โหยวเหมี่ยวเอนนอนอยู่ในอ้อมอกของหลี่จื้อเฟิง หยิบหยกที่คออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วลูบคลำเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่จู่ๆ เขาก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ กับหลี่จื้อเฟิง ในใจคิดว่าคนผู้นี้น่าสงสารมาก และเขาก็ไม่อยากให้หลี่จื้อเฟิงไปจากตัวเอง
แต่ท้ายที่สุดแล้วหมาป่าเดียวดายก็ควรกลับสู่ฝูงหมาป่าที่นอกด่าน โหยวเหมี่ยวคิดว่าคนเช่นนี้ไม่ควรเป็นทาส ตอนหลี่จื้อเฟิงอายุสิบห้าปีถูกจับตัวมา หักเขี้ยวหักเล็บ ถูกแส้ฟาดโบยตี ทั้งยังโดนเคี่ยวกรำทรมานจนเลิกต่อต้าน ยอมรับชะตากรรมเป็นทาสกามารมณ์อันแสนต่ำทราม
โหยวเหมี่ยวมีนิสัยรักสนุก เรื่องกลั่นแกล้งผู้คนก็เคยทำมาไม่น้อยแต่เขาก็ไม่เคยเหยียดหยามใคร ก่อนมารดาจะสิ้นใจได้บอกเขาว่าทุกคนบนโลกนี้ล้วนมีชะตาชีวิตของตนเอง บางครั้งชีวิตอาจสิ้นหวังตกต่ำ แต่ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดไว้แล้ว สิ่งสำคัญคือควรจดจำไว้ด้วยว่ายามชีวิตรุ่งโรจน์อย่าหลงลำพอง ครั้นชีวิตตกต่ำก็อย่าโทษตนเอง เมื่อเห็นคนตกทุกข์ได้ยาก ช่วยเหลือได้ก็สมควรช่วยเหลือ เพราะบุญวาสนาที่สั่งสมมาในชีวิตนี้ย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดีในชาติหน้า
ถึงแม้ว่าเผ่าเฉวี่ยนหรงกับชาวฮั่นจะเปิดศึกสงครามติดต่อกันมาหลายปี แต่ทุกคนต่างก็มีเจ้านายของตนเอง ความแค้นฝังลึกนี้สั่งสมบ่มเพาะมาปีแล้วปีเล่า ไม่รู้เมื่อไรจะจบสิ้นเสียที โหยวเหมี่ยวพลิกหนังสือหน้าต่อไป เห็นหวังจื้อเขียนไว้ว่าพวกเผ่าคนเถื่อนต้องเอาชนะด้วยคุณธรรม สอนให้มีอารยธรรม นับเป็นวิธีการชั้นเลิศ ‘คนเถื่อนไม่มีโชคถึงร้อยปี’* แต่ชนเผ่านอกด่านที่อพยพเข้าสู่จงหยวนแล้วไม่ยอมหลอมรวมกับชาวฮั่นล้วนถูกทำลายหมด ส่วนพวกที่ยอมหลอมรวมกับชาวฮั่น สุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชาวฮั่นไป
โหยวเหมี่ยวอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวบนรถม้าอยู่สามวัน ตอนกลางวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องเริ่มออกเดินทางต่อ ตอนกลางคืนยามดวงจันทร์ลอยสูงเด่นกลางฟ้าจำต้องหยุดหาที่พักแรมหรือจอดรถม้านอนค้างแรมกลางป่ากลางเขา พ่อค้าเร่ซึ่งทำหน้าที่ขับรถม้าล้วนเป็นคนอาภัพ ต่างก็พกข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ติดมาทำการค้า บ้างก็ได้รับการไหว้วานจากเศรษฐีให้ไปส่งของ สารพัดอาชีพ ล้วนแต่เป็นชนชั้นล่าง เวลาหยุดพักหลี่จื้อเฟิงจะคอยปรนนิบัติรับใช้โหยวเหมี่ยวตลอด ส่วนพ่อค้าเร่พวกนั้นนั่งดื่มสุราอังไฟตรงจุดพักแรม มองหาบริเวณอบอุ่นแล้วนอนเบียดกันผ่านไปคืนหนึ่ง
ยิ่งเดินทางขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ อากาศก็ยิ่งหนาวเย็น จนกระทั่งถึงตอนข้ามเขาหยางโค่ว บริเวณเทือกเขาฉินหลิ่ง วันนั้นมีพายุหิมะตกหนักที่สุดนับตั้งแต่ย่างเข้าเหมันตฤดู เกล็ดหิมะใหญ่เท่าขนห่านโปรยปรายและลมพายุคลุ้มคลั่งดุจภูตผีร้ายรายล้อมรอบตัว คลื่นหิมะขู่คำรามชั้นแล้วชั้นเล่า เทือกเขาทอดตัวสูงๆ ต่ำๆ ปกคลุมไปด้วยหิมะหนา ชวนให้นึกถึงบทกวีที่ว่าหมอกปกคลุมเทือกเขาฉินหลิ่ง บ้านอยู่หนใด หิมะถล่มปิดด่านหลันกวน ม้ามิอาจเดินทาง
“อากาศหนาวเหน็บเกินทน…”
“สวรรค์โปรดอย่าปิดกั้นทางเลย…”
“รีบกลับบ้านโดยเร็วเถอะ…”
คนขับรถม้าทั้งหมดห่อหุ้มร่างกายมิดชิด พันผ้ารอบหัว เผยให้เห็นแค่ดวงตาสองข้าง ตะโกนเสียงแหบพร่า ขับควบรถม้าแล่นตรงไปข้างหน้า โหยวเหมี่ยวนั่งอยู่ในรถม้า แต่รับรู้ได้ว่าลมหนาวพัดเข้ามาทางประตูและหน้าต่างรถม้าที่ปิดมิดชิด
* คนเถื่อนไม่มีโชคถึงร้อยปี หมายถึงพวกชนเผ่าต่างๆ ที่เข้าสู่จงหยวนไม่มีทางอยู่ได้เกินร้อยปี เพราะล้าหลังกว่าทุกด้าน
AnAn
สิงหาคม 28, 2017 at 7:30 AM
เฮือก ตัดกันตรงนี้เหรอคะ?!โหดร้ายมาก!!!
Jamsai Editor
สิงหาคม 28, 2017 at 4:48 PM
รอติดตามบทที่ 2.2 พรุ่งนี้นะคะ
Nuch
ตุลาคม 9, 2017 at 2:26 AM
ภาษาสวยเรื่องสนุกมาก
Jamsai Editor
ตุลาคม 25, 2017 at 12:06 PM
อย่าลืมไปซื้อแพ็ค 3 เล่มที่งานมหกรรมหนังสือฯ มาอ่านด้วยนะคะ
wanida
ตุลาคม 27, 2017 at 9:20 PM
วันนี้ไปดูหนังสือมาแต่ตังไม่พอเสียดายมาก
Jamsai Editor
ตุลาคม 30, 2017 at 10:58 AM
ในเว็บก็ยังมีสินค้าอยู่นะคะ ^^