ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

overgraY

ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 1 #นิยายวาย

บทสนทนาในห้องหนังสือ สองดวงจิตที่พันผูก

 

จิงเฉิง เมืองหลวงอันรุ่งโรจน์แห่งต้าชิง ชาวบ้านต่างทำมาหากิน จับจ่ายซื้อของบนถนนกันอย่างคึกคัก

แสงแดดในฤดูสารทอบอุ่นกำลังดี ณ วังอันงดงามซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เงียบสงบ ตรงลานฝึกยิงธนูขนาดเล็กในมุมหนึ่งของสวนดอกไม้ด้านหลังมีคนผู้หนึ่งกำลังน้าวคันธนู สองแขนเหยียดตรง ง้างสายธนูจนตึงแต่กลับไม่รีบร้อนยิงออกไป ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปด้านหน้า แววตาคมปลาบราวกับจะแทงเป้าหมายให้ทะลุ

จู่ๆ เรียวคิ้วก็ขมวดมุ่น คนผู้นั้นกัดฟัน ก่อนจะคลายนิ้วออก ลูกศรพุ่งทะยานออกไปจนเกิดเสียง ‘ฟิ้ว’ แล้วปักลงตรงกลางเป้าอย่างแม่นยำ

ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น มือที่ถือคันธนูก็ค่อยๆ ลดลงข้างลำตัว ขณะเดียวกันก็ลูบไล้ตัวอักษรซึ่งแกะสลักอยู่บนคันธนูราวกับจมอยู่ในภวังค์ ปลายนิ้วไล่ไปตามรอยสลัก สัมผัสอย่างถี่ถ้วน

อักษรที่สลักอยู่บนคันธนูเป็นคำที่เขาคุ้นจนไม่อาจจะคุ้นไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นั่นเพราะเขาเป็นผู้สลักมันลงไปเอง

คำว่า ‘ซิ่ว’ ที่มาจากคำว่างามสง่า* หาใดเปรียบ

ดวงหน้าราวกับสลักเสลาเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง

“องค์ชายสาม แขกรออยู่ที่ห้องหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เขาหันไปมองผู้ที่เดินเข้ามา ขานรับเสียงทุ้ม น้ำเสียงอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

เด็กรับใช้สองคนเดินตามเจ้านายออกจากลานฝึกธนูไปยังห้องหนังสือ

องค์ชายสามฉลาดใฝ่รู้มาตั้งแต่ยังเล็ก เชี่ยวชาญกาพย์กลอน ปราดเปรื่องเขียนอักษร ความรู้กว้างขวาง จนฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้รับผิดชอบการเขียนและเรียบเรียงตำรา ฮ่องเต้ไม่เพียงตรัสชมว่าลายมือของเขายอดเยี่ยม แต่ยังรับสั่งให้เหล่าองค์ชายทั้งหลายนำไปเป็นเยี่ยงอย่าง ด้วยเหตุนั้นลูกหลานแปดกองธงจึงเรียกเขาลับหลังว่าเป็นองค์ชายที่เปี่ยมราศีของปัญญาชนมากที่สุด

เด็กรับใช้ทั้งสองมองตามเงาหลังสูงโปร่งของผู้เป็นนายขณะซอยเท้าเดินตามหลัง ไม่กล้าชักช้าแม้แต่น้อยเพื่อป้องกันไม่ให้คลาดกับเจ้านาย ทุกคนต่างกล่าวกันว่าองค์ชายสามมีท่าทางราวกับบัณฑิตคงแก่เรียน แต่ความจริงคำพูดนั้นไม่นับว่าถูกต้องทั้งหมด ชาวแมนจูองอาจห้าวหาญ องค์ชายสามก็เป็นเช่นเดียวกัน นอกจากวรยุทธ์พื้นฐานแล้ว ฝีมือด้านยิงธนูก็เก่งกาจยิ่ง ยามว่างมักจะเห็นเขาออกมาฝึกยิงธนูอยู่ในลานฝึก หรือไม่ก็ขี่ม้าออกไปยิงธนูที่นอกเมือง

ด้วยเหตุนี้มือที่ถือพู่กันพลิกหน้าตำราคู่นั้นจึงเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง ยามกำหมัดก็จะเห็นข้อนิ้วชัดเจนกว่าคนทั่วไป

“ฮ่องเต้เสด็จไปถึงคาหล่าชิ่นแล้วหรือ”

