คู่อุ่นไอร่ายรัก
ทดลองอ่านคู่อุ่นไอร่ายรัก บทที่หนึ่ง
เมืองซูโจวไม่ใช่เมืองเล็ก มีผู้คนมากมาย หญิงสาวสกุลใหญ่ไม่ก้าวเท้าออกจากบ้าน ไม่ปรากฏกายข้างนอก ประกอบกับนางสวมเสื้อผ้าบุรุษและรวบผม ทั้งยังมีเท้าธรรมชาติและสวมรองเท้าผ้าแบบบุรุษ นางไม่คิดว่าจะมีใครจำได้จริงๆ ว่านางเป็นใคร
นางใคร่ครวญมาดีแล้ว รู้ดีว่าต้องเอาลูกปัดหยกนี้ไปจำนำถึงจะมีเงินเชิญหมอมารักษา ที่สำคัญกว่านั้นคือนางต้องการเงินก้อนนี้ นอกจากเชิญหมอมารักษาป้าชุ่ยแล้ว นางยังมีความคิดอื่น
คฤหาสน์สกุลเวินส่งเงินมาให้ทุกเดือน แต่เงินจำนวนนั้นไม่มากนัก แค่พอใช้เท่านั้น หญิงผู้นั้นไม่เคยให้พวกนางมีเงินเหลือ หลายปีมานี้เงินที่ส่งมาจากคฤหาสน์ลดน้อยลงทุกปี
ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป หากนายท่านเป็นอะไรไป หญิงผู้นั้นต้องหยุดส่งเงินมาให้พวกนางแน่
ป้าชุ่ยเป็นคนที่ติดตามท่านแม่มาจากทางเหนือตอนท่านแม่ออกเรือน นอกจากงานเย็บปักแล้ว ยังรู้หนังสือและโคลงกลอน สอนนางอ่านเขียนตั้งแต่เล็ก ป้าชุ่ยพยายามเลี้ยงดูนางอย่างคุณหนู แต่ในบ้านหลังเล็กนอกเมืองแห่งนี้ แรกเริ่มยังมีสาวใช้คอยช่วยงานหลายคน ทว่าพอวันเวลาผ่านพ้นไป สาวใช้ที่คล่องแคล่วเหล่านั้นก็ถูกดึงตัวไป นอกจากป้าชุ่ยกับนาง ที่นี่ก็เหลือเพียงลุงชิวบ่าวชราเฝ้าประตูที่คอยช่วยกวาดลานบ้านให้เท่านั้น
ลุงชิวแก่แล้วก็จริง แต่นิสัยดีทีเดียว เห็นนางไม่ได้รับความรักจากบิดา รู้สึกว่านางน่าสงสาร จึงมักเล่าเรื่องในอดีตที่ตนออกจากบ้านไปทำการค้ากับนายท่านให้นางฟังอยู่เสมอ
นายท่านของลุงชิวไม่ใช่นายท่านในตอนนี้ แต่เป็นนายท่านของนายท่าน เป็นปู่ของนาง
นายท่านคนนั้นเป็นพ่อค้าที่สร้างตัวด้วยมือเปล่า เส้นทางที่เดินผ่านมาพบเจออุปสรรคมากมาย แต่กลับสามารถผ่านความยากลำบากมาได้ทุกครั้ง นางฟังเรื่องราวสนุกๆ เกี่ยวกับการค้าขายมาจากลุงชิวตั้งแต่เล็ก เดิมทีฟังเป็นนิทานเท่านั้น นางเป็นสตรี ในสังคมที่สตรีไม่อาจออกไปไหนได้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะออกไปทำการค้าข้างนอก
แต่นานวันเข้า เรื่องนี้ก็ยังติดอยู่ในใจนาง
ลุงชิวแก่แล้ว ทำอะไรมากไม่ได้ นายท่านกับหญิงผู้นั้นเห็นเขาแล้วรำคาญตาจึงส่งมาอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้
ภายหลังมีญาติผู้น้องห่างๆ ที่สายตาไม่ดีนามอวิ๋นเซียงมาอยู่ด้วย เป็นญาติที่ห่างจนไม่รู้จะห่างอย่างไรของนายท่าน พ่อแม่ตายแล้วจึงมาขอพึ่งพาอาศัย แม้จะเป็นญาติห่างๆ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นญาติ หญิงผู้นั้นเกรงว่าจะถูกผู้คนครหา ขับไล่ไม่ได้ ทว่าก็ไม่อยากเก็บนางไว้ จึงส่งมาที่นี่
ต่อจากนั้นเป็นลู่อี้คนขับรถที่ขาเป๋ข้างหนึ่ง เขามีลาแก่กับรถเทียมลา ถูกหญิงผู้นั้นส่งมาอยู่ที่นี่เช่นกัน
ลู่อี้เงียบผิดปกติ แม้จะทำงานได้ แต่ถามอะไรเขา เขาก็มักไม่ค่อยตอบ
พูดให้น่าฟังคือหญิงผู้นั้นมอบรถให้นางหนึ่งคัน พูดตรงๆ คือเห็นลู่อี้แล้วรำคาญตา ขาพิการขนของหนักไม่ได้ ท่าทางไม่น่ามอง ทั้งยังพูดจาไม่เป็น จึงตัดสินใจส่งเขามาที่นี่
แม้จะมีคนเพิ่มขึ้นหลายคน แต่หญิงผู้นั้นกลับไม่ได้เพิ่มเบี้ยรายเดือนให้นางเลยสักนิด ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่บ้านพักแห่งนี้ใกล้จะไปไม่รอดเต็มที นางรู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาป้าชุ่ยทำงานเย็บปักและให้สาวใช้แอบนำไปขายให้เหล่าสตรี พวกนางถึงได้มีกินมีใช้
