วันนั้นเมื่อห้าปีก่อนหลังเชิญหมอมาตรวจดูแล้ว นางถือใบสั่งยาที่หมอเขียนให้ไปเจียดยาที่ร้านขายยา นำกลับมาต้มให้ป้าชุ่ยดื่ม อาการของป้าชุ่ยค่อยๆ ดีขึ้น แต่นางกลับไม่รู้สึกผ่อนคลายลง
นางแบ่งเงินที่เหลือออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเก็บไว้ ที่เหลือนางในชุดบุรุษเอาไปซื้อหูกทอผ้าจำนวนหนึ่งและนำไปให้ครอบครัวชาวนาในชนบทที่ยากจน ขอให้หญิงชาวนาใช้ช่วงเวลาที่ว่างจากการทำนาทอผ้าให้นาง
เรื่องการรับซื้อผ้าจากหญิงชนบทไม่ได้มีนางทำอยู่คนเดียว ที่ผ่านมาพ่อค้าในเมืองจะรับซื้อผ้าจากหญิงชนบทแถบชานเมืองที่ไม่ไกลออกไปเป็นประจำ แต่ที่บ้านของสตรีเหล่านั้นมีหูกทอผ้าอยู่แล้ว
ที่นางเห็นเป็นครอบครัวที่ยากจนกว่านั้น ไม่มีปัญญาแม้กระทั่งจะซื้อหูกทอผ้าด้วยซ้ำไป
นางให้พวกเขาเช่าหูกทอผ้า ทั้งยังมอบฝ้ายให้ ค่าเช่าหูกทอผ้าและค่าฝ้ายให้จ่ายเป็นผ้าที่ทอเสร็จแล้ว หากเจอหญิงชนบทที่ทอผ้าไม่เป็น นางจะขอให้ป้าชุ่ยไปสอนพวกเขาถึงที่บ้านจนเป็นทีละคน
ป้าชุ่ยบ่นก็จริง แต่ก็รู้ว่าปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่หนทางแก้ปัญหา สุดท้ายจึงรับปากช่วย
ป้าชุ่ยพยายามเลี้ยงดูนางเหมือนคุณหนู ทว่านอกจากรู้หนังสืออ่านตำราได้แล้ว เพลงพิณ หมากล้อม อักษร ภาพวาดนางไม่เจนจัดสักอย่าง การทอผ้าปักลายยิ่งไม่ใช่ทักษะที่นางเชี่ยวชาญ แต่ป้าชุ่ยรู้วิธีเย็บปัก ทั้งยังเชี่ยวชาญมาก ตั้งแต่เล็กจนโต เสื้อผ้ากว่าครึ่งที่นางสวมใส่ล้วนมาจากฝีมือของป้าชุ่ย
นางไม่รู้เรื่องการทอผ้า แต่นางรู้หนังสือ ท่านแม่ทิ้งหนังสือไว้ให้นางหลายตู้และนางก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากในหนังสือเหล่านั้น
นางพูดกับหญิงชนบทพวกนั้นจนปากแทบฉีก กว่าจะทำให้พวกนางเชื่อว่านางไม่ใช่พวกต้มตุ๋น แน่นอนว่าฝ้ายกับหูกทอผ้าช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้นางได้ไม่น้อย
ช่วงนั้นนางวิ่งวุ่นไปมาจนขาแทบหัก น่าจะตอนนั้นเองที่นางรู้สึกโชคดีที่ตัวเองมีเท้าธรรมชาติ ไม่ถูกรัดจนเท้าเล็ก จึงสามารถเทียวไปเทียวมาได้เช่นนี้
ตอนแรกเรื่องราวดำเนินไปอย่างราบรื่น นางทำงานยุ่งจนหัวหมุน แต่แล้วสถานการณ์ก็กลับแย่ลง
ปีนั้นหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ไม่ถึงหนึ่งเดือนนางก็รับซื้อผ้ามาสิบสี่พับ นางสวมเสื้อผ้าบุรุษ ปลอมตัวเป็นชายไปทำการค้าในเมือง แต่กลับขายผ้าไม่ออกสักพับ
ผู้คนไม่รับซื้อผ้าจากนาง ไม่ว่าจะกดราคาให้ถูกเพียงใด นางพูดจนปากแทบฉีก ตระเวนไปทั่วร้านขายแพรพรรณ โรงย้อม ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป แม้กระทั่งร้านขายเสื้อผ้าเก่า แต่กลับไม่มีร้านค้าใดยอมซื้อผ้าจากนางเลย
‘ไม่ได้ๆ…’
‘ไม่เอาๆ…’
‘ข้าไม่ต้องการ เจ้าออกไปเถอะ รีบออกไปซะ…’
ตอนที่นางหิ้วห่อสัมภาระหนักอึ้งและถูกไล่ออกมาจากร้านขายเสื้อผ้าอีกครั้ง หิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่มีคนรับซื้อผ้าจากนาง วูบหนึ่งยังสงสัยว่าหรือผู้คนดูออกว่านางเป็นหญิง หญิงที่ฐานะทางบ้านไม่ดีถึงได้ออกมาปรากฏโฉมข้างนอก แต่ในสถานการณ์ที่ต้องสวมชุดบุรุษตะลอนอยู่ข้างนอกหลายเดือน สองมือของนางหยาบกร้านเพราะการขนของ สองเท้าถลอกครั้งแล้วครั้งเล่าจนหนังด้าน นางถึงขั้นเลียนแบบท่าเดินส่ายอาดๆ แบบบุรุษ เลียนแบบการเปล่งเสียงพูดออกมาอย่างทรงพลังได้ กระทั่งตัวเองเห็นเงาสะท้อนบนผืนน้ำยังแทบจำตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วผู้อื่นจะคิดว่านางเป็นสตรีได้อย่างไร
นางไม่ยอมล้มเลิกความพยายาม แต่กลับรู้ว่าตัวเองอาจต้องขาดทุนย่อยยับ
นางยังคิดว่านี่เป็นหนทางที่สามารถทำมาหากินได้
สตรีไม่อาจออกไปทำการค้าข้างนอก แต่นางแค่รับผ้าและนำไปขายต่อให้พ่อค้า ไม่ได้เปิดร้านขายของ เหตุใดเช่นนี้ก็ยังไม่ได้ หรือว่าสุดท้ายแล้วนางก็ได้แต่พึ่งเศษเงินจากนายท่านและหญิงผู้นั้น ต้องใช้ชีวิตโดยดูสีหน้าพวกเขาไปตลอดชีวิต
ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมหนาวเหน็บ นางทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย ความรู้สึกไม่ยอมแพ้ผุดออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ
นางมีสินค้า แต่กลับขายไม่ออก