Jamsai
ทดลองอ่าน เกมล่าเดิมพันรัก บทที่ 5
เธอสำลักจนรู้สึกตัว
ขณะที่ได้สตินั้นเธอรู้สึกถึงโคลนที่กำลังทะลักเข้าจมูกและปากของเธอ พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในน้ำ เธอรีบใช้มือดันตัวขึ้นมาในท่าหมอบอยู่เหนือผิวน้ำซึ่งสูงแค่ระดับข้อเท้า พยายามไอเอาโคลนและเศษดินที่เข้าไปในปากและจมูกออกมา
ถ้ายาสลบยังไม่หมดฤทธิ์ เธอคงจมน้ำตื้นตายไปแล้ว
เธอพยายามไอแล้วเงยหน้าขึ้นมองรอบๆ เธออยู่ในลำธารเล็กๆ สายหนึ่งแม้ว่าจะเป็นลำธารเล็กๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไมต้นไม้ที่อยู่ข้างลำธารถึงได้ห่างออกไปมาก ไม่แน่ที่ตรงนี้อาจเป็นท้องน้ำกว้าง
ท้องฟ้าสีครามเหนือศีรษะแม้ว่าจะมีเมฆอยู่บ้างแต่อากาศก็ไม่ได้เลวร้ายนัก ขณะที่เธอหันหน้าไปทางต้นน้ำนั้น เธอมองเห็นเมฆกำลังรวมตัวกันอยู่เหนือยอดเขา
ภูเขาหลายลูกโอบล้อมไว้ เหมือนเป็นกรวยขนาดใหญ่
ขณะที่เธอยังไออยู่ฉับพลันก็มีไอเย็นทะลักลงมา และเธอยังรู้สึกได้ถึงน้ำในลำธารใต้เท้าของเธอกำลังไหลเชี่ยวกราก มีแนวโน้มจะไหลเร็วขึ้น ซ้ำยังพัดพาทรายมาด้วย ในช่วงเวลานั้นน้ำที่ใสก็เปลี่ยนเป็นขุ่นคลักยิ่งกว่าตอนที่เธอเพิ่งจะรู้สึกตัวเสียอีก
ระดับน้ำแค่ข้อเท้า ไม่ลึก ตื้นมาก
แต่เธอก็ยังรีบลุกขึ้นยืนและปีนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว
บนภูเขาฝนกำลังตกอย่างหนัก
เธอรู้ว่าน้ำจะมาอย่างรวดเร็ว ท้องน้ำกว้างมาก นั่นแปลว่าแม่น้ำสายนี้เมื่อมีฝนตกใหญ่จะมีน้ำจำนวนมากไหลบ่าลงมา
ริมฝั่งน้ำยังอยู่อีกไกล ในร่างกายของเธอยังคงมีฤทธิ์ยาสลบหลงเหลืออยู่ เธอวิ่งมาได้เพียงแค่ครึ่งทางก็ได้ยินเสียงที่น่ากลัวมากเสียงนั้นดังสนั่นเข้ามาใกล้ เธอไม่ได้หันกลับไปมอง มุ่งหน้าวิ่งไปที่ตลิ่งอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำที่อยู่ตรงข้อเท้าเพียงพริบตาก็ขึ้นมาถึงหัวเข่า ทุกครั้งที่ก้าววิ่งจะรู้สึกถึงน้ำที่สูงขึ้น ไหลแรงขึ้น ขัดขวางเธอที่ก้าวไปข้างหน้า
น้ำแตกกระจายเป็นฟองรอบๆ ขาเธอ เธอวิ่งโดยยกขาสูง น้ำปริมาณมากไหลมาอย่างรวดเร็ว เธอไม่ได้หันกลับไปแต่ปรายตาเห็นน้ำที่ไหลทะลักลงมาจากที่สูง เพียงแค่ชั่วพริบตาน้ำที่ขุ่นคลักก็ไหลมาถึงตรงหน้า เธอวิ่งมาถึงริมฝั่งจับกิ่งไม้ที่เอนตัวลงมาเพื่อจะดึงตัวขึ้นไปได้ทัน แต่ในเวลาเดียวกันนั้นสายน้ำเชี่ยวกรากก็กระแทกเข้าไปที่ร่างของเธอ ทำให้เท้าเธอลื่น เสียงกิ่งไม้หัก และเธอก็ตกลงไปในสายน้ำเชี่ยวกรากนั่น
เธอกลั้นหายใจได้ทันเวลา แต่วินาทีถัดมาก็ถูกกระแทกเข้ากับก้อนหินขนาดใหญ่ ทำให้เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ กลืนน้ำโคลนเข้าไปคำโต เธอบอกตัวเองว่าอย่าตื่นตระหนก เพียงแต่กลั้นหายใจอีกรอบ ให้สายน้ำพาเธอผ่านอุทกภัยครั้งนี้ไป เธอหลับตาลงท่ามกลางสายน้ำที่พัดรุนแรงจนไม่อาจแยกทิศทางออกได้ แต่ในขณะนั้นเองเธอรู้สึกตัวเองสัมผัสถึงจุดต่ำสุดของแม่น้ำ ก้นแม่น้ำ เธอใช้ทั้งแขนและขาออกแรงดันตัวขึ้น ว่ายน้ำไปตามทิศทางน้ำไหล
ศีรษะเธอโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำได้ฉับพลัน เธอลืมตาขึ้นมอง เห็นภาพไม่ชัดเจน มีสีแดงเต็มไปหมด แต่ตอนนี้เธอก็ห่างจากริมฝั่งไม่มากนักแล้ว ในขณะที่อยู่ในน้ำเธอพยายามจะหลบต้นไม้ที่ถูกน้ำพัดมา แต่ก็ยังหลบไม่พ้น ต้นไม้บ้านั่นกระแทกเข้ามาที่ไหล่ขวาเธออย่างจัง
ไหล่ขวาเธอหลุด เจ็บปวดแทบจะหมดสติ แล้วเธอยังผลุบๆ โผล่ๆ ท่ามกลางกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก เธอรู้ว่าเธอจะหมดสติไปไม่ได้และเธอต้องการมือขวาของเธอ เมื่อเห็นหินก้อนใหญ่อยู่เบื้องหน้าเธอไม่คิดจะหลบ ทว่ากลับพลิกตัวหันไหล่ขวาไปกระแทกเพื่อให้ไหล่ขวาที่หลุดกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นใช้สองขาถีบก้อนหินนั่น เพื่อช่วยในการว่ายเข้าฝั่ง แล้วยื่นมือทั้งสองออกไปจับกิ่งไม้และเถาวัลย์อย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้เธอทำสำเร็จ ทั้งมือและเท้าออกแรงดึงตัวขึ้นจากน้ำบ่าเชี่ยวกรากที่น่ากลัวนี้
จนกระทั่งเธอมั่นใจว่าปีนขึ้นมาบนต้นไม้ ขึ้นมาบนฝั่งแล้ว เมื่อปีนขึ้นมาได้สูงพอจึงกล้าที่จะหันกลับไปมอง
ลำธารเล็กๆ กว้างไม่ถึงสองเมตรได้หายไปในพริบตา น้ำบ่าไหลหลากรัศมีกว้างกว่าสิบเมตรกำลังไหลเชี่ยว ทุกสิ่งที่อยู่ในท้องน้ำถูกกลบจนไม่เหลืออะไร
เธอยืนหอบอยู่ข้างต้นไม้ เช็ดเลือดที่อยู่บนใบหน้า รู้ว่าขณะอยู่ในน้ำนั้นศีรษะและร่างกายกระแทกท่อนไม้และก้อนหินที่ไหลมากับน้ำบ่าจนเป็นรอยช้ำเต็มตัว แต่แขนขาเธอยังไม่หัก
เมฆหนาที่รวมตัวกันบนเขาสลายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วที่ตกลงมาอยู่ๆ ก็หยุดลง รวดเร็วเหมือนกับคนเอาน้ำมาราดใส่หัวเธอเท่านั้น
รู้สึกได้ว่าเท้าของเธอลื่นมากขึ้น ดินอ่อนตัวลง เธอรีบก้าวถอยหลัง ในขณะนั้นเองอยู่ๆ มีเสียงดนตรีดังขึ้นมา
เธอนิ่งไป เมื่อก้มลงมองจึงเห็นว่าที่ข้อมือซ้ายอยู่ๆ ก็มีกำไลโลหะความกว้างประมาณหนึ่งเซนติเมตรสวมอยู่ข้างๆ นาฬิกาของเธอ
ด้านบนของกำไลโลหะแสดงเวลาแบบตัวเลข
เมื่อเธอยกมือขึ้นมาจะพิจารณา กำไลโลหะก็ยิงแสงออกมาอย่างฉับพลัน ฉายภาพขึ้นมาบนแขนเธอ
ภาพสี่เหลี่ยมเหมือนจอมือถือปรากฏขึ้น เป็นภาพงูสีทองตัวหนึ่งเลื้อยเป็นรูปเลขแปดพยายามกัดหางตัวเอง ในเวลาเดียวกันเสียงกล่าวต้อนรับของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“มิตรสหายที่รัก ขอแสดงความยินดีที่ท่านเลื่อนขั้นขึ้นมาในเลเวลสองของเกมนักล่าเขตเจ็ดนี้ ขณะนี้ในระบบเกมเป็นเวลาสิบหกนาฬิกา สามนาที ยี่สิบสามวินาที อุณหภูมิสามสิบสามองศา พยากรณ์อากาศคาดการณ์ว่าตอนสายท้องฟ้าสดใส หลังจากนั้นจะมีเมฆฝนเป็นระยะ ลำดับถัดไปดิฉันขอแนะนำกำไลข้อมือกับท่าน กำไลโลหะนี้เป็นกำไลเทคโนโลยีสมัยใหม่สำหรับท่านโดยเฉพาะ ภายในมีระบบติดตามตัวจีพีเอส มีระบบตรวจสอบสถานะบุคคลด้วยดีเอ็นเอ จะเป็นเครื่องบันทึกข้อมูลสุขภาพและเป็นการบันทึกการเก็บคะแนนของท่าน เวลาเจ็ดนาฬิกาของทุกเช้า กำไลข้อมือนี้จะแสดงข้อมูลภารกิจ…”
เสียงของหญิงสาวยังไม่ทันจบก็มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นทางริมฝั่งน้ำอีกด้าน