เรื่องนี้นางคิดมานานแล้ว หาใช่แค่วันสองวันนี้ แม้ป้าชุ่ยจะปิดบังไม่ให้นางรู้ แต่นางกินใช้อยู่ทุกวัน บางครั้งเวลาไปคฤหาสน์ เห็นข้ารับใช้พวกนั้นและสายตาดูแคลนของพวกเขา เห็นสาวใช้พวกนั้นแต่งกายดีกว่าตนเสียอีก ย่อมมองออกว่าผู้อื่นกำลังดูถูกตน
คุณหนูสกุลเวินไม่ได้มีนางคนเดียว
ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงฉวยโอกาสครั้งหนึ่งบอกให้ลุงชิวซื้อรองเท้าบุรุษกับหมวกใบเล็กที่ขายอยู่ริมถนนเตรียมไว้ อ้างว่าจะเอาไว้ใช้ศึกษาเวลาวาดภาพ
เพียงแต่ก่อนหน้านี้นางยังมีความลังเล ขนบธรรมเนียมของยุคสมัยนี้ไม่นิยมให้สตรีออกไปปรากฏกายข้างนอก แต่ในงานวัดหลายครั้งนางเคยเห็นสตรีออกมาทำมาค้าขาย หาเลี้ยงครอบครัว แม้สตรีเหล่านั้นจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ลับหลัง แต่นางรู้ว่านั่นเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของคนที่บ้านได้
นางไม่อาจและไม่มีทางนั่งกลุ้มใจอยู่ในบ้านเฉยๆ
นางเคยคิดจะให้ลู่อี้ออกไปทำงานตามที่นางสั่ง แต่ลู่อี้ไม่เพียงขาเป๋ ยังเงียบจนชวนให้สงสัยว่าเขาเป็นใบ้หรือไม่ ไม่เหมาะที่จะค้าขายเลยจริงๆ
การป่วยของป้าชุ่ยแค่ทำให้นางตัดสินใจได้เท่านั้นเอง
นางจะใช้เงินที่แลกมาได้เริ่มต้นกิจการเล็กๆ
โรงจำนำฝั่งตรงข้ามมีความเคลื่อนไหวแล้ว นางดึงความคิดกลับมา ครั้นเห็นว่าประตูโรงจำนำเปิดออก หัวใจก็หดเกร็งขึ้นมาทันใด นางสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้าเลิกม่านเดินเข้าไปในโรงจำนำ นางกดเสียงเบาเอ่ยปากขณะนำลูกปัดหยกเส้นนั้นออกมาจำนำ คิดแต่จะรีบแลกเงินเพื่อเอาไปเชิญหมอมารักษาป้าชุ่ย
เฉาเฟิ่ง* ที่ประเมินราคาอยู่หลังโต๊ะเหลือบมองนางหลายที ก่อนจะแจ้งราคากับนาง ป้าชุ่ยบอกนางหลายครั้งว่าลูกปัดหยกเส้นนี้มีมูลค่าพอที่จะซื้อบ้านทางทิศตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นเขตรุ่งเรืองได้หลังหนึ่ง แต่นางไม่ได้ต่อรองราคากับเฉาเฟิ่ง คนที่มาโรงจำนำล้วนขาดแคลนเงิน ร้านใดบ้างที่จะไม่ถือโอกาสกอบโกยกำไร
รับใบจำนำของกับเงินมาแล้ว นางก็ยัดมันลงในถุงใส่เงิน หมุนตัวเดินออกมาอย่างเร่งรีบไปบนถนนเพื่อหาหมอ
นางก้าวฉับๆ เข้าไปในตรอกเล็กฝั่งตรงข้าม คิดจะใช้ทางลัด คิดไม่ถึงว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เงาดำสายหนึ่งจะพุ่งชนนางจากข้างหลัง
นางถูกชนจนล้มลงกับพื้น รู้ตัวแทบจะในทันทีว่าอีกฝ่ายพยายามจะแย่งถุงใส่เงินที่นางกำไว้ในมือแน่น
เนื่องจากตกใจเกินไป นางจึงลืมไปว่าต้องร้องให้คนช่วย เอาแต่กำถุงไว้แน่น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ
ท่ามกลางความวุ่นวาย นางถูกต่อยทีหนึ่ง ก่อนจะรู้สึกว่าหมวกบนศีรษะร่วงหลุด ผมยาวแผ่สยาย อีกฝ่ายทั้งดึงทั้งกระชาก แต่นางยังคงไม่ปล่อยมือ โจรผู้นั้นโมโหจึงยกเท้าขึ้นหมายจะถีบนาง
จังหวะนี้เองไม่รู้หนังสือเล่มหนึ่งบินมาจากที่ใด กระแทกใส่ศีรษะของคนผู้นั้นเข้าพอดี
คนผู้นั้นร้องเสียงหลง คลายมือและหงายล้มไปข้างหลัง นางรีบคว้าถุงใส่เงินถอยไป มองคนผู้นั้นลุกขึ้นมา เขามีสีหน้าดุดันและทำท่าจะกระโจนเข้าใส่นางอีกครั้ง แต่พริบตาถัดมาไม่รู้เห็นอะไร ใบหน้าพลันซีดเผือดก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไป