โจวชิ่งมองพวกเขาสองคน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นใช้สายตาเย็นชากวาดมองผู้คนรอบด้านที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ผู้คนในตลาดเห็นดังนั้นก็ต่างพากันเบนสายตาไปทางอื่น
เขายิ้มเย็นอย่างไร้เสียง หันไปอ้าปากสั่งการลูกน้อง
“โม่หลี ไม่ต้องขนไปทั้งหมด ควรขนไปเท่าไรก็เอาไปเท่านั้น อย่าให้ผู้อื่นพูดได้ว่าข้าโจวชิ่งฉวยโอกาสเอาเปรียบผู้อื่น”
“ขอรับ” ชายหนุ่มที่ติดตามข้างกายโจวชิ่งก้มหน้ารับคำ ดีดลูกคิดคำนวณราคาสินค้าอย่างรวดเร็วระหว่างที่ชายฉกรรจ์ขนสินค้าขึ้นไปบนรถ
กว่าโม่หลีจะยกมือร้องบอกว่าหยุด ชายฉกรรจ์เหล่านั้นก็ขนสินค้าในร้านไปเกือบหมด เหลือไว้เพียงสินค้าหีบเล็กหีบเดียวเท่านั้น
“คุณชาย พอแล้วขอรับ” โม่หลีพูดพลางยื่นลูกคิดกับสมุดบัญชีให้โจวชิ่งดู
โจวชิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง ยื่นมือไปปัดๆ ชุดคลุมที่ถูกหลี่ซื่อจับจนยับเมื่อครู่นี้ จากนั้นก็หันไปพูดกับสองสามีภรรยาที่ร้องไห้ฟูมฟายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เถ้าแก่หลี่ อย่าหาว่าข้าไม่ให้เวลาท่าน พรุ่งนี้เช้าข้าจะส่งคนมาเก็บกวาด ถึงเวลานั้นหากท่านยังจะยึดบ้านไว้ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ” พูดจบก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเฉยชา
เถ้าแก่หลี่มองดูร้านค้าของตนที่ถูกขนของไปจนเกือบหมด มองแผ่นหลังเย็นชาของชายผู้นั้นแล้ว ครั้นคิดว่าบ้านบรรพบุรุษของตนที่ตกทอดมานับสิบรุ่นกำลังจะสูญสิ้นไป เขาก็ขาดสติ ร้องไห้พลางตะโกนด่าโจวชิ่งเสียงดังด้วยน้ำตานองหน้า
“โจวชิ่ง! เจ้าหลอกให้ข้าเอาบ้านบรรพบุรุษไปค้ำประกัน ทั้งยังไม่ยอมผ่อนปรนให้ข้าอีกสองสามวัน ยังจะบังคับขนสินค้าข้าไปอีก ไม่ยอมให้ข้าเอาสินค้าไปหมุนเป็นเงิน ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะยึดบ้านหลังนี้…เจ้ามันพ่อค้าเจ้าเล่ห์ใจดำ! ชั่วร้ายไร้คุณธรรม! เจ้าต้องไม่ตายดี! โจวชิ่ง เจ้าต้องไม่ตายดี…”
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าดังไปทั่วถนนใหญ่และตรอกเล็กตรอกน้อย เสียงสูดหายใจอย่างตื่นตระหนกดังขึ้นเป็นระลอก
ทว่าโจวชิ่งที่ถูกด่ากลับเหมือนไม่ได้ยิน เขาไม่หยุดเดินด้วยซ้ำ ยังคงเอามือไพล่หลังเดินไปบนถนนใหญ่ช้าๆ
“เจ้าสารเลวโจวชิ่ง! เจ้าต้องไม่ตายดีแน่…ไม่ตายดีแน่…”
เถ้าแก่หลี่ยังคงร้องไห้ฟูมฟาย คนอื่นเห็นเข้าเกรงว่าจะเกิดเรื่อง จึงรีบเข้าไปห้ามเหล่าหลี่ไม่ให้ตะโกนอีก
โจวชิ่งไม่ใส่ใจความโกลาหลเบื้องหลังแม้แต่น้อย เดินไปบนท้องถนนที่มีตลาดยามเช้า ผู้คนด้านหน้าต่างหลีกทางให้อย่างหวาดเกรง จากนั้นเขาก็เห็นคนที่ยืนอยู่กลางถนน
คนผู้นั้นรูปร่างผอมบาง สวมเสื้อสีคราม ใบหน้าขาวสะอาด ดวงตาใสกระจ่างเหมือนจะมองเห็นไปถึงก้นบึ้ง
ทุกคนต่างหลบทาง มีเพียงคนผู้นั้นที่ไม่หลบ ยืนขวางอยู่ตรงหน้า
คนผู้นั้นหาใช่ใครอื่น แต่เป็นเศรษฐีใหม่ในเมือง ใต้เท้าเวิน…เวินจื่ออี้ผู้ใจบุญที่โด่งดังที่สุดในเมืองช่วงสองสามปีมานี้
เขาเดินไปตรงหน้าคนผู้นั้น
คนผู้นั้นจ้องมองเขา
ผู้คนต่างมองสองคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอย่างประหม่า อดรู้สึกกลัวไม่ได้ แต่ก็อยากมอง
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าอย่างแค้นเคืองของเหล่าหลี่ยังคงสะท้อนอยู่ในอากาศ ทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม
“ไยต้องทำเช่นนี้ด้วย”
ท่านเวินผู้ใจบุญมองเขา ขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ยถามเสียงเรียบ
ท่านโจวผู้ใจบาปหลุบตามองอีกฝ่าย เพียงคลี่ยิ้มเย็นชา
“ข้าพอใจ”
“โจวชิ่งเจ้าคนสารเลว! เจ้าต้องไม่ตายดี…ไม่ตายดีแน่…” เสียงก่นด่ายังคงลอยมา
ท่านเวินผู้ใจบุญเม้มปาก นัยน์ตาสีดำหม่นแสง
ท่านโจวผู้ใจบาปยิ้มพลางก้าวเดินสวนทางกับอีกฝ่าย มุ่งหน้าไปยังท่าเรือและขึ้นเรือไป
“โจวชิ่งเจ้ามันคนสารเลว! เจ้าต้องไม่ตายดี…ต้องไม่ตายดี…”
เสียงร้องไห้และเสียงก่นด่าอย่างไม่ยินยอมยังคงดังอยู่เบื้องหลัง ลอยตามสายลมขึ้นไปบนท้องฟ้า เนิ่นนานก็ไม่จางหายไป