เธอสะดุ้งเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพียงแค่เปลวเพลิงและควันที่ลอยออกมาจากต้นไม้ในป่าที่แน่นขนัด
ผู้หญิงคนนั้นใช้น้ำเสียงแสดงความยินดีพูดต่อ ไม่ได้หยุดเพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ภาพงูสีทองหายไปแล้วกลายเป็นภาพของกำไลข้อมือ
“กำไลข้อมือนี้นอกจากจะเก็บคะแนนแล้วยังมีความสามารถอีกหลายด้าน หากมีแรงกระทำเพื่อทำลายจากภายนอก กำไลจะระเบิดเองโดยอัตโนมัติ โปรดอย่าได้ทดลองนะคะ ท่านจะได้คะแนนสะสมหลังปฏิบัติภารกิจสำเร็จ เมื่อได้คะแนนตามที่กำหนดจะได้ของรางวัลหนึ่งชิ้น ขอบคุณที่เข้าร่วมกิจกรรม ขอให้ท่านสนุกกับเกม”
เสียงต้อนรับจบลง ตามด้วยเสียงดนตรีจังหวะค่อนข้างเร็ว แล้วทุกอย่างก็เงียบลง
เธอยกมือซ้ายขึ้น ใบหน้าไร้ความรู้สึกจ้องมองไปที่กำไลข้อมือสีเงินพร้อมกับครุ่นคิด
เจ้าสิ่งนี้ไม่มีรอยต่อ มีรูเล็กๆ ที่ฉายภาพออกมาซึ่งดูไม่เหมือนกล้องจับภาพ แล้วก็มีลำโพงที่มองไม่เห็น นอกจากสองอย่างนี้ก็มีเพียงแค่เวลาเป็นตัวเลขแสดงอยู่ทางด้านบนเท่านั้น แต่เธอรู้ว่ามันยังต้องมีกล้องจับภาพ อุปกรณ์ดักฟัง แล้วก็ดินปืน
เสียงระเบิดเมื่อกี้คงจะเป็นเหยื่อที่โชคร้ายสักคน
ภาพของผู้ชายบนเรือบ้านผุดขึ้นมาในสมอง ทำให้หัวใจกระตุก เธอพยายามผลักความคิดนั้นออกอย่างรวดเร็ว
ไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ไม่ได้ รออีกสักพักแล้วค่อยคิดก็ได้
เธอดึงความสนใจกลับมาที่กำไลข้อมืออีกครั้ง
คนของเรดอายไม่เคยพูดถึงกำไลข้อมือนี้ ตอนที่พวกเขาพบเหยื่อที่หนีออกมาได้เมื่อหลายปีก่อน หานอู่ฉีได้เตือนเธอไว้แล้วว่าเรื่องราวมันซับซ้อน เรดอายไม่ได้มีข้อมูลทั้งหมด
กฎเกณฑ์เกมนักล่าเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
เธอรู้ว่าเธอไม่อาจจะถอดเจ้าสิ่งนี้ออกมาได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัด ดังนั้นเธอไม่ได้คิดจะทำลายมัน ทำแค่ฉีกแขนเสื้อลงมาแล้วพันกำไลข้อมือไว้
คนพวกนั้นสามารถวัดอุณหภูมิกับจังหวะการเต้นหัวใจของเธอ หรือแอบมองเธอผ่านกล้องที่แอบซ่อนไว้ แต่เธอจะไม่ให้พวกมันมองเห็นได้ตลอดเวลาว่าเธอทำอะไร
เลือดหยดหนึ่งตกลงบนหลังมือ คือเลือดกำเดา
เธอต้องหาที่ปลอดภัยเพื่อพักฟื้น
เธอเงยหน้าขึ้นมองสำรวจภูมิประเทศอีกครั้ง รู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ในเหมืองนั่นแล้ว
เธอหันหลังเดินจากฝั่งแม่น้ำ ลากเอาร่างกายที่บาดเจ็บและบอบช้ำเดินเข้าไปในป่า
ฝนตกลงมาอีกครั้ง อากาศมีความชื้นสูง รอบๆ มีเถาวัลย์และต้นไม้ใหญ่ ใบไม้ก็เป็นขนาดใหญ่ พื้นดินเต็มไปด้วยเฟิร์น มีสัตว์เล็กสัตว์น้อย งูและหนอน ลิงที่หลบซ่อนอยู่ในป่า นกที่มีปีกสีสันสดใส ทำให้เธอรู้ว่าเธอไม่ได้อยู่บนภูเขาแล้ว
เธออยู่ในป่าดิบชื้น
ต้นไม้ใหญ่ที่นี่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำและกาฝากจึงดูเหมือนกับพวกมันสวมเสื้อผ้าสีเขียวไว้ ต้นไม้บางต้นใหญ่ขนาดหลายคนโอบ แม้แต่กิ่งก้านที่ยื่นออกไปก็กว้างพอที่จะให้คนไปวิ่งบนนั้นได้
