รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ลัดเลาะไปตามถนนและตรอก ไม่นานก็ออกจากเมืองมาถึงลานบ้านของตน
นางลงจากรถ ก้าวข้ามธรณีประตู หลิงเอ๋อร์หอบหนังสือตามอยู่ข้างหลัง
“ข้ารู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย จะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง” นางก้าวเข้าไปในประตู รับหนังสือจากสาวใช้แล้วเอ่ยปากกำชับ “เจ้าไปทำงานของตัวเองเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
ด้วยรู้ว่าคุณหนูใหญ่ของตนร่างกายอ่อนแอ เวลาส่วนใหญ่พักผ่อนอยู่ในห้อง กลับจากข้างนอกแล้วมักต้องนอนพักหลายวัน หลิงเอ๋อร์จึงรับคำ ผงกศีรษะอย่างว่าง่ายแล้วหมุนตัวเดินจากไป
หลังจากไล่สาวใช้ผู้นั้นออกไปแล้ว นางก็มุ่งหน้าไปยังเรือนหลังเล็กของตน เข้าห้องไปแล้วก็ปิดประตู ถอดเสื้อผ้าที่สวมอยู่ออก ดึงปิ่นบนศีรษะออกมา ก่อนจะเช็ดแป้งและชาดบนใบหน้า รวบผมที่แผ่สยายใหม่อีกครั้ง จากนั้นก็หยิบชุดคลุมตัวหนึ่งออกมาจากหีบเสื้อผ้า แต่กลับเห็นผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะเข้าเสียก่อน
นั่นเป็นผ้าที่นำกลับมาจากโรงงานก่อนหน้านี้
…สีฟ้านวล
นางยื่นมือไปลูบผ้าพับนั้นอย่างอดใจไม่อยู่
เนื้อผ้าใต้ท้องนิ้วเนียนละเอียดและนุ่มมือ ด้านบนเป็นลวดลายประณีต ใช้ด้ายขาวที่สีต่างจากสีผ้าเพียงเล็กน้อยปักลวดลายขลุ่ยตี๋* ดอกท้อ สายน้ำไหล และเรือลำเล็ก
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาอีกครั้ง พาให้ต้นหลิวนอกหน้าต่างโบกพลิ้ว ท่ามกลางความเหม่อลอย นางเหมือนเห็นเขายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง ได้กลิ่นที่แผ่ออกมาจากตัวเขา รู้สึกเหมือนนี่เป็นผ้าที่มีอุณหภูมิร่างกายและหยาดเหงื่อของเขาอยู่
ชั่วเวลานั้นเหมือนเขาอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง ประชิดเข้ามาใกล้เหลือเกิน ใกล้เกินกว่าระยะที่ควรจะเป็นมากนัก
นางรู้สึกได้ว่าปอยผมสีดำของเขาที่ทิ้งตัวลงมาไล้ผ่านดวงตานาง รู้สึกว่ากลิ่นอายของเขาพัดผ่านข้างแก้มนางไป
เสียงหัวใจเต้น อุณหภูมิร่างกาย กลิ่นอาย…และชีพจรข้างคอเขา…
ยังมีดวงตาดำลึกดุจบ่อน้ำคู่นั้นและเสียงแหบต่ำของเขา
‘เพราะอะไร’
นางจำได้ว่าเขาเอ่ยถามข้างหูนาง
‘เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้’
หัวใจสั่นไหวน้อยๆ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเขาล้วนสั่นไหวเช่นนี้เสมอ นางกลั้นหายใจ อดหลับตาลงไม่ได้
พอหลับตาลง ความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดเหมือนกระแสน้ำที่ถั่งโถม
นางจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับเขาได้มากมาย จดจำได้มากเกินไป อยากลืมก็ลืมไม่ได้