โง่จริงๆ…
ชายหนุ่มลืมตามองทิวทัศน์ยามราตรี แต่การย้อนนึกถึงความทรงจำในอดีตกลับทำให้เขากำกุญแจเงินโบราณในมือแน่นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
จังหวะนั้นมีคนมาหาเขาอีกแล้ว แต่คนผู้นั้นไม่กล้าเคาะประตู เพียงยืนอยู่นอกประตูเงียบๆ
เขาคลายมือจากกุญแจเงิน ปล่อยให้กุญแจเงินกับยันต์คุ้มภัยสีแดงสดทิ้งตัวลงไปบนแผงอก ไหลเข้าไปในเสื้อ จากนั้นจึงหันไปเอ่ยปาก
“เข้ามา”
คนผู้นั้นได้ยินจึงยืดตัวขึ้นก่อนจะเปิดประตู
ผู้มาไม่ใช่ใครอื่น เป็นโม่หลี เขาผลักเปิดประตูอย่างนอบน้อม เข้ามาแล้วกลับยืนอยู่ข้างประตู เปิดทางให้คนข้างหลังก้าวเข้ามา
ข้ารับใช้สองคนยกสุราอาหารเข้ามาอย่างระวัง อีกคนยกอ่างน้ำ อีกคนนำผ้าสะอาดมาให้ ในกลุ่มคนเหล่านั้นยังมีคนหนึ่งหอบสมุดตั้งหนึ่งมาด้านข้าง เป็นสมุดบัญชีของหอสุรา โรงจำนำ และหอรับวสันต์ ยังมีร้านค้าและกิจการยิบย่อยอื่นๆ อีกหลากหลายมากมายไม่ต่ำกว่าร้อยร้าน
ข้ารับใช้วางของลงบนโต๊ะและจากไป มีเพียงโม่หลีที่ยังอยู่ เขาปิดประตูแล้วเดินไปข้างโต๊ะ
โจวชิ่งล้างมือในอ่าง แต่กลับไม่ได้กินอาหารพวกนั้น เขาหยิบส้มขึ้นมาลูกหนึ่ง แกะเปลือกช้าๆ พลางเอ่ยโดยไม่เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ
“รายงานมาเถอะ”
พอได้รับคำสั่ง โม่หลีก็อ้าปากทันที รายงานด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“โรงจำนำหยวนเซิงรับเงินจำนวนเจ็ดหมื่นห้าพันตำลึง รับของจำนวนหนึ่งร้อยหกสิบสองชิ้น หอสุราเรืองโรจน์รับเงินจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นเก้าพันห้าร้อยตำลึง ขายยันต์คุ้มภัยออกไปได้หนึ่งพันสองร้อยยี่สิบแปดชิ้น…”
โจวชิ่งนั่งอยู่บนตั่งพักผ่อนข้างหน้าต่าง ฟังโม่หลีรายงานบัญชีเงียบๆ
ท่ามกลางความมืด เขามองพระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือยอดไม้ มองสายลมหอบพัดก้อนเมฆจนม้วนตัว
โม่หลีรายงานบัญชีอย่างฉะฉานด้วยเสียงดังกังวาน รายงานบัญชีของกิจการที่บ้านเสร็จก็เริ่มรายงานเรื่องน้อยใหญ่ในสกุลขุนนาง รายงานเรื่องน้อยใหญ่ในสกุลขุนนางเสร็จก็ตามด้วยเรื่องน้อยใหญ่ของสกุลชาวยุทธ์ จากนั้นค่อยเป็นเรื่องน้อยใหญ่ของสกุลพ่อค้า
โม่หลีรายงานทีละเรื่องด้วยน้ำเสียงราบเรียบมั่นคง จะหยุดเฉพาะตอนที่โจวชิ่งยกมือขึ้นเท่านั้น รอจนอีกฝ่ายโบกมือเป็นสัญญาณให้พูดต่อ เขาจึงเปิดปากอีกครั้ง
กว่าโม่หลีจะหยุด เวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนคืนแล้ว
เสียงกลองและฆ้องในหอรับวสันต์เงียบไปตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้
เพลงที่แม่นางทั้งหลายร้องค่อยๆ เงียบไป แต่บางครั้งยังได้ยินเสียงเครื่องเป่าและเครื่องสายดังมาจากแม่น้ำฝั่งตรงข้ามของอาคาร
ใต้แสงจันทร์ คลื่นน้ำกระเพื่อมไหวส่งเสียงเบาๆ โคมไฟดวงใหญ่สีแดงดับไปทีละดวง
ยามสี่* คนเดินตรวจตราบอกโมงยามเคาะกรับไม้
ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่มืดที่สุด
โจวชิ่งโบกมือ ให้โม่หลีสั่งข้ารับใช้ยกสุราอาหารออกไป
โม่หลีทำงานเงียบๆ จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
สายลมยังคงพัดพลิ้ว เขายกมือขึ้น ดีดลมออกจากปลายนิ้วดับเทียนไข พาให้ห้องที่สว่างไสวพลันมืดลง
ค่ำคืนนี้กำลังจะจบลงแล้ว
เขายังคงนั่งงอเข่าพิงหน้าต่าง มองเมืองแห่งนี้เงียบๆ
หากมีคนแหงนหน้ามองขึ้นมา จะเห็นชายเสื้อเขาพลิ้วไหวอยู่ข้างหน้าต่าง
พริบตาถัดมาชายเสื้อก็หายวับไปในความมืดประหนึ่งภูตผีปีศาจ ไม่เห็นร่องรอยอีก
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ‘ซื่อ’ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้นก็มี
* เตียงหลัวฮั่น เป็นเครื่องเรือนสมัยโบราณของจีน ใช้สำหรับนั่งรับแขกหรือนอนเล่น ลักษณะคล้ายตั่งขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช้เป็นเตียงนอนในห้องนอน
* แม่ทัพเอ้อร์หลาง เป็นเทพองค์หนึ่งตามความเชื่อจีน ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งสวรรค์ มีสามตา อาวุธคู่กายคือง้าวสามคม
* ถังหูลู่ เป็นชื่อขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง แต่เดิมใช้ผลซานจา (พุทราป่า) เสียบไม้ไผ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้นแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมให้ผิวนอกแข็งตัวเป็นเงาวาว รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ปัจจุบันดัดแปลงเป็นผลไม้ชนิดอื่นด้วย เช่น สตรอเบอรี่ กีวี่ สับปะรด เป็นต้น
* หนึ่งก้านธูป เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง
* สมัยโบราณจีนแบ่งช่วงเวลาตอนกลางคืนออกเป็นห้ายาม โดยยามหนึ่งเริ่มเวลา 19.00 น. ถึง 21.00 น. ดังนั้นยามสี่จึงเป็นเวลา 01.00 น. ถึง 03.00 น.