องค์ชายสามเดินเข้าไปในห้องหนังสือพลางเอ่ยถามขุนนางทั้งสองที่นั่งรออยู่

ด้านข้างมีเงาร่างอันแสนคุ้นเคยกำลังรินชาต้อนรับแขก ชุดคลุมสีขาวสะอาดเมื่อสวมอยู่บนร่างนั้นยิ่งทำให้เนื้อผ้าดูนุ่มนวลขึ้น ทั้งยังขับเน้นใบหน้าให้ดูนิ่งสงบ ท่าทีเช่นนั้นคล้ายคลึงกับองค์ชายสามในวัยสิบปี ดูเหมือนบัณฑิตน้อยที่ใสซื่ออ่อนเยาว์ผู้หนึ่ง

เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้นี้ก็คือหรูซิ่ว เขารู้สึกถึงสายตาของผู้เป็นนายมองมาจึงเงยหน้าขึ้นสบตาด้วยครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็ก้มหน้า ตามองจมูก จมูกมองใจ พุ่งความสนใจไปที่การรินชา

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ เมื่อคำนวณเวลาดูแล้ว ควรจะเสด็จไปถึงตั้งแต่เมื่อสามวันก่อน” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ขณะเดียวกันก็ยิ้มบาง “ข่าวที่ส่งมาเช้าวันนี้บอกว่าฝ่าบาททรงให้องค์หญิงห้าอภิเษกกับบุตรชายคนโตของจ๋าซ่าเค่อจวิ้นอ๋อง โดยงานอภิเษกจะให้จัดขึ้นปลายปีพ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายสามพยักหน้า “ก่อนหน้าที่เสด็จพ่อจะทรงออกเดินทาง เพียงตรัสว่าจะให้จัดพิธีในปีหน้า มาตอนนี้กลับร่นให้เร็วขึ้นเสียแล้ว”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางผู้นั้นตอบรับ พิธีอภิเษกขององค์หญิงห้าปรับเปลี่ยนไปมาอยู่บ่อยครั้ง คิดดูแล้วก็น่าขันนัก แต่เพราะไม่อาจแสดงออกไปได้ ขุนนางจึงได้แต่พูดว่า “ก่อนหน้าที่ฝ่าบาทจะเสด็จออกเดินทางได้ทรงสับเปลี่ยนขุนนางตั้งแต่ขั้นห้าลงไปหลายตำแหน่ง ได้ยินว่าทรงมอบเรื่องนี้ให้จิ่นเฟิ่งเป้ยเล่อแห่งวังกงชินอ๋องไปจัดการพ่ะย่ะค่ะ”

ครั้นได้ยินเรื่องนี้ องค์ชายสามก็รีบหันไปสบตากับหรูซิ่ว ดูท่าขั้วอำนาจในราชสำนักกำลังลอบสับเปลี่ยนกันอย่างลับๆ

“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง มิน่าถึงได้รวบรัดกะทันหันเช่นนี้” องค์ชายสามเอ่ย “ได้ยินว่ามีคนถูกปลดจากตำแหน่งตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งเสื้อผ้ายังไม่ทันสวมครบก็ต้องรีบวิ่งออกมารับราชโองการเสียก่อน เพียงแต่…คนที่ถูกสับเปลี่ยนตำแหน่งล้วนแล้วแต่บังเอิญเป็นพรรคพวกฝ่ายเดียวกันทั้งสิ้น จึงยากที่จะไม่ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ เกรงว่าคราวนี้ฝ่ายองค์รัชทายาทคงได้กระทืบเท้าเร่าๆ เป็นแน่”

“ไม่เพียงเท่านั้นนะพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าบางคนแปรพักตร์ หันไปเข้าร่วมกับหลี่กั๋วจู้ก็มี” ขุนนางทั้งสองเอ่ย

ครั้นได้ยินชื่อ ‘หลี่กั๋วจู้’ แววตาขององค์ชายสามก็แปรเปลี่ยน เมื่อชำเลืองมองไปยังหรูซิ่วที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือก็เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายซีดขาวตามคาด มือที่กำลังจัดม้วนตำราสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด

องค์ชายสามหารือข้อราชการกับขุนนางทั้งสองต่อ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม** คนทั้งสองถึงเอ่ยลา

