Jamsai
ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 2
บทที่ 2
กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
ชายหนุ่มยืนอยู่กับเพื่อนร่วมงานบนถนน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเขาเห็นสายไหมก้อนโตทั้งขาวทั้งอ้วนกลมเดินกลับไปกลับมาอยู่บนทางเท้า
สายไหมเดี๋ยวก็เดินไปเดี๋ยวก็เดินมาด้วยการก้าวเท้าสั้นๆ บางครั้งก็ยืนอยู่กับที่ก้มมองโทรศัพท์เป็นระยะ เขาเดาว่าคงกำลังเปิดแผนที่ เมื่อก้อนสายไหมเดินไปเดินมาได้เจ็ดรอบครบสองร้อยเมตร เขาก็แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเจ้าสายไหมต้องกำลังหลงทางอยู่แน่นอน
เธอเป็นชาวต่างชาติ สวมเสื้อฟลีซสีขาวคลุมทั้งตัว ที่เขาสังเกตเห็นเธอเป็นเพราะว่าเสื้อฟลีซตัวนั้นตัดเย็บแตกต่างจากเสื้อฟลีซแบบบางเบาที่กำลังนิยมในเวลานี้ มันทั้งขาวทั้งตัวใหญ่ ทำให้ผู้หญิงที่สวมใส่มันดูราวกับก้อนสายไหมทรงกลมสีขาวก้อนหนึ่งที่เสียบอยู่บนไม้ซี่บางสีไวน์แดงสองแท่ง
เวลาที่สายไหมขาวหยุดเดิน ไม้เสียบสีไวน์แดงก็จะชิดกันเป็นไม้เดียว เมื่อมองจากจุดที่เขาอยู่ สายไหมก็จะดูเหมือนลูกชิ้น…เอ บางทีอาจจะเป็นขนมไดฟุกุ
นั่นทำให้เธอที่อยู่ท่ามกลางเสื้อนอกสีเทาเข้ม สีน้ำเงินเข้ม สีดำ สีน้ำตาลบนท้องถนนดูเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ
เมื่อความคิดนั้นผ่านเข้ามา เขาก็เห็นขนมไดฟุกุถูกร้านขายหนังสือมือสองข้างทางดึงดูดไปเสียแล้ว
เขามองดูขนมไดฟุกุที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงยืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูร้าน ปากของเธออ้าค้างขณะเงยหน้ามองสำรวจสิ่งก่อสร้างไม้หลังเก่าใกล้พังทลายที่ขนาบข้างด้วยอาคารสูงสะอาดเอี่ยมอ่อง
แม้ว่ามันจะตั้งอยู่ตรงนั้นมากว่าร้อยปีแล้ว แต่เธอทำราวกับเพิ่งจะเห็นมัน
ทางเดินในร้านหนังสือมือสองนั้นแคบ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหนังสือที่วางเรียงรายตั้งแต่บนพื้นไปจนถึงเพดาน ซ้ำยังดูเหมือนพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ เพราะเธอใส่เสื้อขาวตัวนั้นทำให้แทรกเข้าไปไม่ได้ตั้งแต่แรก เธอเองก็แจ้งแก่ใจดีในข้อนี้จึงไม่ได้เดินเข้าไป แต่เธอก็ยังอดยื่นมือออกไปหยิบหนังสือเก่าที่วางกองอยู่ที่ปากทางเข้าร้านขึ้นมาพลิกดูไม่ได้ แล้วก็หยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมาอ่าน
เขานึกว่าตัวเองเข้าใจผิดไปว่าเธอหลงทาง จึงหันไปทำธุระกับเพื่อนร่วมงานต่อ สองชั่วโมงถัดมา เมื่อเขาผ่านมายังถนนเส้นนี้อีกครั้งก็เห็นเธอยังอยู่ที่เดิมตรงหน้าร้านหนังสือมือสองที่ใกล้จะพังทลาย ราวกับว่ามีใครบางคนตรึงเธอไว้ตรงทางเดินหน้าประตู
เมื่อขนมไดฟุกุสีขาวขนาดใหญ่ถูกตรึงไว้ข้างทางแบบนี้ ย่อมเป็นที่สังเกตได้ง่าย
