ภาพเปลวเพลิงปรากฏขึ้น ดวงตาอ่อนโยนของหญิงสาวผมดำ ดวงหน้าที่เปียกชื้นน้ำตา กระท่อมหลังเล็กในป่า การทรยศของคนในหมู่บ้าน นักบวช การมาถึงของอัศวิน ผู้หญิงคนนั้นเอาตัวเด็กหญิงไปซ่อนไว้ นางถูกโยนลงไปในทะเลสาบ ถูกไฟแผดเผา…
นางสลัดภาพเหล่านั้นทิ้งไป ขึงตามองเด็กหญิงที่น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้าและพูดอย่างฉุนเฉียว
“นางตายแล้ว ต่อให้เจ้าฟื้นฟูร่างนี้ขึ้นมาใหม่ นางก็ไม่มีทางลืมตาตื่นขึ้นมา ต่อให้ตื่นขึ้นมา นั่นก็ไม่ใช่มารดาของเจ้า นางจะไม่โอบกอดเจ้า ไม่คุยกับเจ้า ไม่ยิ้มให้เจ้า ไม่บอกว่านางรักเจ้าอีก…”
เด็กหญิงเบิกตาโตจ้องนางอย่างโกรธแค้นและตื่นตระหนก วินาทีต่อมาเด็กน้อยก็เริ่มดิ้นรน พยายามจะผลักนางออก
หญิงสาวไม่ปล่อยมือ แต่คว้ามือทั้งสองของเด็กน้อยเอาไว้แน่นและโน้มตัวลงจ้องอีกฝ่ายอย่างโมโห “นางจะเป็นเพียงเปลือกที่ไร้วิญญาณ รอวิญญาณร้ายมาครอบงำ หรือไม่ก็หิวตายเท่านั้น! เจ้ารู้เรื่องนี้ มารดาเจ้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าจะทำแบบนี้ไม่ได้ จะช่วยสิ่งที่ตายไปแล้วไม่ได้! นางตายแล้ว! เจ้าเข้าใจหรือไม่ ไม่อาจช่วยได้แล้ว! เจ้าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้! ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้! เจ้าทำแบบนี้ไม่เพียงช่วยนางไม่ได้ ยังจะทำร้ายตัวเองอีก!”
นางพูดได้ครึ่งเดียวใบหน้าของเด็กหญิงก็เต็มไปด้วยน้ำตา ความเจ็บปวดไม่สิ้นสุดโถมเข้าใส่ นางเห็นเด็กน้อยอ้าปากหอบหายใจ อดทนกับความเจ็บ แต่สุดท้ายก็สะกดกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่และอ้าปากกว้างร้องไห้โฮออกมา
ความเจ็บปวดโถมทะลัก
นางปล่อยมือทันที มองเด็กคนนั้นคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายอยู่บนพื้น ขาขวาของเด็กหญิงยังคงมีตุ่มน้ำ ตุ่มน้ำเหล่านั้นแผ่ลามไปบนน่อง แผลไฟลวกทำให้เด็กน้อยมิอาจทรงตัวอยู่ได้ แต่นางรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ร้องไห้เพราะความเจ็บปวดทางร่างกาย
เด็กคนนี้เพิ่งจะตระหนักว่าตัวเองสูญเสียคนที่รักที่สุดไปแล้ว ต่อให้แลกด้วยทุกอย่างมารดาของนางก็ไม่กลับมา
ลมพัดก้อนเมฆมารวมตัวกัน ราวกับสวรรค์ต้องการแสดงความเสียใจไปกับเด็กหญิงด้วย ฝนจึงกระหน่ำเทลงมา
หญิงสาวยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน มองเด็กหญิงคุกเข่าร้องไห้โฮอยู่ท่ามกลางเถ้าถ่าน วินาทีนี้นางเหมือนเห็นเด็กหญิงอีกคนคุกเข่าอยู่บนผืนดินที่ไหม้เกรียมอีกแห่งและร้องไห้ฟูมฟาย
ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก เด็กหญิงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศกไม่หยุด นางเองก็ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา
ไกลออกไป เสียงฟ้าร้องดังครืนคราน สายฟ้าผ่าลงมาบนผืนฟ้าราตรีเป็นระยะ ลมพายุพัดหวีดหวิวไม่หยุด สายลมแรงพัดกระหน่ำใส่ป่าทึบ ทำให้ทะเลสาบที่เดิมเรียบสงบเกิดคลื่นลูกใหญ่
นางไม่ขยับไปไหน ไม่ได้แหงนหน้ามอง เอาแต่ยืนหลุบตามองเด็กคนนั้น
ฝนตกอยู่ตลอด เด็กหญิงก็ร้องไห้อยู่ตลอด แผดเสียงร้องออกมาอย่างเต็มที่
หลังจากนั้นไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดเด็กน้อยก็เหนื่อยและหยุดร้อง เสียงร้องไห้โฮแปรเปลี่ยนเป็นเสียงสะอึกสะอื้น
ลมฝนค่อยๆ สงบลงเช่นกัน
พอฟ้าสาง ลมฝนหยุดแล้ว ร่างกายนางเปียกปอน เด็กผู้หญิงก็เช่นกัน
เสื้อผ้าและเรือนผมของทั้งสองยังคงมีน้ำหยด เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากทะเลสาบอย่างไรอย่างนั้น
ภายใต้แสงแห่งรุ่งอรุณ นางเห็นว่าตุ่มน้ำบนขาขวาของเด็กหญิงหายไปแล้ว แต่ยังหลงเหลือรอยแผลไฟไหม้อยู่เล็กน้อย
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดเด็กหญิงก็เงยหน้าอย่างขลาดกลัว เบิกดวงตาบวมแดงมองนางอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้เดียงสา