บทที่ 5
พ้นเทศกาลตวนอู่ไป อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น
เนื่องจากอากาศร้อน ผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดมือปักลาย ตลอดจนพัดที่ปักลวดลายจึงขายดีเป็นพิเศษ
เมื่อมีเงินเหลือ นางจึงอดไม่ได้ที่จะหาหญิงชาวนาที่พอมีฝีมือเพิ่ม นอกจากทอผ้าแล้ว ยังเริ่มตัดเสื้อผ้าและนำไปขายให้ร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป การค้านี้นับว่าพอไปได้
การจดบัญชีใต้แสงจากตะเกียงทุกค่ำคืนมักสร้างความเบิกบานสำราญใจให้นาง
การค้าขายไม่มีที่ไม่ขาดทุน บางครั้งก็เจอพ่อค้าที่ไม่ยอมจ่ายเงิน นางไม่โกรธและไม่โมโห ถือเป็นการจ่ายเงินซื้อบทเรียน และเริ่มเก็บเงินมัดจำสามส่วนตอนรับคำสั่งซื้อ ป้องกันไม่ให้ตัวเองขาดทุนย่อยยับ โชคดีที่สินค้าของนางมีคุณภาพ แม้เถ้าแก่และหลงจู๊หลายคนจะบ่น แต่ส่วนใหญ่ยังคงสั่งซื้อสินค้ากับนางต่อ
พริบตาเดียวเวลาหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ถึงเวลาไปจ่ายเบี้ยรายเดือนที่หอสุราหน้าศาลเจ้าอีกแล้ว
นางหาเวลาไปที่ถนนใหญ่หน้าศาลเจ้า ก่อนลงจากรถนางอดไม่ได้ที่จะจับเสื้อผ้าตัวเองให้ดีและส่องกระจก ก่อนจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร
ดวงหน้าเล็กพลันแดงก่ำ รีบลดมือลง เก็บกระจกพกแล้วรีบร้อนลงจากรถ
หลังเทศกาลตวนอู่ โจวชิ่งก็ไม่ได้ส่งคนมาหานางอีก
นางรู้ว่าเขายุ่งมาก การแข่งเรือมังกรชิงธงในวันนั้นทำให้เถ้าแก่ใหญ่หลายรายตระหนักถึงตัวตนของคุณชายอย่างเขา แต่ก่อนทุกคนก็รู้ว่าโจวเป้ามีลูกชายชื่อโจวชิ่ง แต่ไม่ได้ใส่ใจนัก โจวเป้าต่างหากที่เป็นคนควบคุมดูแลทุกอย่างและเป็นคนที่ต้องประจบเอาใจ แต่หลังจากเทศกาลตวนอู่ ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นเขา รู้ว่าลูกน้องของเขามีวิชายุทธ์ไม่ธรรมดา คาดเดาว่าหรือโจวเป้าจะเริ่มส่งเสริมผลักดันลูกชายคนนี้ นับแต่นั้นมาเทียบเชิญเขาไปกินอาหารจึงถูกส่งมาไม่ได้ขาด
หลายครั้งที่นางเห็นเขาบนถนนจากที่ไกลๆ ชายผู้นั้นมักถูกคนห้อมล้อม
แปดส่วนเขาคงลืมนางไปแล้วกระมัง
อีกอย่าง ตอนนี้นางสวมชุดบุรุษ ไม่ได้ผัดแป้งทาชาด ไม่ได้สวมชุดกระโปรงที่มีสีสัน ไม่ได้เสียบปิ่น ดูเหมือนบุรุษคนหนึ่ง จะส่องกระจกพกได้อย่างไร
แต่บางครั้งเขาจะมาที่นี่ ไม่แน่นางอาจได้พบเขา
ความคิดนี้ทำเอานางเกือบหยิบกระจกพกออกมาส่องอีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ กลัวว่าหน้าของตนจะเปื้อนโคลนหรือเปื้อนสีย้อมผ้า
ไม่ง่ายเลยกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้สำรวจความเรียบร้อยของตัวเองได้ นางลงจากรถและโบกมือกับลู่อี้
ลู่อี้ผงกศีรษะให้นาง ก่อนจะบังคับรถจากไป นำสินค้าไปส่งก่อน
เนื่องจากกิจการดีขึ้นทุกวัน ทั้งสองจึงตกลงกันว่าเพื่อไม่ให้เปลืองเวลา ตอนนางเข้าเมืองไปจ่ายเบี้ยรายเดือน เขาจะไปซื้อข้าวของก่อน ซื้อของเสร็จแล้วเขาค่อยมารับนาง ระหว่างนั้นนางจะได้เจรจาการค้ากับเถ้าแก่ที่อยู่บนถนนการค้าแถบนี้ด้วย
เห็นลู่อี้จากไปแล้ว นางจึงก้าวเข้าไปในหอสุราจ่ายเบี้ยรายเดือน นางรู้สึกตื่นเต้นตลอดทาง เหลียวมองไปรอบๆ อย่างประหม่า หูฟังแปดทิศ สุดท้ายจนกระทั่งนางออกจากประตูแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของโจวชิ่ง
เวินโหรวก้าวข้ามธรณีประตู ก่อนจากไปนางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชั้นสองของโรงจำนำฝั่งตรงข้าม
หน้าต่างบานใหญ่ไม่มีใครสักคน มืดสนิท มีเพียงม่านโปร่งโบกพลิ้ว
นางผิดหวังเล็กน้อย อดถอนหายใจไม่ได้
‘มองอะไร’
น้ำเสียงทุ้มหนักที่คุ้นเคยพลันดังขึ้นข้างหู เวินโหรวตกใจสะดุ้ง สูดหายใจอย่างตื่นตระหนก มือกดหน้าอกและหันกลับมา เห็นชายผู้นั้นอยู่ข้างหลัง
‘มองหาข้าหรือ’
ชายหนุ่มเลิกคิ้วซ้ายเล็กน้อย หลุบตาจ้องมองนาง
‘ข้า…เอ่อ…’
คิดไม่ถึงว่าจะถูกเขาจับได้คาหนังคาเขา นางหน้าแดงหูแดง มองชายหนุ่มตรงหน้า ชั่วขณะนั้นไม่รู้ควรพูดอะไรดี หัวสมองว่างเปล่าขาวโพลน
‘กินข้าวหรือยัง’ เขาถามต่อ
‘ยัง…’ เนื่องจากตื่นตกใจเกินไป นางมิอาจใช้ความคิด ได้แต่ตอบเสียงแผ่วหน้าแดง
‘พอดีเลย ครั้งก่อนผิดนัดเจ้า วันนี้ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ’
นางยังไม่ทันได้ตอบ ชายผู้นั้นก็เดินตรงออกไปแล้ว ไม่เปิดโอกาสให้นางได้ปฏิเสธ
นางอึ้งไป ครั้นเห็นเพียงครู่เดียวเขาก็ข้ามถนนใหญ่ กำลังจะเดินเข้าไปในโรงจำนำแล้ว นางจึงได้แต่ก้าวเร็วๆ ตามไป