พวกคนเช่าที่ถอยออกไป โหยวเหมี่ยวได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ตอนหลี่จื้อเฟิงพูดเช่นนั้นให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อบ้านไม่น้อย ครู่ต่อมาโหยวเหมี่ยวก็กินอาหารเช้าหมด แม้ว่าอาหารจะเรียบง่ายไปนิด บะหมี่ใส่แค่เกลือนิดเดียว แต่โหยวเหมี่ยวหิวมาทั้งคืนจึงกินอย่างตะกรุมตะกรามไปครึ่งหม้อ เขารู้สึกว่าบะหมี่นุ่มลื่นหอมฉุย ไช้เท้าดองก็เปรี้ยวกรอบกำลังดี อร่อยมาก
ปกติตอนอยู่บ้าน โหยวเหมี่ยวไม่มีทางชายตาแลอาหารเช่นนี้ด้วยซ้ำ แต่ปราสาทเขาเจียงปัวดูยากจนข้นแค้น ต้มบะหมี่สักหม้อแม้แต่ไข่ไก่ยังไม่มีใส่ โหยวเหมี่ยวไม่ทราบว่าชาวบ้านยากจนทั่วไป กระทั่งจะกินข้าวดีๆ สักมื้อยังเป็นความฝัน ได้แต่กินหมั่นโถวแกล้มผักดองเล็กน้อยประทังชีวิตไปมื้อหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นแค่ยกบะหมี่ที่ทำจากแป้งขาวมาให้เช่นนี้ก็เรียกว่ามีน้ำใจมากโขแล้ว
โหยวเหมี่ยวกินเสร็จก็ผลักชามให้หลี่จื้อเฟิงแล้วบอกว่า “กินสิ กินอิ่มแล้วจะได้เริ่มทำงาน” หลี่จื้อเฟิงกินที่เหลือจนหมด โหยวเหมี่ยวกล่าวต่อว่า “คนที่ข้าพอจะพึ่งได้ก็เหลือแค่เจ้าเท่านั้น จะทำอะไรก็ตั้งใจหน่อย”
หลี่จื้อเฟิงพยักหน้า โหยวเหมี่ยวรู้ดีว่าหลี่จื้อเฟิงย่อมยึดถือเขาเป็นใหญ่อยู่แล้ว พูดไปก็เปลืองน้ำลายเปล่าๆ ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าเขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่านั้น พอมาถึงก็ต้องเจอกับบ้านเก่าทรุดโทรมขนาดนี้ เขาจึงไม่กล้าออกไป เพราะกลัวข้างนอกจะทรุดโทรมยิ่งกว่านี้
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อมาแล้วก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย
โหยวเหมี่ยวทราบดีเช่นกันว่าถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เก่าทรุดโทรมผุพัง ปราสาทเขาเจียงปัวคงตกไม่ถึงมือเขา คนเช่าที่สี่ครอบครัวกับที่ดินเก้าสิบฉิ่ง ตัดไร่นาทางตะวันออกของปราสาทเขาออก ที่เหลือล้วนเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่มีใครบุกเบิกถางไร่ ชาวนาแต่ละครอบครัวใช้ที่ดินแค่ห้าสิบหมู่เท่านั้น…เพราะมากกว่านั้นพวกเขาก็เพาะปลูกไม่ไหว
งานเร่งด่วนตอนนี้ก็คือบุกเบิกพื้นที่รกร้างที่เหลือ และปล่อยให้คนมาเพาะปลูกทำไร่ไถนา เก็บเกี่ยวผลผลิต
แน่นอนว่าถ้าอยากเพาะปลูกก็ต้องบุกเบิกถางไร่ก่อน ถึงจะบอกว่ามีที่ดินเก้าพันหมู่ แต่ส่วนหนึ่งเป็นเทือกเขา เมื่อตัดทิ้งก็เหลือที่ดินปลูกข้าวนาน้ำได้แค่หกเจ็ดพันหมู่เท่านั้น
หกพันหมู่…จากวสันต์ถึงสารทปลูกข้าวนาน้ำหนึ่งฤดู ที่ดินหนึ่งหมู่ได้ผลผลิตหกร้อยชั่ง ตัดส่วนที่ปันไว้กินในครอบครัว จ่ายค่าเช่าที่ดิน โหยวเหมี่ยวก็ได้เงินจากแต่ละหมู่นิดหน่อย ถ้าปล่อยเช่าที่ดินหมดทั้งหกพันหมู่ แต่ละปีย่อมได้เงินหลายพันตำลึง
แน่นอนว่านี่คือความคิดที่เป็นอุดมคติ ความจริงแล้วโหยวเหมี่ยวไม่มีคน ที่ดินก็จำเป็นต้องบุกเบิกก่อน ทั้งยังต้องจ่ายภาษีให้ราชสำนัก ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว สี่ครอบครัว ครอบครัวละห้าสิบหมู่ หนึ่งปีเก็บเงินได้สักร้อยตำลึงก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดก็คือไม่มีน้ำ
ข้าวนาน้ำ จะปลูกก็ต้องมีน้ำ ทว่าน้ำเป็นปัญหาใหญ่ ที่ดินที่มีน้ำสามารถปลูกข้าวได้สามฤดู แต่ถ้าเป็นที่ดินแห้งแล้งขาดน้ำจะปลูกได้แค่หนึ่งฤดูเท่านั้น สองฤดูยังลำบากยากเย็น ชาวนาต้องลำบากตักน้ำจากบ่อไปใช้ แรงงานคนไม่พอ ที่ดินที่เช่าย่อมน้อยไปด้วย ทั้งยังต้องรอดูฟ้าฝนอีก ถ้าฝนตกหลายรอบก็ปลูกมากไม่ได้ มิฉะนั้นต้นกล้าอาจเน่าหมด
“ลองบอกมาสิว่าชื่ออะไรกันบ้าง” โหยวเหมี่ยวหยิบบัญชีออกมาก็ทรุดนั่งข้างๆ สิงโตหิน โดยไม่วางท่าเป็นคุณชายให้เสียเวลา พวกคนเช่าที่รออยู่หน้าประตูรองมานาน พอเห็นโหยวเหมี่ยวออกมาก็รีบค้อมกายคารวะ
“เรียนคุณชาย” คนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “ครอบครัวข้าน้อยแซ่หลี่ ชื่อหลี่จวง”
โหยวเหมี่ยวพยักหน้าแล้วมองสำรวจทั้งสี่คน คิดว่าคงเป็นหัวหน้าครอบครัวคนเช่าที่ คนที่ชื่อหลี่จวงดูท่าทางน่าจะอายุห้าสิบปีเศษ ข้างๆ เป็นตาแก่หลังค่อมคนหนึ่ง อีกด้านเป็นคนหนุ่มที่ตัวค่อนข้างสูง ส่วนคนสุดท้ายเป็นคนผอม
แก่แล้วก็ยังเป็นคนเช่าที่?