ฝนยังคงตกหนัก เธอเดินย่ำลงไปในโคลน ริมฝีปากเริ่มชา เธอรู้ว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บจำเป็นต้องรีบหาที่พักฟื้นโดยเร็วที่สุด แล้วในขณะนั้นเอง ความรู้สึกประหลาดทำให้เธอขนลุก เธอหมอบลงโดยทันที กระสุนนัดหนึ่งยิงผ่านไปทางด้านซ้าย ยิงโดนต้นไม้ใหญ่ เธอคลานไปบนโคลนและกองใบไม้ที่เน่าเปื่อย เมื่อคลานไปถึงต้นไม้ใหญ่เธอก็ไม่ได้หยุดอยู่ตรงนี้ การหยุดหมายถึงจะถูกคนอื่นล้อมไว้ เธอกดตัวลงต่ำแล้ววิ่งต่อไป กระสุนไล่ตามหลังเธอมาติดๆ มีกระสุนนัดหนึ่งเฉี่ยวเอวเธอไป เธอรู้ว่าจะหลบซ่อนในภูมิประเทศแบบนี้อย่างไร รู้วิธีการคิดของคนที่ยิงปืน เธอไม่แม้แต่จะชะงัก รู้สึกได้ว่าคนพวกนั้นตกใจ จึงขาดความแม่นยำ เธอใช้โอกาสนี้กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ว่องไวเหมือนกับลิง ใช้กิ่งไม้โหนตัวขึ้นไปสูงขึ้น พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วขึ้น เพียงพริบตาก็เพิ่มระยะห่างของคนสองคนได้
ใบไม้ที่หนาทึบช่วยซ่อนตัวเธอไว้ อีกฝ่ายไม่อาจเห็นได้ชัดเจน แต่เธอรู้ว่านักล่าอยู่ที่ไหน ทุกครั้งที่ยิงปืนออกมาก็เป็นการระบุตำแหน่งของมันได้อย่างชัดเจน
กระสุนบินเฟี้ยวฟ้าวผ่านเธอไป เธอหมุนกลับตัวกลางอากาศ คว้ากิ่งไม้อีกกิ่งเปลี่ยนทิศทาง พุ่งออกไปรวดเร็วเหมือนลูกธนู ขณะที่อีกฝ่ายยังจับทิศทางไม่ถูกเธอก็ถีบมันจนกลิ้งไป
เธอถีบเข้าที่กลางศีรษะอย่างแม่นยำ มองคนตรงหน้าที่ล้มหมดสติ
เธอไม่ได้เก็บปืนของมันมา ยื่นมือไปอังใต้จมูกพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้ถีบจนคอหัก
เธอไม่ได้ฆ่า นักล่ายังมีลมหายใจอยู่
ชายคนนี้เป็นคนผิวขาว อายุประมาณสามสิบกว่าๆ ที่แขนมีรอยสัก เธอรู้จักรอยสักนั่น นกอินทรีเกาะปืนกับสามง่ามและสมอเรือที่อยู่ตรงกลาง
หน่วยเนวี่ซีลของอเมริกา
มันไม่มีกำไลข้อมือ เธอไม่ได้บ้าพอที่จะตรวจสอบนัยน์ตา ถ้าเมื่อครู่มันมองเธอไม่ชัดก็แสดงว่าพวกผู้เล่นก็จะมองเธอไม่ชัดไปด้วย เป็นแบบนี้ดีแล้ว เธอไม่อยากจะให้โอกาสกับคนพวกนั้น
เมื่อโดนทั้งน้ำและฝนชะล้าง เธอก็ไม่แน่ใจว่ายาสลบที่อยู่บนเล็บนั้นจะยังคงมีประสิทธิภาพแค่ไหน เธอดึงมีดสั้นทหารของมันขึ้นมา ตัดเถาวัลย์แล้วจับแขนทั้งสองของนักล่ามัดไขว้หลังไว้ หลังจากนั้นก็หยิบอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถใช้ได้ไป
น่าเสียดายที่มันไม่มีเสบียงอาหาร มีเพียงแต่ปืนและกระสุน
เธอต้องการอาหาร แต่เธอเหนื่อยมากเกินไปแล้ว เธอจึงหยิบแค่สิ่งของที่จำเป็น หลังจากเดินไประยะหนึ่งเธอก็เลือกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปีนขึ้นไปข้างบนต้นไม้ หลบซ่อนตัวท่ามกลางใบไม้ที่แน่นขนัด
แม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงเช้ากำไลนี้จึงจะมอบหมายภารกิจให้ แต่นั่นไม่ได้แปลว่าพวกนักล่าจะหยุดล่าในช่วงนี้
ในเกมเธอเป็นเหยื่อที่ถูกล่า ภารกิจและรางวัลล้วนแล้วแต่เป็นเหยื่อล่อทั้งสิ้น
