“ขุนพลเนี่ย โปรดระงับโทสะด้วย โปรดระงับโทสะด้วย คุณชายน้อยของเรา…” ห่าวซันเฉียนเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีก็รีบเอ่ยขอโทษเนี่ยตัน
ปกติแล้วคนที่สนิทคุ้นเคยกับโหยวเหมี่ยวไม่ใช่ลูกหลานแม่ทัพก็เป็นบุตรชายเสนาบดี กระทั่งบุตรชายของอัครเสนาบดียังเรียกพี่เรียกน้องกับเขา ดังนั้นโหยวเหมี่ยวมีหรือจะเห็นเซี่ยวเว่ยเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ในสายตา เวลานี้ข้าวปลาอาหารไม่กินทั้งนั้น รวบเสื้อคลุมทำท่าจะลงจากรถม้า “หลี่เหยียนเป็นคนมอบทาสผู้นี้ให้ข้า เจ้าจะว่าอย่างไร ไป เรากลับเข้าเมืองด้วยกันอีกหน ไปเรียกเขามาอธิบายให้เจ้าฟังกันตั้งแต่เช้าตรู่เป็นอย่างไร”
ขณะที่สถานการณ์กำลังร้อนระอุก็เห็นบ่าวรับใช้คนหนึ่งขี่ม้าตรงเข้ามาแต่ไกล
“คุณชายโหยว…”
โหยวเหมี่ยวมองออกไปจากตัวรถก็เห็นบ่าวพลิกตัวลงจากหลังม้าแล้วยื่นกล่องใบหนึ่งให้เขาพร้อมกล่าวว่า “นี่เป็นค่าเดินทางที่คุณชายบ้านข้าเตรียมไว้ให้ท่าน ได้ยินว่าวันนี้ท่านจะกลับบ้านแล้วจึงถือโอกาสเขียนหนังสือให้คุณชายด้วยอีกฉบับ ในนั้นมีตราประทับของท่านอัครเสนาบดี เพราะเกรงว่าท่านอาจจะโดนตรวจสอบตอนพาหลี่จื้อเฟิงออกจากเมือง นอกจากนี้ข้างในยังมีมีดสั้นอีกเล่ม มอบให้ท่านไว้ใช้ป้องกันตัวในระหว่างทาง”
โหยวเหมี่ยวรับกล่องมา ข้างในบรรจุเงินยี่สิบตำลึง แน่นอนว่าใส่ไว้แค่พอเป็นน้ำใจเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีหนังสืออีกฉบับหนึ่ง โหยวเหมี่ยวหยิบออกมากางให้เนี่ยตันดู เนี่ยตันแค่นเสียงเย็นชาแล้วโบกมือให้เปิดทาง
รถม้าเริ่มออกเดินทาง ขบวนคาราวานพ่อค้านับร้อยคันทยอยออกสู่เส้นทางหลวง บรรยากาศของเหมันตฤดูแผ่ปกคลุมทุกแห่งหน ต้นสนริมทางมีกองหิมะเกาะพราวเต็มต้น อากาศแจ่มใสดีมาก
โหยวเหมี่ยวเห็นทหารคนนั้นหายลับตาไปสุดปลายถนนก็แค่นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “แค่เซี่ยวเว่ยเล็กๆ คนหนึ่ง โลภเงินทองเสียจนขวัญกล้าเทียมฟ้าแล้ว”
“เขาแค่ทำตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น” หลี่จื้อเฟิงควานหาโต๊ะเตี้ยๆ ตัวหนึ่ง สูงกำลังพอเหมาะ จากนั้นก็เทโจ๊กที่อุ่นเสร็จแล้วยกมาวางบนโต๊ะ
“หึ เจ้าไม่เข้าใจ เซี่ยวเว่ยพวกนี้ฉวยโอกาสได้ก็รีบหาทางฉกฉวย คงอยากรีดเค้นเอาเงินทองสักก้อนนั่นเอง”
หลี่จื้อเฟิงไม่ได้เอ่ยตอบ โหยวเหมี่ยวจึงลงมือกินโจ๊กแล้วเอ่ยว่า “เจ้าก็กินด้วยสิ”
“ข้ากินขนมเปี๊ยะก็พอ” หลี่จื้อเฟิงหยิบกับข้าวจานเล็กๆ วางเรียงบนโต๊ะก่อนตอบ
โหยวเหมี่ยวเห็นหลี่จื้อเฟิงพูดมากขึ้นในวันนี้ คิดว่าคงเป็นเพราะได้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ไม่ต้องอยู่ในบ้านโหยวเต๋อโย่วอีกทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เมื่อคืนเจ้าช่างช่ำชองนัก”
หลี่จื้อเฟิงนั่งมองโหยวเหมี่ยวอยู่ด้านข้าง
โหยวเหมี่ยวเองก็มองสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียด “เหตุใดเวลาอยู่บนเตียงกับนอกเตียงจึงดูเหมือนเป็นคนละคน”
สีหน้าของหลี่จื้อเฟิงไม่บ่งบอกอารมณ์ ดูราวกับท่อนไม้ก็ไม่ปาน โหยวเหมี่ยวเอ่ยว่า “เมื่อวาน…ตอนอยู่บนเตียงเจ้ามักจะพูดจาออกคำสั่ง มิน่าถึงโดนหลี่เหยียนทุบตี”
ดูจากนิสัยเจ้าอารมณ์ของหลี่เหยียน ถ้ามีคนพูดจาดูถูกเหยียดหยามเขาหรือสั่งให้หลี่เหยียนเรียกยกย่องผู้อื่นว่าพี่ อีกฝ่ายแค่โดนถลกหนังก็ยังเบาไปด้วยซ้ำ โหยวเหมี่ยวคิดถึงเรื่องนี้ก็อดขบขันไม่ได้ ถามต่อว่า “ศึกษามาจากไหน”
“หอสังคีต” หลี่จื้อเฟิงตอบ
AnAn
สิงหาคม 28, 2017 at 7:30 AM
เฮือก ตัดกันตรงนี้เหรอคะ?!โหดร้ายมาก!!!
Jamsai Editor
สิงหาคม 28, 2017 at 4:48 PM
รอติดตามบทที่ 2.2 พรุ่งนี้นะคะ
Nuch
ตุลาคม 9, 2017 at 2:26 AM
ภาษาสวยเรื่องสนุกมาก
Jamsai Editor
ตุลาคม 25, 2017 at 12:06 PM
อย่าลืมไปซื้อแพ็ค 3 เล่มที่งานมหกรรมหนังสือฯ มาอ่านด้วยนะคะ
wanida
ตุลาคม 27, 2017 at 9:20 PM
วันนี้ไปดูหนังสือมาแต่ตังไม่พอเสียดายมาก
Jamsai Editor
ตุลาคม 30, 2017 at 10:58 AM
ในเว็บก็ยังมีสินค้าอยู่นะคะ ^^