ห้องหนังสือกว้างใหญ่เหลือเพียงองค์ชายสามกับหรูซิ่ว ทว่าทั้งสองไม่มีใครเอ่ยคำใด หรูซิ่วเรียงม้วนตำราบนโต๊ะให้เป็นระเบียบ เสร็จแล้วก็ยืดกายขึ้น เดินไปทางประตู องค์ชายสามกลับรวดเร็วกว่า พอเห็นเขาคิดจะไปก็รีบก้าวไปคว้ามือเขาไว้

“ข้าเพียงแต่จะเรียกคนให้ยกของว่างมาเท่านั้น” หรูซิ่วเงยหน้ามอง “พี่สามคงจะหิวแล้ว”

อีกฝ่ายเมื่อได้ยินเขาเรียกพี่สาม สีหน้าพลันอ่อนโยนขึ้นมาก เขาค่อยๆ คลายมือออกพลางเอ่ยเสียงนุ่ม “อย่าเลย ข้าไม่หิว พวกเรามาคุยกันดีกว่า”

หรูซิ่วตามใจเขา ตามไปนั่งลงที่ตั่ง เมื่อเห็นเขาจ้องตนตั้งแต่เริ่มแรกก็อดยิ้มไม่ได้ “เหตุใดพี่สามถึงทำตัวราวกับหญิงชราเช่นนี้เล่า ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ มิจำเป็นต้องคิดมาก”

“ดูเจ้าพูดเข้าสิ กล้าล้อเลียนข้าหรือ” องค์ชายสามยิ้มน้อยๆ ก่อนจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์จะลดอำนาจสั่วเอ๋อถู จึงสบโอกาสยกหลี่กั๋วจู้ขึ้นมาใช้ประโยชน์เท่านั้น”

หรูซิ่วแค่นเสียง แววตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกปรากฏความเกลียดชังวาบผ่าน น้ำเสียงดูแคลน “กว่าจะทรงตัดสินพระทัยได้ก็นานเหลือเกิน ปล่อยให้เขาวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ได้ตั้งหลายปี”

“ข้าสั่งให้คนลอบเก็บรวบรวมหลักฐานทุจริตของเขาเอาไว้แล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยโอกาสนี้โค่นเขาลงให้ได้” สายตาขององค์ชายสามไม่ยอมคลาดจากใบหน้าของอีกฝ่ายไปไหน

หรูซิ่วสุภาพเรียบร้อย ในแววตามักเผยให้เห็นความหลักแหลมเฉลียวฉลาด ปกติยามอยู่ข้างนอกจะเป็นคนพูดน้อย จุดนี้ค่อนข้างเหมือนกับเขา ทั้งคู่ต่างมีนิสัยใจเย็น ควบคุมอารมณ์เก่ง ปกติยามอยู่ในห้องหนังสือด้วยกันก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ไม่ได้สนทนาใดๆ กันทั้งสิ้น แต่ไหนแต่ไรมาเขาชื่นชอบความเงียบสงบอันงดงามนี้ ทว่าเวลานี้กลับอยากให้หรูซิ่วเอ่ยอะไรออกมา อะไรก็ได้ทั้งนั้น

“ข้าไม่อยากให้พี่สามเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนพรรค์นั้น กระทั่งลอบสืบสวนก็ไม่ต้อง” หรูซิ่วส่ายหน้า “เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ทรงมอบหมายคนอื่นให้ไปทำแล้ว”

“แต่ว่า…”

“ตอนที่ข้าอยู่ที่วังขององค์ชายสิบ เรื่องที่พี่สามคิดจะวางยาเป้ยเล่อน้อยผู้นั้น ข้ายังโกรธไม่หาย” หรูซิ่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้ากรุ่นโกรธ

อีกฝ่ายรู้ดีว่าหรูซิ่วต้องการเปลี่ยนเรื่องคุยจึงยอมตามใจ ยิ้มพลางพูด “พูดถึงเป้ยเล่อน้อยผู้นั้น ข้าฉวยโอกาสที่เสด็จพ่อไม่ได้ประทับอยู่จิงเฉิง หาข้ออ้างให้เขาไม่ต้องมาตรวจทานตำรากับข้าอีก ป้องกันไม่ให้เขาบังเอิญเจอเจ้าในตำหนัก”

หรูซิ่วหัวเราะเบาๆ เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ต่อให้ข้ายืนอยู่ตรงหน้า เขาก็จำไม่ได้หรอก”