เธอนั่งบนกิ่งไม้ ฉีกเสื้อเชิ้ตออกสำรวจดูรอยแผลที่เอวซึ่งถูกยิงเฉียดไป แผลมีเลือดซึม ท่าทางยังไม่เลวร้ายเท่าไหร่ เธอกำปืนแน่นมองฝนที่ตกลงมาไม่ได้หยุด คิดทบทวนถึงสถานการณ์ของตนเอง
เธอมีระเบิดอยู่ที่ข้อมือ คอนแทกเลนส์พิเศษที่เกาอี้ให้ไว้ก็หลุดไปกับสายน้ำแล้ว สงสัยว่าคนของเรดอายจะรู้ไหมว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอจะยังคงเล่นเกมนี้ต่อไป
ตอนที่ตอบรับว่าจะมาเธอก็เตรียมใจไว้แล้ว ยังไงซะก่อนหน้านี้เธอก็เคยอยู่ในองค์กรแบล็กแชโดว์ หากเธอโชคร้ายเสียชีวิตในเกมนี้ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับโลก
ก่อนหน้านี้นานมากๆ เธอควรจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ
ฝนตกหนัก มีฟ้าผ่ามาเป็นระยะ เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่ม ใบไม้ที่แน่นขนัดช่วยพรางตัวแต่ช่วยกั้นฝนตกหนักไม่ได้ อยู่ๆ เธอก็คิดถึงความอบอุ่นและเงียบสงบในบ้านเรือนั่น
ตอนนี้ลอนดอนเข้าสู่ยามค่ำคืนหรือยังนะ
ฝนตกอยู่หรือเปล่า
เขากำลังฟังเพลงอยู่ไหม
เธอกำปืนแน่น ม้วนตัวเป็นก้อนกลม หลับตาลงพลางหายใจเข้าออกช้าๆ ทำเหมือนประหนึ่งว่ายังอยู่ในบ้านเรือนั่น
ฝนตกหนักมาก ตัวเธอทั้งหนาวแล้วก็เจ็บปวด แต่เธอก็ยังเห็นภาพเขานอนหงายอยู่บนโซฟา ฟังเสียงเครื่องดนตรีที่ไม่รู้จักชื่อที่เล่นผสานกับเปียโนด้วยจังหวะที่ช้าๆ
เขาชอบอยู่ท่ามกลางสายฝน เปิดเพลง เสียงดนตรีช้าๆ เบาๆ จากเครื่องดนตรีที่ไม่รู้จักแหวกว่ายอยู่ในอากาศ
นั่นเป็นเพียงไม่กี่ครั้งในรอบปีที่เขาจะผ่อนคลายได้ มีหลายวันที่เป็นวันสงบสุข ไม่มีลูกค้ามาหา เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะนอนอยู่บนโซฟาเก่านั่น สองมือไขว้ไว้ที่ท้ายทอยหนุนศีรษะไว้ ฟังดนตรีที่ไร้เนื้อร้อง
เธอจะชงชาให้เขาหนึ่งกา แล้วก็จะนั่งลงบนพื้นกระดาน เปิดหนังสือที่เขาเก็บสะสมไว้
เธอชอบดนตรีที่เขาเปิด เธอชอบดื่มน้ำชาร้อนๆ ชอบหนังสือที่เขาสะสม ชอบค่ำคืนฝนพรำที่เกียจคร้านไม่มีเรื่องราวอะไรให้ทำ
ทันใดนั้นอยู่ๆ เธอก็สัมผัสได้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ
ท้องฟ้ามืดมิด เธอมองไม่เห็นอะไรในป่าดิบชื้นนี้ คนคนนั้นไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา แต่เธอรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเขา
ด้านซ้าย? ไม่ ด้านบน
เธอพลิกข้อมืออย่างรวดเร็ว แต่คนคนนั้นไม่ได้ให้โอกาสเธอ เขาแย่งปืนของเธอไป เธอเอียงตัวเล็กน้อยตั้งใจปล่อยให้ตัวเองตกลงไปข้างล่าง ขาเล็กๆ ของเธอเกี่ยวอยู่กับกิ่งไม้ เธอหมุนตัวลงด้านล่างกลับขึ้นมาใหม่ ชักมีดสั้นออกมาพุ่งไปยังชายที่อยู่ด้านบนของเธอ เขาหลบหลีกการโจมตีของเธอ ตวัดมือกลับมาจับมือที่ถือมีดของเธอไว้ เธอไม่ขัดขืน ปล่อยให้มีดสั้นตกลงไปแล้วใช้มือซ้ายรับมีด ตวัดไปที่หมอนั่นอีกครั้ง
ไกลออกไปมีแสงไฟส่องไปมา คืนมืดสว่างขึ้น แสงไฟเคลื่อนตัวมาไปอย่างรวดเร็วจึงทำให้เธอเห็นเพียงแค่โครงร่างของศัตรูแล้วก็ปืนเท่านั้น