เธอคนนี้ไปหาเสื้อฟลีซที่ทั้งหนาฟูและตัวใหญ่ขนาดนี้มาจากไหนกันนะ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง แต่เหมือนเธอจะไม่รับรู้ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจดจ่อกับหนังสือเก่าในมือ อุณหภูมิก็ลดลงตามท้องฟ้าที่มืดขึ้นเรื่อยๆ เขาเห็นลมหายใจที่กลายเป็นไอสีขาวของเธอ สองข้างแก้มแดงระเรื่อ ลมหนาวบาดผิวพัดเอาผมเผ้าที่เดิมทีก็ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบนักให้ยุ่งเหยิงยิ่งขึ้น
โทรศัพท์เธอดังขึ้น แต่เธอไม่รับสาย เขาเดาว่าเธอคงไม่ได้ยิน
บนถนนมีคนเดินไปมา พอมองเห็นขนมไดฟุกุสีขาวโดยบังเอิญก็อาจมีสะดุ้งตกใจบ้าง แต่คนส่วนใหญ่มักเร่งเดินต่อไป ตัวเขาเองก็น่าจะทำเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าเขารู้จักกับขนมไดฟุกุนี้ เขาจำหน้าเธอได้ จำได้แม้กระทั่งชื่อของเธอ เขาเพิ่งเจอกับเธอที่กรุงแบกแดดเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ต่อมาเธอเริ่มจามเสียงเบา แล้วก็จามอีกครั้ง
พอรู้ตัวอีกทีเขาก็เดินมายืนอยู่ข้างๆ เธอแล้ว
เขานึกว่าเธอจะรู้ตัว คนแปลกหน้ามายืนข้างๆ เธอทั้งคน แถมยังเป็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งด้วย
เขารอให้เธอรับรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา แต่ขนมไดฟุกุกลับไม่รับรู้เลยแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะรับรู้ว่าไฟข้างทางค่อยๆ สว่างขึ้นแทนท้องฟ้าที่มืดแล้ว
หนังสืออะไรกันนะที่ทำให้เธอจดจ่อได้นานขนาดนี้
เขาก้มอ่านเนื้อหาในหนังสือที่เธอถือ
นั่นเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเก่าๆ ที่ใช้แบบอักษรที่พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ใช่แบบที่ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ในยุคหลัง ในหน้ากระดาษที่มีตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงรายบางตอนแทรกด้วยภาพประกอบสีขาวดำ
เขามองดูด้านบนของหน้าหนังสือ ริมสุดของหน้าซ้ายมือมีเลขหน้ากำกับอยู่ ตามด้วยตัวอักษรตัวหนาภาษาอังกฤษเขียนว่า TRAVELS IN AFRICA ถัดเข้ามาขอบในมีตัวเลข 1850 ส่วนด้านบนของหน้าขวามือ ขอบในมีตัวอักษร May 8 อักษรตรงกลางหน้ากระดาษเปลี่ยนไปตามเนื้อหาของแต่ละหน้า ริมสุดของหน้ากำกับด้วยเลขหน้าเช่นเดียวกัน
เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่านี่เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางในแอฟริกา 1850 คือปี May 8 คือวันที่แปดเดือนพฤษภาคม สองข้างของปีและวันที่ครอบด้วยเครื่องหมายวงเล็บ
เธออ่านอย่างออกรสออกชาติราวกับท่ามกลางตัวอักษรที่เบียดเสียดกันเหล่านั้นมีสมบัติล้ำค่าสะท้านโลกก็ไม่ปาน
แล้วเธอก็จามเบาๆ ออกมาอีกครั้ง
ลมหนาวพัดผมเธอชี้ฟู แม้เธอจะห่อหุ้มร่างกายจนดูเหมือนกับขนมไดฟุกุ แต่เขาแน่ใจว่าถ้าขืนตากลมต่อไปแบบนี้ เธอจะต้องเป็นหวัดแน่นอน
ใครๆ ก็รู้ว่าควรจะสวมหมวกในสภาพอากาศแบบนี้ เสื้อฟลีซสีขาวของเธอก็มีหมวกห้อยอยู่ด้านหลังศีรษะ แต่เธอกลับไม่ดึงมันขึ้นมาคลุม
เมื่อลมหนาวพัดมาอีกรอบ เขาก็อดคันไม้คันมือไม่ได้ สุดท้ายก็ยื่นมือไปดึงหมวกที่ห้อยอยู่ด้านหลังขึ้นมาสวมบนศีรษะเล็กๆ ของเธอ
เธอน่าจะสังเกตเห็นเขาได้แล้วมั้ง?