เมื่อปีก่อน ก่อนหน้าที่จะแฝงตัวเข้าไปเป็นแขกในวังองค์ชายสิบ เขาได้ใช้ยาที่ทำให้ผิวพรรณดำคล้ำ สิวกระขึ้นเต็มใบหน้า รูปโฉมจึงแตกต่างจากยามนี้อยู่มากโข หากไม่มีใครบอก ย่อมไม่มีทางเดาได้แน่ว่าเป็นคนคนเดียวกัน

“ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ” โชคดีที่ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิมได้ มิเช่นนั้นใบหน้างดงามนี้จะไม่สูญเปล่าไปหรอกหรือ

หรูซิ่วเพียงรับฟังอย่างสงบ ปีก่อนองค์ชายสามขับไล่เขาออกจากวังอย่างไม่ไยดี ตอนนี้พอหวนนึกขึ้นมา ในใจก็ยังเจ็บปวดอยู่ไม่จางหาย…

“ซิ่วเอ๋อร์” องค์ชายสามเรียกชื่อเขาเบาๆ “จำเป็นต้องกำจัดหลี่กั๋วจู้ผู้นี้ ข้าจึงจะวางใจได้ หากเจ้าคิดจะขัดขวาง ก็นับว่าผิดต่อความผูกพันหลายปีที่ผ่านมาของพวกเรายิ่งนัก”

“พี่สาม…” เขาตกตะลึง ได้แต่นิ่งงันมองคนตรงหน้า ชั่วพริบตาหัวใจก็สั่นสะท้าน ม่านน้ำเอ่อคลอดวงตา

ในห้องหนังสือ คนทั้งสองประสานสายตา หัวใจสองดวงล่องลอยกลับไปหาการพบเจอกันในปีนั้น ในคืนที่ชะตากรรมถูกเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล…

 

* คำว่า ‘งามสง่า’ ในภาษาจีนคือ ‘ซิ่วอี้’ (秀逸)

** ชั่วยาม หน่วยนับเวลาของจีน เทียบได้กับเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

Comments

comments

Continue Reading

More in overgraY

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 5 #นิยายวาย

    By

    พิศวาสรัญจวนในห้องหนังสือ คราแรกของเด็กหนุ่ม   ดูจากการที่องค์ชายสามทั้งตีทั้งตวาด แล้วแบกเขาเดินเร่งฝีเท้าด้วยท่าทางกระโชกกระชาก หรูซิ...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 4 #นิยายวาย

    By

      มรสุมพลันสาดซัด เด็กหนุ่มโชกไปด้วยเลือด   ราตรีล่วงผ่านไปโดยไม่อาจข่มตาหลับ วันถัดมาฟ้าเพิ่งจะสาง หรูซิ่วก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตู...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 3 #นิยายวาย

    By

    เด็กหนุ่มรูปงาม อุทิศตนเป็นบ่าวรับใช้   ในห้องที่ซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ คนทั้งสองหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน ท่ามกลางความมืด...

  • overgraY

    ตรารักสายเลือดบาป (เล่ม 1) บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    แสงดาราพาดผ่าน ดวงชะตาเคลื่อนคล้อย   กลางดึก รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากเมืองอย่างช้าๆ ระหว่างที่รถม้าวิ่งไปข้างหน้า ตัวรถก็ส่ายไปซ้ายทีขวา...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.2   เมื่อกลับมาถึงวังอ๋อง เนื่องจากเหตุการณ์ของชายาทำให้บรรยากาศในวังยังคงอึมครึม ข้าเรียกคนให้หยิบกาสุรามาดื่มในสวนเล็กของตำหน...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 3.1 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 3.1   วันถัดมา ข้าเข้าวังเพื่อกราบทูลผลการลงโทษชายาต่อฝ่าบาทและไทเฮา เดิมทีข้าจะไปเข้าเฝ้าฉีเจ่อก่อน แต่ขันทีน้อยบอกข้าว่าฝ่าบาทก...

  • overgraY

    เสด็จอา บทที่ 2 #นิยายวาย

    By

    บทที่ 2   ข้าย่างเท้าออกจากประตูตะวันออกของอุทยานหลวงภายใต้แสงสายัณห์ ยังไม่ทันเดินออกมาได้ถึงสองก้าวก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกจากทางเบื...

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com