มีดสั้นมีสีดำไม่สะท้อนแสง แต่เธอเห็นปากกระบอกปืน เธอคิดว่าเขาจะยิงปืนใส่เธอทว่าไม่ เขาเพียงแค่ใช้ปืนกั้นคมมีด ส่วนมือซ้ายยังจับมือขวาของเธอไว้ เธอกระชากมีดฟันใส่อีกที ครั้งนี้ตั้งใจฟันไปที่มือซ้ายเขา แต่ชายคนนั้นยังคงไม่ยอมปล่อยมือ ออกแรงดึงเธอขึ้นมา
เธอไม่ได้ขัดขืนขึ้นไปตามแรงดึง ใช้มีดสั้นตวัดไปที่ขมับเขา เขาก็ยกปืนขึ้นมากั้นอีกครั้ง เธอตวัดมือจับแขนเขาไว้ออกแรงดึง ยกเข่าขวาขึ้นกระแทกไปที่ทรวงอกของชายคนนั้น
เขากันไม่ทัน โดนเข่าไปเต็มๆ ร้องสบถออกมาอย่าหงุดหงิด หากยังคงไม่ปล่อยมือ ดึงเธอกลับขึ้นมาบนต้นไม้ที่เขาอยู่ เมื่อเธอตวัดมีดอีกครั้ง เขาหลบหลีกมีดสั้นได้ทัน
ผู้ชายคนนี้ฝีมือดีมาก เธอรู้ว่าตัวเองจะไม่สามารถชักช้าได้ เธอไม่เสียเวลากับมีดอีก เปลี่ยนมาดึงปืนที่เหน็บซ่อนไว้ที่เอว ใครจะไปรู้ว่าวินาทีถัดมาผู้ชายคนนั้นจะดึงเธอไปด้านหน้า เธอรู้สึกถึงมือเขาที่ลูบอยู่ที่ลำคอเธอ ใจเธอเต้นรัว คิดว่าชีวิตตัวเองจะต้องจบสิ้น ถึงแม้จะไม่ได้คิดพรากชีวิตคนอื่น แต่เพื่อรักษาชีวิตตัว เธอหยิบปืนจ่อไปที่เอวของเขาด้วยความรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็โยนปืนในมือทิ้ง แล้วจับมือที่ถือปืนของเธอ มือทั้งสองข้างของเธอถูกเขาจับไว้แน่น เขากดเธอลงบนกิ่งไม้ที่กว้างพอให้คนนอนได้แล้ว…จูบเธอ
เธอตัวแข็งทื่อ
เป็นเพราะการกระทำที่ไม่คาดคิดของเขา แล้วยังมีรสหวานเย็นจากปากของเขา
ลูกอมมิ้นต์
ฝนตกหนัก ฟ้ามืดสนิทขนาดที่มองไม่เห็นนิ้วมือของตนเอง แต่รสชาติในปากของเขาชัดเจนมาก
ไม่ใช่หมากฝรั่งรสมิ้นต์ ไม่ใช่ส่วนผสมของกลิ่นหอมราคาถูก ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สกัดขึ้น นั่นคือมิ้นต์และน้ำตาลอ้อยธรรมชาติ
เธอไม่อาจจะเชื่อ แต่เมื่อทั้งสองคนใกล้ชิดกันมาก เธอไม่เพียงแต่รับรู้รสชาติจากปากของเขา ยังได้กลิ่นที่คุ้นเคยจากร่างกายของเขาอย่างชัดเจน
นี่มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ชายคนนั้นไม่มีทางมาอยู่ที่นี่ แต่เธอจำกลิ่นของเขาได้ ถึงแม้ว่าจะอยู่ในความมืดมิดเธอก็จำรสชาติหวานๆ เย็นๆ นี้จากปากเขาได้
เธอหยุดการกระทำทุกอย่าง ชายหนุ่มยังคงล็อกข้อมือเธอไว้ ถอนหายใจอยู่ที่ข้างริมฝีปากเธอ
เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นระรัว แต่ครั้งนี้ใจเต้นแรงเพราะเหตุผลที่ไม่เหมือนเดิม
“คุณนี่…”
เสียงเขาเบาแทบจะไม่ได้ยิน แต่ความโกรธของเขายังชัดเจนอยู่
“…ยายโง่”
ท้องฟ้ามืดสนิท เธอยังคงมองไม่เห็นเขา แต่ความอุ่นจากร่างกายและกลิ่นกายของเขาล้อมรอบตัวเธออยู่
ฝนยังคงตก แต่ค่อยๆ ตกเบาลง
เธอไม่กล้าขยับ แต่ยังดึงดันเตือนเขาไปว่า
“ที่ข้อมือฉันมีการติดตั้งระบบติดตามตัว”
“ผมรู้” เขาตอบแบบไม่ค่อยสบอารมณ์
“นี่เป็นระเบิดนะ” เธอบอกเสียงเบา
ความโกรธของเขาชัดเจนขึ้นในทันที จับมือเธอไว้แน่น ถ้าเธอสามารถมองเห็นเขาได้ วินาทีนี้เธอคงเห็นหน้าผากของเขามีเส้นเลือดนูนตึง
“ผมรู้ ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นมันระเบิด”
เขาพูดต่ออีกด้วยน้ำเสียงที่กัดฟัน เธอไม่รู้ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร สักครู่ถึงคิดขึ้นได้
“ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันไม่รู้ว่าเป็นคุณ”
เธอตั้งใจจะอธิบาย แต่ใครจะไปคิดว่ากลับทำให้เขาโกรธยิ่งขึ้น เธอจึงได้แต่เงียบ
เขากำลังควบคุมลมหายใจและความโกรธ เธอรู้สึกเหมือนกับได้ยินเสียงในใจเขากำลังบอกตัวเองให้สงบนิ่ง
เมื่อเขาสงบนิ่งลงได้แล้วเขาก็ปล่อยมือเธอ นั่งหลังตรง เธอก็นั่งกับเขาด้วย ได้ยินเสียงเขาล้วงอะไรสักอย่างออกมาแล้วเริ่มปลดผ้าที่พันข้อมือเธอไว้ เธอดึงมือกลับพร้อมพูดเสียงเบาว่า
“ถอดไม่ได้ มันจะระเบิด”
“ผมรู้”
เขาจับมือเธอไว้แน่น ยังคงปลดผ้าผืนนั้นออก จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าเขานำบางสิ่งสวมเข้าไปที่มือซ้ายของเธอ มันเหมือนกับกำไล แต่เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ มันคือนาฬิกาข้อมือเพราะเขาถอดนาฬิกาข้อมือเส้นเดิมของเธอออก
“อาเจิ้นให้มา ภายนอกเหมือนกับเรือนที่คุณเคยใส่ แต่เรือนนี้มีการส่งสัญญาณรบกวนอีกฝ่าย”
เธอพูดอย่างเชื่อมั่น “จะรบกวนสัญญาณได้ เพราะจะทำให้พวกนั้นสงสัยว่าฉันคือคนที่ถูกส่งเข้ามา”
“พวกมันจะเข้าใจว่าเป็นสัญญาณรบกวนจากฝนตกหนักหรือฟ้าผ่า”
น้ำเสียงที่เขาพูดนั้นแม้จะไม่ถึงกับเบาเหมือนเสียงยุง แต่ก็ยังเบามาก ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อของที่ถูเจิ้นทำออกมา หากแต่เขารู้ดีว่าในเกมเกมนี้จะต้องมีเครื่องสอดแนมอื่นๆ นอกจากกำไลนี่
“เจ้าของเกมนี้จะต้องรู้ว่าคุณอยู่ที่นี่” เธอเตือนเขา “พี่อู่บอกว่าพวกนั้นติดตั้งตัวจับความร้อน”
“นั่นเป็นวิธีสุดท้ายของพวกมัน ตอนนี้ยังอยู่ในเลเวลสอง พวกมันไม่ให้นักล่าจบเกมนี้ด้วยความรวดเร็วหรอก”
เขายังโกรธอยู่ เธอรู้สึกถึงความไม่พอใจของเขา มันทำให้เธออึดอัดใจ แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจจะอธิบายได้ เหมือนกับเป็นความรู้สึกตอนที่อยู่บนบ้านเรือนั่น
เธอคิดทบทวน แล้วก็คิดขึ้นได้ว่า…นี่คือความสบายใจ
เธอรู้สึกถึงความสบายใจ ทำให้เธอคลายความระมัดระวังตัวลงอย่างไม่รู้ตัว
เป็นเพราะเขาอยู่ที่นี่แล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเขาโมโหอะไรก็ตาม
“คุณโกรธอะไร”
“ผมไม่ได้โกรธ”
เขาโกรธ เขายังคงกัดฟันพูดอยู่ แต่เธอก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยปากถาม น้ำเสียงของเขาเหมือนจะบีบคอเธอให้ตายได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาพูดแบบนี้ ลูกค้าที่ยั่วโมโหเขาถูกเขาโยนจากดาดฟ้าเรือลงไปในแม่น้ำเทมส์
บางทีเขาอาจจะอยากโยนเธอลงจากต้นไม้ แต่เขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ เพียงแค่ดึงมีดสั้นที่เธอเสียบเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ออกมาเท่านั้น คืนให้กับเธอ หลังจากนั้นกระโดดหมุนตัวลงจากต้นไม้
เขาเคลื่อนไหวโดยไม่มีเสียง…เกือบจะไม่มีเสียง ท่ามกลางสายฝนไม่มีทางฟังออกว่าเขาอยู่ตรงไหน แต่เธอรู้ว่าเขาไปที่ไหน เขาลงไปเก็บปืนกระบอกนั้น
สักพักหนึ่งเขาก็กลับมาอย่างเงียบกริบ