แต่ก็ไม่
ไม่เลยสักนิด!
ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ เขาก็อยากจะใช้มือใหญ่จับศีรษะเล็กๆ ของเธอมาเขย่าแล้วตะโกนใส่ข้างหู
รู้สึกตัวซะที! เจ้าไดฟุกุบื้อ! โลกจะแตกแล้ว!
ความคิดนี้ทำให้เขาขำพรืดออกมาจนไหล่ทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด
แต่ยายบื้อข้างๆ เขาก็ยังไม่รู้สึกตัวอยู่ดี…อย่างไรเขาก็แค่คิดเท่านั้น ไม่ได้จะทำขึ้นมาจริงๆ
เขายังคงยืนอยู่ข้างเธอ เริ่มกวาดตามองข้าวของในร้านหนังสือมือสอง
ที่น่าประหลาดคือนอกจากหนังสือแล้ว บนชั้นวางหนังสือภายในร้านแห่งนี้ยังมีของชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรงนกไม้ไผ่ญี่ปุ่นแบบเก่า ด้านหลังยังมีตุ๊กตากระต่ายขาวทำจากกระเบื้องสูงประมาณยี่สิบกว่าเซนติเมตรอยู่ตัวหนึ่ง
เขาชอบกระต่ายขาวตัวนั้น ดูแล้วมีส่วนคล้ายกับขนมไดฟุกุข้างๆ เขา ทั้งใหญ่ทั้งขาวทั้งทื่อทั้งอวบอ้วน ดูแล้วน่ากิน
ทันใดนั้นเขารู้สึกถึงสายตาที่มองมา เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นเจ้าของร้านหนังสือมือสองกำลังมองมาที่เขา แววตาบอกความจนปัญญา
อีกฝ่ายอยากจะปิดร้านแล้ว เพียงแต่เจ้าไดฟุกุบื้อดันวิญญาณหลุดลอยไปไกลถึงแผ่นดินแอฟริกา
เขาฉีกยิ้ม ชูมือพูดกับเจ้าของร้านเป็นภาษาญี่ปุ่น
“เถ้าแก่ ขอโทษนะครับ คิดเงินด้วย”
ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็มีท่าทีกระตือรือร้น พุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว
“ผมขอกระต่ายสีขาวตัวนั้นกับหนังสือในมือของคุณผู้หญิงคนนี้” พูดพลางดึงหนังสือในมือเธอส่งให้เจ้าของร้าน
เจ้าไดฟุกุบื้อได้สติในที่สุด “อ๊ะ คุณ…”
พอเห็นเขา สองตาของเธอก็เบิกกว้าง สูดหายใจเฮือก
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“จ่ายเงิน” เขามองเธอยิ้มๆ เห็นจากหางตาว่าเจ้าของร้านกำลังห่อหนังสือและกระต่ายขาวใส่ถุงให้เรียบร้อยด้วยความเร็วสูง
“หนังสือเล่มนั้นฉัน…ฉันจะเอา…ฮะ…ฮะ…ฮัดเช้ย!” เธอหน้าแดง เถียงยังไม่ทันจบก็จามเสียงดังออกมาหนึ่งที
เขาดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้ตอนที่เธอกำลังจะจาม เธอคว้ามาปิดปากและจมูกได้ทันเวลาพอดี ทำให้น้ำมูกน้ำลายไม่กระเด็นมาถูกหน้าเขา
เขามองหญิงสาวตรงหน้าที่ทั้งเขินทั้งอายด้วยความขบขันพลางเอ่ยว่า “ผมรู้ ผมไม่ได้อยากจะแย่งคุณ แต่คนเขาจะปิดร้านแล้ว คุณมายืนอ่านฟรีตั้งสองชั่วโมง ซื้อกลับไปอ่านต่อดีกว่า”
“สองชั่วโมง? ฉันไม่ได้…โอย บ้าจริง!”