้นมาในตอนพลบค่ำ หลี่จื้อเฟิงก็เดินโซเซ เห็นได้ชัดว่าเหน็บกิน โหยวเหมี่ยวหัวเราะฮ่าๆ แล้วบอกให้เขาไปต้มยากินเอง
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ทุกวันเวลาโหยวเหมี่ยวตื่นมาในตอนเช้า หลี่จื้อเฟิงจะปรนนิบัติสวมเสื้อผ้ากับรองเท้าและหวีผมสวมหมวกให้เขา ทุกครั้งเวลาคุกเข่าลงจัดแจงเสื้อผ้าให้เขาจะคุกเข่าลงแค่ข้างเดียว ท่าทางที่ดูหยิ่งในศักดิ์ศรีทำให้โหยวเหมี่ยวค่อยๆ รู้สึกว่ากิริยาท่าทางของทาสคนนี้ดูสง่างามอย่างบอกไม่ถูก
หลี่จื้อเฟิงกินยาเข้าไปทั้งสองอย่าง ไม่ถึงสิบวันสภาพร่างกายก็ดีขึ้นมากจนเกือบเป็นปกติ แค่ไม่เคยก้าวออกจากประตูคฤหาสน์เท่านั้น โหยวเหมี่ยวไล่บ่าวไพร่ในห้องออกไปจนหมดและสั่งให้หลี่จื้อเฟิงปรนนิบัติดูแล แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดก็คือนอกจากหลี่จื้อเฟิงจะเต็มใจทำงานให้แล้ว ยังรู้ใจดีมาก
โหยวเหมี่ยวแค่ขบคิดอยู่ในใจ หลี่จื้อเฟิงก็หยิบถ้วยชามาวางบนโต๊ะราวกับล่วงรู้ถึงความต้องการของเขา เวลาเขียนพู่กัน จะวางผ้าขนหนูไว้ข้างๆ เพื่อเตรียมไว้ให้เขาใช้เช็ดมือ โหยวเหมี่ยวบิดตัวยืดเส้นยืดสาย หลี่จื้อเฟิงก็รีบเก็บพู่กันกับแท่นฝนหมึกไปล้าง เมื่อเป็นเช่นนี้ติดต่อกันมาหลายวัน โหยวเหมี่ยวก็พบว่าเจ้าทาสคนนี้ใช้งานสะดวกมาก
เหลือแค่ยังไม่ได้ให้ปรนนิบัติบนเตียงเท่านั้น อย่างอื่นที่เหลือเขาไม่จำเป็นต้องเปิดปากพูด หลี่จื้อเฟิงล้วนจัดการได้อย่างเหมาะสม ข้อเสียเพียงอย่างเดียวคือเงียบเกินไป บางครั้งโหยวเหมี่ยวนั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน หลี่จื้อเฟิงก็นั่งกอดเข่า จ้องมองออกไปนอกประตู ไม่รู้ว่ามองอะไรกันแน่ ครั้นมองทีก็นั่งมองยาวตลอดทั้งบ่าย พอได้ยินเสียงโหยวเหมี่ยวเคลื่อนไหวกุกกักค่อยหันกลับมาดูหรือลุกขึ้นเดินเข้ามาหาสักที
หลี่จื้อเฟิงเป็นคนที่โหยวเหมี่ยวเรียกใช้งานได้ดังใจที่สุดเท่าที่เคยเจอมา ถ้าจะสืบสาวเหตุผลให้ถึงที่สุด โหยวเหมี่ยวก็สรุปได้ว่าเป็นเพราะหลี่จื้อเฟิงเอาใจใส่เรื่องของเขา บ่าวไพร่คนอื่นๆ นั้นถ้าแอบอู้ได้จะหาทางอู้ทันที แต่หลี่จื้อเฟิงซาบซึ้งใจที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้จึงตอบแทนบุญคุณด้วยใจจริง
โปรดติดตามตอนต่อไป…