เธอรู้ว่าเขามีฝีมือดี แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าผู้ชายคนนี้สามารถเงียบได้ขนาดนี้ เหมือนวิญญาณที่ลอยไปลอยมาไม่ต่างจากเธอ
มีแต่ไม่กี่คนที่สามารถเข้ามาถึงตัวเธออย่างเงียบกริบได้โดยที่เธอไม่รู้ตัว เธอแน่ใจว่าก่อนเธอจะขึ้นไปบนต้นไม้ ผู้ชายคนนี้ไม่ได้อยู่ที่นี่ นั่นแปลว่าเขามาทีหลัง ตอนที่เธออยู่บนต้นไม้นั้นไม่รู้ว่าเขาโหนตัวมาจากกิ่งไม้ต้นไหน ข้ามเขตการระวังภัยของเธอได้จนกระทั่งมาประชิดตัว
เมื่อเขากลับมาอยู่ตรงหน้า เธออดที่จะพูดไม่ได้
“คุณก็รู้ ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด”
เขายังคงนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าทำอะไรในความมืด
“ฉันไม่ได้ฆ่าคน”
วินาทีถัดมา ชายหนุ่มได้ยินเสียงสติสัมปชัญญะของตัวเองขาดผึง เขาไม่ควรจะระบายอารมณ์กับเธอตอนนี้ มันไม่ถูกจังหวะ สถานที่ก็ไม่ถูก แต่เขาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาจับคอเสื้อของเธอ กระชากเสียงด้วยความโมโห
“คุณคิดว่าทำไมผมถึงให้คุณอยู่ที่บ้านเรือ ถ้าผมต้องการผู้ช่วยบ้าๆ ที่โง่เง่ามุทะลุ ผมไปหาเอาตามข้างถนนหรือจ้างทางอินเตอร์เน็ตก็ได้ ผมให้คุณอยู่ด้วยก็เพราะถึงผมจะไม่ได้ใส่ใจคุณ คุณก็ดูแลตัวเองได้! ปกป้องตัวเองได้! แล้วผลเป็นไง คุณทำอะไร ไอ้สารเลวหานอู่ฉีพูดกับคุณแค่สองสามประโยค คุณก็ทั้งโง่ทั้งบ้าที่วิ่งมาที่นี่ถวายชีวิตให้เขา คุณควรจะรู้จักปกป้องตัวเอง ต่อให้ต้องฆ่าคนวางเพลิง คุณก็ต้องรู้จักปกป้องชีวิตของตัวเองไว้ ไม่ใช่เข้ามาเล่นในเกมปลดปล่อยชีวิตกับพวกฆาตกรฆ่าคนที่ไร้มนุษยธรรม! คุณนี่มันโง่ขนาดไหนนะ ถึงได้คิดว่าแค่หมัดกับยาสลบก็จะสามารถรับมือกับพวกฆาตกรเลือดเย็นพวกนั้นได้ สามารถต่อกรกับความวิปริตของเกมนี้ ช่วยเหลือเหยื่อจากใต้จมูกของพวกมัน คุณคิดว่าคุณเก่งนักเหรอ มีความสามารถมาก? คุณก็เป็นเพียงแค่หมากตัวหนึ่งในมือหานอู่ฉีเท่านั้น เหมือนกับนักล่าที่เป็นหมากในเกมวิปริตนี้!”
เธอตกใจในความเกี้ยวกราดของเขา นิ่งงันไปอย่างไม่รู้ตัว
แม้จะรู้ว่าเขาโกรธมาก แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะโกรธเรื่องที่เธอมาช่วยคนที่นี่ แล้วยังด่าว่าเธอมากมายอีกนี่สิ
เธอไม่เข้าใจ เธอทำเรื่องดีๆ ทำเรื่องที่ถูกต้อง เธอปกป้องชีวิตของคนพวกนั้น เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเขาโกรธที่เธอทำเรื่องพวกนี้ได้เรียบร้อย
“ฉันดูแลตัวเองได้”
เธอถลึงตามองเขา “ฉันไม่ได้โง่ ถ้ายาสลบกับหมัดไม่มีประโยชน์ ฉันก็จะทำเรื่องที่ฉันควรทำ นั่นเพราะฉันสามารถทำได้ ดังนั้นฉันจึงอยู่ที่นี่ พี่อู่รู้ว่าฉันทำได้ คุณก็รู้ว่าฉันทำได้ แล้วฉันก็ทำได้จริงๆ ฉันช่วยคนพวกนั้น ฉันรวบรวมข้อมูลได้มาก ฉันปกป้องดูแลตัวเอง…”
“งั้นหรือ แล้วทำไมที่ข้อมือเธอถึงมีระเบิดได้ล่ะ”
น้ำเสียงประชดของเขาเสียดแทงเข้าไปในประสาทของเธอ อารมณ์ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกปะทุขึ้นมา มันอัดแน่นอยู่ในอก เธอกระโดดลงจากต้นไม้แล้วเดินจากไป