ดวงอาทิตย์ยามสนธยาสีแดงส้มค่อยๆ จมหายไปหลังอาคารและชายคามากมายที่ห่างไกลออกไป
ลงจากเรือแล้ว ชายหนุ่มก็ก้าวขึ้นไปบนอาคาร นั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น* พิงข้างหน้าต่าง จากตำแหน่งนี้เขาสามารถมองเห็นหลังคากระเบื้องและชายคาโค้งมากมายที่ซ้อนทับกัน ยังมีกระดิ่งทองแดงที่แขวนอยู่ใต้ชายคา
พอลมพัดมา กระดิ่งทองแดงใต้ชายคาก็ส่งเสียงเบาๆ
สรรพสิ่งตรงหน้าถูกแสงยามเย็นย้อมจนเป็นสีเหลืองทอง ก้อนหินที่ปูอยู่บนถนนใหญ่เบื้องหน้า บ้านเรือนและหออาคารฝั่งตรงข้าม แม้แต่หญิงสาวที่พิงอยู่ข้างหน้าต่างยังเปล่งแสงสีทอง ราวกับทำขึ้นจากทองคำแท้อย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าไม่ใช่ พอผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไป ทุกอย่างก็จะคืนสู่สภาพเดิม
กำแพงสีขาว กระเบื้องสีดำ หินสีเทา กระเบื้องเคลือบเก่าคร่ำคร่า โคมไฟสีแดงเก่าซีด ยังมีคิ้วตาอิดโรยที่ต่อให้นอนพักสามวันก็ยังยากที่จะขจัดออกไป…
แต่พอราตรีมาเยือน โคมไฟถูกจุดขึ้น หลังดื่มสุราไปสามคำรบ สรรพสิ่งจะถูกย้อมด้วยสีสันอันงดงาม มองอะไรก็ดูเหมือนมายาความฝันไปหมด ไม่เหมือนจริง
เขาจ้องมองเมืองอันงดงามและทรุดโทรมนอกหน้าต่าง มองดูมันปลดเปลื้องอาภรณ์สีทองและดูแก่ชราเหมือนสตรีอายุร้อยปี แต่แล้วพอโคมไฟถูกจุดขึ้น มันก็งดงามเจิดจรัสอีกครั้ง
ลมกลางคืนที่โชยพัดหอบเอาเส้นผมของเขาขึ้นมา โจวชิ่งหลับตาลง แต่กลับได้กลิ่นแป้งและชาดเหล่านั้น ยังมีกลิ่นอาเจียนและกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของสุราที่ไม่ว่าจะใช้น้ำหอมมากมายเพียงใดก็กลบไม่มิด
ทว่าแม้จะมีกลิ่นเหล่านั้น รถม้าคันแล้วคันเล่า เกี้ยวหลังแล้วหลังเล่า เรือลำแล้วลำเล่าก็ยังมุ่งหน้ามายังถนนสายนี้
เสียงพิณดังขึ้นตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เสียงหัวเราะหวานของเหล่าสตรีดังขึ้น เหล่าบุรุษหัวเราะเสียงดัง เอะอะโวยวาย ห้องครัวของหอสุราติดเตา กระทะตะหลิวถูกกวัดแกว่งไปมา ไม่นานอาหารก็ทยอยออกมา ต่อให้ในอากาศเจือกลิ่นเหม็นอะไรอยู่จริง ก็ถูกกลิ่นหอมของอาหารและกลิ่นเครื่องหอมจากตัวแม่นางทั้งหลายกลบไปหมด
เขาได้ยินเสียงลูกเต๋า ได้ยินเสียงโห่ร้อง บ่อนพนันเริ่มมีเสียงเอะอะจอแจแล้ว
ราตรีค่อยๆ ดึกยิ่งขึ้น
คนส่วนใหญ่ในเมืองเข้านอนแล้ว แต่ความครึกครื้นที่นี่เพิ่งจะเริ่มต้น
ในลานของหอรับวสันต์มีการสร้างเวทีขึ้นมาตั้งแต่แรกเริ่ม นายท่านทั้งหลายที่มาดูละครนั่งประจำที่ เสี่ยวเอ้อร์ยกสุราน้ำชามาให้นายท่านทั้งหลายอย่างขยันขันแข็ง ส่งผ้าเช็ดมือและยกอาหารมาให้
ไม่เหมือนบนท้องถนนตอนกลางวันที่สตรีดูละครต้องหลบอยู่ในเพิงเล็กๆ ในหอรับวสันต์สตรีสามารถนั่งดูละครเป็นเพื่อนนายท่านทั้งหลายหน้าเวทีได้
ตอนละครลั่นฆ้องเปิดฉาก โจวชิ่งก็ลืมตา ก่อนจะลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า รวบผมและสวมเกี้ยว
ครั้นลงมาชั้นล่างก็เห็นบนเวทีเป็นยอดบุปผาของหอรับวสันต์ในชุดบุรุษ รับบทเป็นแม่ทัพเอ้อร์หลาง* กวัดแกว่งง้าวประดับพู่แดง ร้องตวาดเสียงหวาน ประลองฝีมือกับตัวละครอีกตัว นายท่านทั้งหลายด้านล่างเวทีโห่ร้องว่าดีติดๆ กัน
นายกองพันฉินมาแล้ว ผู้ช่วยเจ้าเมืองจางมาแล้ว ที่ปรึกษาเฉินจากจวนอ๋องก็มาด้วย เขามากับน้องภรรยาของใต้เท้าเจ้าเมือง นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของเวที กระซิบกระซาบกันเป็นพักๆ ด้านข้างยังมีแม่นางคนหนึ่งคอยปรนนิบัติเป็นอย่างดี
โจวชิ่งก้าวลงมาจากชั้นบน ยังอยู่บนขั้นบันไดและไปไม่ถึงเวที ทุกคนก็ลุกขึ้นประสานมือทักทายกับเขาเสียแล้ว เขายิ้มคารวะตอบ ต้อนรับทุกคนอย่างเกรงใจ แม่นางด้านข้างส่งสุรามาให้ เขาก็รับมาถือไว้ แต่ยังไม่ทันยกขึ้นจรดริมฝีปากก็รู้สึกผิดปกติ
สุรานี้มีพิษ
เขายิ้ม ดื่มหมดรวดเดียวโดยไม่ถือสา
สุราล่วงเข้าไปในลำคอ หอมเข้มข้นและเผ็ดร้อน แผดเ